ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 63 เบื้องหลังซับซ้อน
เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิงต่างนิ่งเหม่อ เว่ยซินหย่งยิ้มถากถางคราหนึ่งแล้วว่า “บุตรชายอนุแห่งจือเปิ่นถาง เว่ยชิงหย่ง…หากจะนับไป คุณหนูใหญ่ควรจะเรียกข้าว่าท่านอาจึงจะถูก!”
“ท่านคือ…หลานชายของจิ่งเฉิงโฮ่ว?” สายตาของเว่ยฉางอิ๋งจ้องนิ่ง
เว่ยซินหย่งกล่าวอย่างราบเรียบ “มิผิดฐานะเดียวที่บิดาผู้ล่วงลับเป็น ก็คือน้องชายคนละแม่ของเว่ยฉี!”
เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิงสบตากัน ในดวงตาต่างมีแววของความสงสัย
จือเปิ่นถังต้องการช่วงชิงตำแหน่งตระกูลสายหลักของรุ่ยอวี่ถัง ข้างฝ่ายจิ่งเฉิงโฮ่วเว่ยฉีก็ต้องการตำแหน่งเสาหลักของแคว้นของเว่ยฮ่วน…แม้ฉากหน้าจะไม่มีผู้ได้ประกาศออกมา แต่สำหรับผู้ที่เป็นคนรุ่นหลังและบุตรหลานสายเลือดตรงในตระกูลซึ่งเว่ยฮ่วนฝากฝั่งความหวังอันใหญ่หลวงเอาไว้ จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้อย่างไร? จะว่าไปเว่ยซินหย่งผู้นี้แม้จะเป็นคนของจือเปิ่นถัง ทั้งยังเป็นหลานชายของเว่ยฉี กว่าครึ่งหนึ่งจะต้องมีความเกี่ยวพันกับพวกลอบสังหารครานี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำกล่าวว่าไม่มีเจตนาร้ายและไร้เรื่องละอายใจที่ว่าไว้ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงเรื่องไร้แก่นสารอย่างยิ่งเสียแล้ว
ทว่าเว่ยซินหย่งกลับเอาแต่เรียกชื่อเว่ยฉีตรงๆ อยู่ตลอดเวลา หาได้มีความเคารพจิ่งเฉิงโห่วผู้นี้แต่อย่างใดไม่ จึงกลับดูไม่เหมือนบุตรหลานของจือเปิ่นถังเอาเสียเลย?
แล้วฟังเว่ยชิงหย่งกล่าวต่อไปว่า “ข้าและเว่ยฉีพ่อลูกมีความแค้นใหญ่หลวงต่อกัน นับแต่สิบปีก่อนก็สมัครใจมาคอยสืบหาความลับของจือเปิ่นถังและรายงานให้ฉางซานกงล่วงรู้ เพื่อเป็นการขอบคุณ ฉางซานกงจึงได้มอบเงินทองจำนวนมากมาช่วยเหลือข้าอย่างลับๆ จึงพอให้ข้าได้เลี้ยงชีพและร่ำเรียน… การแลกเปลี่ยนนี้เดิมทีก็ราบรื่นและมั่นคงมาโดยตลอด ทว่าสองปีนี้ในเฟิ่งโจวสงบนิ่งนัก และฉางซานกงก็สูงวัยมากแล้ว ข้าจึงสงสัยยิ่งว่าจะติดต่อกับฉางซานกงต่อไป หรือต้องหาผู้อื่น… พอดีกับที่ข้าได้ตัดสินใจออกจากเมืองหลวง จึงได้เดินทางมาดูด้วยตนเอง ยามนี้ได้เห็นพวกเจ้าพี่น้องดูท่าใช้การได้ อย่างนั้นการร่วมมือนี้ก็ยังมีต่อไปได้”
เว่ยฉางอิ๋งไม่ชอบวิธีการพูดจาดังผู้สูงศักดิ์มีต่อผู้น้อยอย่างที่เขาทำเป็นอย่างมาก จึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เรื่องราวเป็นเช่นนี้หรือไม่ ยังมิทันได้พบท่านปู่ ลำพังเพียงคำท่านไม่กี่คำ ยังตกลงสิ่งใดไม่ได้ ท่านว่าท่านและเว่ยฉีพ่อลูกมีความแค้นใหญ่หลวง แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นความแค้นใด ที่ทำให้ท่านไม่แยแสและหักหลังจือเปิ่นถัง? ความจริงแล้วเว่ยฉีก็ยังเป็นบุตรสายเลือดตรง ในยามนี้ก็รับช่วงดูแลจือเปิ่นถัง ไยต้องมาถือสาคนรุ่นหลังเช่นท่าน?”
หลังจากเอ่ยถามไปแล้ว คนที่สงบนิ่งมาโดยตลอดอย่างเว่ยซินหย่งก็มิได้เอ่ยคำใดเลยอยู่ครึ่งเค่อเต็มๆ จากนั้นเนิ่นนาน เขาจึงเงยหน้าขึ้นมา แล้วจ้องมองไปยังเว่ยฉางอิ๋งด้วยแววตาที่ปราศจากอารมณ์ใดๆ พลางว่า “ข้าไม่อยากได้ยินคนเอ่ยถามคำถามนี้ เจ้าอย่าได้ถามอีกเป็นดีที่สุด… ครานั้นยามข้าไปหาท่านปู่ของเจ้า ยังมิทันโตเท่าหู่หนูผู้นี้เสียด้วยซ้ำ แต่แม้จักเป็นเช่นนั้น ฉางซานกงก็หาได้มองข้าเป็นข้าบริวาร ข้ากับเขาก็ต่างคนต่างหยิบฉวยสิ่งที่ตนต้องการเท่านั้น! เจ้าคิดว่าเจ้าจะปราดเปรื่องและเก่งกาจว่าฉางซานกงเมื่อสิบปีก่อนรึ? เจ้ากับเข้าได้พูดคุยกันหนแรก ต่างทดสอบซึ่งกันเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่เมื่อล้ำเส้นกันและกันแล้วเกรงจะมีแต่เสียไม่มีได้ และเป็นเพียงเรื่องโง่ๆ เท่านั้น!”
ท่าทีแข็งกร้าวของเขาที่พลันเกิดขึ้นทำให้บรรยากาศภายในห้องแข็งกร้าว สายตาของหู่หนูพลันมองเห็นโอกาสในวิกฤต เว่ยชิงกลับขมวดคิ้วและขบคิดอย่างรวดเร็วว่าจักรอมชอบสถานการณ์นี้ได้อย่างไร… เว่ยฉางอิ๋งพลันหัวเราะเย้ยหยันออกมาแล้วกล่าวอย่างไม่ยอมลงให้ว่า “ข้าหาได้ปราดเปรื่องเก่งกาจเช่นท่านปู่ไม่! เพียงแต่ท่านคงจักหลงลืมไป เมื่อครู่นี้ท่านก็ได้กล่าวแล้วว่า ในห้องที่มีขนาดเพียงเท่านี้ ด้วยกำลังแสนบอบบางของพวกท่านนายบ่าวสองคน เป็นตายก็ขึ้นอยูกับข้า! แล้วท่านยังกล้าพูดจาเช่นนี้กับข้า?”
สองคนไม่ใครยอมให้ใคร ต่างจ้องกันตาเขม็งอยู่เกือบเค่อ แต่ก็ยังเป็นเว่ยซินหย่งเก็บสายตานั้นไปก่อนแล้วส่ายหัวพูดว่า “ดังนั้นข้าจึงต้องให้เว่ยฉางเฟิงมา เว่ยฉางเฟิงที่ถูกฝึกฝนมาเพื่อให้เป็นประมุขในอนาคต จักเข้าใจดีว่าเวลาใดควรสงบปากสงบคำ! ส่วนคุณหนูใหญ่ที่ถูกเอาใจจนเสียคนเช่นเจ้า กลับรู้จักเพียงไม่ยอมลงให้ผู้ใด”
เห็นชัดว่าคำถามเมื่อครู่นี้ของเว่ยฉางอิ๋งแทงใจดำของเขาเสียแล้ว น้ำเสียงของเว่ยซินหย่งเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบในทันใด เขาไม่รอให้เว่ยฉางอิ๋งตอบโต้คำกล่าวนี้ ก็พูดต่อทันทีว่า “ข้าไม่อยากจะพูดกับเจ้าให้มากความ คำพูดต่อไปจักให้เจ้าส่งต่อแก่ฉางซานกง ข้าจักพูดเพียงหนเดียว เจ้าจงจำให้ดี!”
“ผู้ที่ลอบสังหารพวกเจ้าพี่น้อง เป็นตระกูลหลิวพามา โดยอาศัยข้ออ้างว่ามาส่งผู้สืบสกุลมาที่เฟิ่งโจวและยังคงแฝงตัวอยู่ใกล้ๆ เฟิ่งโจว! เหตุที่สามารถลอบทำร้ายพวกเจ้าได้ ก็เพราะสะใภ้ของจิ้งผิงกงได้สอบถามกับหลิวซีสวินที่ไปร่วมงานเลี้ยงในรุ่ยอวี่ถังก่อนนี้เรื่องเวลาที่พวกเขาจะออกเดินทางจากเฟิ่งโจว!”
“มองจากฉากหน้า ครานี้ทางสายของพวกเจ้าลำบากเอาการ แต่ความจริงแล้วเจ้าและเว่ยฉางเฟิงยังคงปลอดภัยดี จึงกลับพูดได้ว่าเพียงถูกรังแกเล็กน้อย… คาดว่าฉางซานเฟิงคงจักใช้ข้ออ้างอันใหญ่หลวงนี้ไปสอบสวน ‘ปี้อู๋’ ที่ไม่อาจเร่งมาได้ทันกาล ความเกรียงไกรของรุ่ยอวี่ถังสายนี้ในภายภาคหน้า ก็จักสามารถอยู่ในกำมือของฉางซานกงอย่างแท้จริงเสียที…”
เว่ยฉางอิ๋งจักเอาแต่พะวงกับคำพูดที่เขาพูดก่อนหน้านี้ไม่ได้อีกแล้ว พลางกล่าวอย่างงงงันว่า “ช้าก่อน! ‘ปี้อู๋’ เป็นองครักษ์ลับของบ้านตระกูลเว่ยของข้า เหตุใดจังมิได้อยู่ในการควบคุมของท่านปู่อย่างแท้จริง?!”
เว่ยซินหย่งกวาดตามมองนางอย่างเย็นชาหนหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างถากถางว่า “ตัวเจ้าเองเป็นบุตรสาวคนโตสายเลือดตรงของบ้านใหญ่ หรือลืมไปแล้วว่าฉางซานกงนั้นหาใช่บุตรของบ้านใหญ่และหาใช่บุตรคนโตไม่! ครานั้นท่านจิ้งผิงกงผู้เฒ่าได้มอบตำแหน่งประมุขให้แก่ฉางซานกง ว่ากันตามหลักแล้ว ‘ปี้อู๋’ ก็ควรจะอยู่ในภายใต้อาณัติของประมุข แต่ฮูหยินของท่านจิ้งผิงกงผู้เฒ่าเป็นกังวลว่าฉางซานกงจะไม่รู้จักพอและวางแผนฮุบเอาบรรดาศักดิ์จิ้งผิงกงที่สืบทอดกันมายาวนาน ด้วยเหตุนี้จึงได้เกลี่ยกล่อมให้ท่านทวดของเจ้ามิได้มอบ ‘ปี้อู๋’ ให้ฉางซานกงดูแล หากแต่มอบให้แกจิ้งผิงกงคนปัจจุบัน… เมื่อฉางซานกงต้องการใช้ ‘ปี้อู๋’ ทุกครั้งก็จักต้องไปรายงานต่อจิ้งผิงกงเสียก่อน แล้วมีจิ้งผิงกงเป็นผู้ออกคำสั่ง! แม้จิ้งผิงกงจะเจรจาความง่าย และไม่ชอบธรรมเนียมเช่นนี้ ทุกครั้งที่ฉางซางกงเอ่ยขอ ไม่ถามแม้แต่เหตุผลเขาก็รับคำแล้ว… ทว่าเมื่อบุตรชายของท่านลุงจิงผิงกงของเจ้าเติบโตแล้ว ก็ได้รับเรื่องเหล่านี้ไปดูแล!”
เขายิ้มเยาะพลางถามว่า “เจ้าและเว่ยฉางเฟิงมีฐานะสูงศักดิ์เพียงใดในรุ่ยอวี่ถัง? เหตุใดคนข้างกายเจ้าจึงมิแทบเคยเห็นคนของ ‘ปี้อู๋’? นั่นเพราะแม้ฉางซานกงจะพยายามมาหลายปี และได้ความภักดีจากคนบางส่วนใน ‘ปี้อู๋’ แต่แท้ที่จริงแล้วฐานะไม่ชัดแจ้งก็พูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำ! ทั้งยังกลัวว่าหากบังคับยึดเอา ‘ปี้อู๋’ จักเป็นการกระตุ้นให้บุตรชายของจิ้งผิงกงทำการบางอย่างในยามจนตรอก เห็นได้จากที่กระทั้งผู้ที่อยู่ข้างกายเว่ยฉางเฟิงก็เป็นเพียงองครักษ์ธรรมดาๆ เท่านั้น! และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ยามนี้เว่ยฉางเฟิงอายุสิบห้าปีแล้ว แต่ฉางซานกงกลับยังไม่ยอมให้เขาไปเป็นขุนนางในเมืองหลวง… ไม่อาจใช้งาน ‘ปี้อู๋’ ได้โดยตรงยังไม่ว่า กระทั่งเชื่อถือก็ยังมิได้เลย! ยิ่งไปกว่านั้นสายเลือดของฉางซานกงมีเพียงแค่หลานชายผู้นี้ผู้เดียว แล้วจักกล้าให้เขาไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร?”
“หลายเดือนก่อน ฉางซานกงเดินทางไปปราบปรามกองโจรที่เขาเฟิ่งฉีด้วยตนเอง…โอ๋.. โจรโฉดเหล่านั้นก็คือพวกที่อยู่ข้างนอกสองสามคนนั่นและยังมีพวกที่เคยช่วยพวกเจ้าด้วย เจ้าคงจะรู้ว่านี่เป็นเพราะสาเหตุใด?” เว่ยซินหย่งกล่าวเงียบๆ ว่า “พวกโจรกลุ่มนี้เป็นสินน้ำใจที่ข้าทำให้แก่ฉางซานกงมานับสิบปี ส่วนการต่อสู้กับกองโจรในครานั้น…ในยามที่ฉางซานกงจะออกเดินทางนั้นเอง ก็ได้ไปดึงดันขอเอา ‘ปี้อู๋’ ในกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดและจงรักภักดีต่อบุตรชายของจิ้งผิงกงที่สุดมาจากมือของบุตรชายจิ้งผิงกง และพวกมันก็รบอยู่บนเขาเฟิ่งฉีจนตายไปแทบทั้งหมด! ลำพังแค่พวกมันไม่กี่คนข้างนอกนั่นก็ลงมือสังหาร ‘ปี้อู๋’ ที่กำลังนอนหลับฝันแล้วถูกพวกของตนเองมัดเอาไว้ไปสิบกว่าคนแล้ว! ทั้งยังมีที่ตายไปในการสู้รับครั้งใหญ่ที่เมืองทางเหนืออีกจำนวนหนึ่ง… หากคนพวกนี้อยู่ในมือของฉางซานกง แล้วพวกลอบสังหารที่ตระกูลหลิวไปหามาอย่างยากลำบากเหล่านั้น มีหรือจะสังหารคนของพวกเจ้าจนยับเยินได้ง่ายดายเช่นนี้?!”
“แน่นอนว่า พวกลอบสังหารที่พวกเจ้าพบครานี้ และที่ฉางซานกงลอบลงมือกับ ‘ปี้อู๋’ ทั้งสองหนนั้นก็มีความเกี่ยวพันกันอย่างมาก อย่างไรเสียไม่ว่าจะว่ากันเรื่องอาวุโสหรือว่ากันเรื่องกลวิธีของฉางซานกงแล้วล้วนด้อยกว่าบุตรชายของจิ้งผิงกง
หากให้ฉางซานกงลงมือเช่นนี้อีกหนสองหน ไม่ช้าก็เร็ว ‘ปี้อู๋’ ก็จะต้องออกจากอาณัติของจิ้งผิงกง! หนนี้บุตรชายจิ้งผิงกงก็ถูกฉางซานกงบีบบังคับอย่างยิ่งยวดแล้ว…”
สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งถอดสีจนเขียวคล้ำ จนแทบจะยืนไม่ติด พลางว่า “ความหมายของเจ้าคือ การลอบสังหารหนนี้เป็น…เป็นท่านลุงของข้าและตระกูลหลิวร่วมมือกัน?”
“บางทีอาจยังมีองค์ฮองเฮารวมอยู่ด้วย?” เว่ยซินหย่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “ดีชั่วอย่างไร คนที่อยากเห็นหายนะของฉางซานกงมีมากมายนัก อย่างเช่นว่าครานี้จือเปิ่นถังก็มิใช่ว่าไม่ได้เตรียมการจะมีส่วนร่วมด้วย”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วแน่น กล่าวว่า “จือเปิ่นถังทำการใด?”
เว่ยซินหย่งพูดอย่างราบเรียบ “ควรจะกล่าวว่าเตรียมทำการใด… ที่พวกเจ้าพี่น้องต่างไม่เป็นไร โดยเฉพาะที่เว่ยฉางเฟิงปลอดภัยจากอันตรายและรอดไปได้ ก็แน่นนอนว่าจือเปิ่นถังหาได้ทำการใดไม่”
“…” เว่ยฉางอิ่งก้มหน้าลงขบคิดอยู่เกือบเค่อ ที่สุดก็เข้าใจแล้ว “หรือจักเกี่ยวพันกับท่านอารองของข้า?”
…พวกลอบทำร้ายเป็นตระกูลหลิวนำมา โอกาสลงมือนั้นหลอกถามมาได้จากหลิวซีสวิน จวนจิ้งผิงกงก็ไม่มีทางมั่นใจได้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะรบเร้าแม่เฒ่าซ่งให้นางออกมาส่งคนที่นอกเมือง ดังนั้นแล้วเป้าหมายการลอบสังหารครานี้ก็คือเว่ยฉางเฟิง
เว่ยเจิ้งหย่าบุตรชายของจิ้งผิงกง… ก็คือคนที่เว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางเฟิง เว่ยเกาชวนต่างเรียกขานว่าท่านลุง การที่เขาจงใจวางแผนทำร้ายหลานในสายตระกูลหลัก เป้าหมายนั้นนอกจากตำแหน่งประมุขของตระกูลแล้วจะยังมีสิ่งใดได้อีก?
แต่แม้ว่าแม่เฒ่าซ่งจะกล่าวเตือนเว่ยฮ่วนหนแล้วหนเล่า และตัดสินใจฝึกฝนให้เว่ยฉางเฟิงรับหน้าที่ดูแลรุ่ยอวี่ถังต่อไป ทว่าหากเว่ยฉางเฟิงเกิดเรื่อง ต่อให้เว่ยฮ่วนจะโศกเศร้าเสียใจก็ส่วนโศกเศร้าเสียใจ ในสายของเขาก็มิใช่ว่าไม่มีผู้สืบสุกลคนอื่นๆ อย่างไรก็ไม่ควรจะไปลงมือที่รุ่นหลาน เพียงแต่นอกจากเว่ยฉางเฟิงแล้ว ผู้ที่มีโอกาสจะรับช่วงตำแหน่งประมุขอย่างไร้ข้อกังขาก็คือเว่ยเซิ่งอี๋
…เรื่องที่แม่เฒ่าซ่งกีดกันบุตรชายของอนุผู้นี้หาใช่ความลับใดไม่ ไม่กี่เดือนก่อน ด้วยเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งถูกฮูหยินซูตำหนิ จึงได้ร้อนรนดังไฟสุมและเรียกให้เว่ยฉางซุ่ยกลับมาเป็นตัวประกัน
สมมติว่าเว่ยฉางเฟิงสิ้นชีพ และเมื่อตระกูลเว่ยสืบหาฆาตกรที่แท้จริง แล้วกลับพบว่ามีความเกี่ยวพันกับเว่ยเซิ่งอี๋ ต่อให้เกี่ยวพันเพียงน้อยนิด แม่เฒ่าซ่งหรือจะยอมละเว้นบุตรของอนุผู้นี้?!
ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าว่าอาจเป็นคนนอกยุยงเขา แต่แม่เฒ่าซ่งที่เดิมทีก็คิดว่าเว่ยเซิ่งอี๋จักต้องคิดการร้ายต่อเว่ยฉางเฟิงอยู่แล้ว ยามเมื่อนางตกอยู่ในสถานการณ์ที่สูญเสียหลานชายสายเลือดตรงซึ่งมีเพียงผู้เดียว ผู้ใดเล่าจักรู้ว่านางจะทำการใด?
แต่เมื่อเว่ยฮ่วนไร้ซึ่งเว่ยฉางเฟิงซึ่งเป็นหลานชายสายเลือดตรงและเป็นความหวังอันใหญ่หลวงแล้ว ก็จักต้องทะนุถนอมเว่ยเซิ่งอี๋ บุตรชายคนรองที่มีความสามารถมากที่สุดเอาไว้ให้ดี…
เมื่อเป็นดังนี้แล้วตระกูลทางสายของเว่ยฮ่วนก็จะไม่เกิดความวุ่นวาย นี่ต่างหากคือโอกาสทองที่เว่ยจิ้งหย่าจะได้รับช่วงของรุ่ยอวี่ถังและชิงตำแหน่งประมุขของตระกูลกลับมาได้!
คำตอบนั้นชัดเจนยิ่ง เว่ยซินหย่งถึงขั้นคร้านจะยืนยัน แล้วกล่าวต่อไปว่า “ยังมีข่าวอีกข่าวหนึ่ง เกรงว่าฉางซานกงก็คงจะรู้แล้ว ก็คือ ในศพของพวกที่มาลอบทำร้ายมีชาวเผ่าหรงอยู่ด้วย ข้าได้ยินมาว่าก่อนนี้ยามตระกูลเจียงส่งทายาทมาที่เฟิ่งโจว และเพื่อมาดูแลลูกผู้พี่หญิงข้างบิดาเจ้าด้วยนั้น ก็ได้นำบ่าวกลุ่มหนึ่งมาด้วยและบอกว่าเป็นข้ารับใช้ของหลิวจี้เจ้าที่ตงหู เพื่อมาปรนนิบัติแม่หม้ายหลิวจี้จ้าวและทายาทที่รับมาอุปการะในครานี้… แต่ทันทีหลังจากนั้น จวนจิ้งผิงกงก็อ้างว่าในจวนไม่มีที่ทางเพียงพอ จึงส่งคนทั้งหมดไปอยู่ในชนบท เมื่อเจ้ากลับไปเจ้าลองไปสอบถามดูได้ว่าในหมู่บ้านเหล่านั้นมีร่องรอยของคนพวกนั้นหรือไม่! พวกเจ้าพี่น้องถูกโจมตีที่นอกเมืองเฟิ่งโจว หากไม่โยนความรับผิดชอบให้แก่พวกเผ่าหรง ในเขตทะเลนี้ล้วนมิมีตระกูลใดยินยอมหรือบอกว่าสามารถรับผิดชอบความแค้นอันใหญ่หลวงนี้ได้”
“ก่อนหน้านี้ไม่นานมิใช่ว่าเพิ่งจะมีราชโองการประกาศเกียรติคุณให้แก่ชัยชนะครั้งใหญ่ที่เมืองเหนือหรอกรึ? ว่ากันว่ายังตัดหัวแม่ทัพเผ่าหรงที่มีภูมิหลังบางอย่างนายหนึ่งด้วย ยามนี้เผ่าหรงรุกคืบเข้ามาแก้แค้นใกล้เฟิ่งโจว ก็นับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล” เว่ยซินหย่งกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ปีนั้นหลังจากที่ลูกผู้พี่หญิงฝั่งบิดาของเจ้าสูญเสียสามีไปและกลับมาบ้านมารดา เดิมทีก็เพื่อมาครองตัวเป็นหม้าย แต่กลับมิได้นำบ่าวไพร่ของสามีกลับมา และมิได้รับบุตรบุญธรรมในทันที เกรงว่านี่คงจะเป็นการทิ้งปมบางอย่างเอาไว้ อย่างไรเสียแพะรับบาปก็สามารถผลักไสให้แก่ชนเผ่าหรง แต่เมื่อชนเผ่าหรงมีคนน้อยเกินไปก็ดูไม่น่าเชื่อถือ.. แต่หากมีชนเผ่าหรงจำนวนมากบุกเข้ามาในเฟิ่งโจวด้วยความโกรธแค้น ยังมิต้องเอ่ยถึงว่าหลังจากนั้นตระกูลหลิวจะถูกไล่เบี้ยหาความรับผิดชอบที่ไร้ความสามารถเฝ้าชายแดน หน้าตาของชนเผ่าหรงนั้นแตกต่างจากชาวต้าเว่ยเช่นเราสิ้นเชิง หากเกิดมีแม้สักคนเข้ามาก็จัดต้องสังเกตเห็นได้โดยง่าย ดังนั้นจึงมีเพียงกำลังพลที่ซ่อนตัวอยู่ในสกุลหลิวแห่งตงหูเท่านั้น อาศัยอำนาจของตระกูลหลิวจึงจะสามารถลบเลี่ยงจากสายตาผู้คนได้ ส่งผลให้ก่อนเกิดเรื่องนั้นฉางซานกงไม่อาจล่วงรู้มาก่อน!”
เขานิ่งเงียบไปสักพัก จึงพูดต่อว่า “หากครานี้ไม่เกิดเรื่อง ข้าก็คงคิดไม่ออกว่าในบรรดาบ่าวไพร่ที่ว่านั้น มีความเป็นไปได้อย่างมากว่ามีชาวเผ่าหรงจำนวนไม่น้อยซ่อนตัวอยู่!”
แววตาของเว่ยฉางอิ๋งนิ่งสงบไปเกือบเค่อ แล้วว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ หากบอกว่าจือเปิ่นถังวางแผนทำร้ายฉางเฟิงเพื่อขึ้นครองตำแหน่งเสาหลักของแคว้น ส่วนท่านลุงก็เพื่อหวังตำแหน่งประมุขของตระกูล… แล้วตระกูลหลิวเล่า? ถึงแม้ท่านป้าทั้งสองต่างก็เป็นบุตรสาวของตระกูลหลิวก็ตาม ทว่ายามนี้ตระกูลหลิวก็หาได้ไม่มีบุตรสาวไม่ จนยามนี้ฉางเฟิงก็ยังมิได้หมั่นหมาย แล้วเหตุใดจึงไม่ให้บุตรสาวแต่งกับฉางเฟิง ทั้งยังมิต้องวุ่นวายด้วย? หากท่านลุงร่วมมือกับจือเปิ่นถังจริงๆ ก็จักต้องยินยอมมอบตำแหน่งเสาหลักของแคว้นให้! เมื่อถึงเวลานั้นรุ่ยอวี่ถังก็จักต้องตกอยู่ในมือของท่านลุง แล้วจักมาเทียบเท่ายามนี้ได้อย่างไร?”
เว่ยซินหย่งกล่าวราบเรียบว่า “ข้าไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายกับเจ้า ทว่าเห็นแก่ความกล้าหาญที่มาตามสัญญาแทนน้องชายในวันนี้…บอกใบ้เจ้าสักประโยคก็มิเป็นไร… ไม่เพียงแค่ลูกผู้พี่ของเจ้านางนั้นที่ไม่อยากแต่งเข้าตำหนักตะวันออก ยามนี้ฮองเฮาเองก็มิได้ต้องการบุตรสาวสายเลือดตรงของตระกูลซ่งเล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งตกใจ โพล่งถามไปว่า “ความหมายของท่านคือ ยามนี้ฮองเฮาต้องการบุตรสาวตระกูลหลิวมากกว่า? การที่ราชองครักษ์อี้ผ่านมาทางเฟิ่งโจวครานี้…เติ้งจงฉี… เป็นฮองเฮาจงใจจัดการ?!”
“เรื่องเหลานี้ไม่เกี่ยวกับข้า” เว่ยซินหย่งกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าก็ไม่ต้องการจะเปลืองแรงไปอธิบายให้เจ้า…สรุปแล้ว เจ้าเอาคำพูดนี้กลับไปบอกฉางซานกง บอกเขาเรื่องที่ข้าช่วยพวกเจ้าพี่น้องครานี้รวมทั้งคำพูดเหล่านี้ ข้าต้องการแลกกับภาษีที่นา และคนอีกผู้หนึ่ง!”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วแล้วว่า “เจ้าต้องการแลกกับผู้ใด?”
ภาษีที่นานั้นนางมิได้สนใจ ทางเหนือของเฟิ่งโจว หลายปีมานี้ลมดีฝนดี เก็บเกี่ยวได้ไม่เลว ในยุ้งเสบียงของเมืองก็มีเก็บอย่างเพียงพอ แม้ทางเหนือจะถูกพวกเผ่าหรงรุกรานบ่อยครั้ง แต่มิได้มีผลกระทบใหญ่หลวงต่อทั้งเมือง ยิ่งไปกว่านั้นด้วยมรดกตกทอดของตระกูลเว่ย แม้ในยุ้งของเมืองจะไม่มีเสบียง ภายในตระกูลเว่ยเองก็มีข้าวเปลือกกักตุนไว้ตลอดเวลาและเพียงพอใช้ไปได้ถึงสิบปี
…คลังเสบียงที่มีมากมายถึงเพียงนี้ ไม่เพียงแค่ตระกูลเว่ยเท่านั้น ในยามนี้เกิดเรื่องไม่สงบไปทั่วหล้า แม้จะเป็นชาวบ้านทั่วไป หากพอมีเงินเหลือ ก็อยากจะกักตุนเสบียงสำรองเอาไว้ใช้ ชนชั้นสูงที่เคยดำรงอยู่ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งรัชสมัยเช่นตระกูลเว่ยนี้ เมื่อสังเกตเห็นลมโชยหญ้าไหวก็จักตระเตรียมสิ่งต่างๆ เอาไว้ให้ทั้งคนทั้งตระกูลเพื่อใช้ยามขัดสน หาไม่แล้วก็จักมิสามารถสืบทอดความรุ่งเรื่องต่อไปได้
ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงสามารถสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าในค่าแรงที่เว่ยชินหย่งต้องการนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เขาเอ่ยถึงผู้นั้นต่างหาก
ปรากฏว่าความรู้สึกของนางมิผิดจริงๆ เว่ยซินหย่งเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “โม่ปินเว่ย!”
“นี่เป็นไปไม่ได้!” เว่ยฉางอิ๋งไม่แม้จะคิดก็ปฏิเสธเขาไปแล้ว “คนผู้นี้ถูกเว่ยฉางเฟิงทาบทามมานานแล้ว เจ้าล้มเลิกความคิดนี้เสียเถิด!”
ทว่าเว่ยซินหย่งกลับยิ้มอย่างเดาทางไม่ได้ “คำเจ้านั้น นับสิ่งใดไม่ได้ ไยไม่กลับไปสอบถามฉางซานกงดูเล่า?”
_______________________