ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 64 กลับมาอย่างกล้ำกลืน
การต่อรองของเว่ยซินหย่งเสร็จสิ้นลงแล้ว การเจรจาของเขาและเว่ยฉางอิ๋งตั้งแต่ต้นจนจบมิเคยมีความเป็นมิตร จนยามนี้ทั้งสองฝ่ายต่างมิได้มีท่าทีจะทักทายปราศรัยกันต่อไป เว่ยซินหย่งกล่าวขวานผ่าซากไปว่า “ข้าจักให้หู่หนูส่งพวกเจ้ากลับไป…ความปลอดภัยในการเดินทางครั้งนี้เจ้ามิต้องเป็นกังวล รับรองว่าจักพาพวกเจ้ากลับไปถึงในตัวเมืองเฟิ่งโจวอย่างปลอดภัย เพียงแต่เมื่อกลับถึงเฟิ่งโจวแล้ว มิต้องเอ่ยถึงเว่ยชิง อนาคตของเจ้า บอกได้ว่าพูดยากเสียแล้ว”
ทางหนึ่งเขาพูดออกมาเช่นนี้ แต่อีกทางหนึ่งกลับเผยสีหน้าเย้ยหยัน พลางกุมที่คอของตนโดยไม่ได้ตั้งใจ
เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจความหมายของเขา เพราะเขาไม่จำเป็นต้องประจวบเหมาะมาเจ็บคอในยามนี้ หากแต่เป็นการย้ำเตือนตนว่าเป็นผู้ลงมือทำร้ายเขา ลำพังเรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ละเมิดเรื่องชายหญิงห้ามใกล้ชิดกันแล้ว ประสาอะไรที่ยามนี้นางแตะเนื้อต้องตัวชายอื่นที่มิใช่คนครอบครัวและมิใช่สามี?
นับแต่ถูกไล่ล่าในป่า ในสถานการณ์ที่คับขันอย่างนี้ โจรโฉดแห่งเขาเฟิ่งฉีที่อยู่ในอาณัติของเว่ยซินหย่งได้ออกมาช่วยเหลือพวกเขาจากการปิดล้อม จากนั้นกลับยื่นข้อเสนอให้เว่ยฉางเฟิงตามพวกมันมาหนหนึ่ง…และสามารถพาคนมาด้วยได้มากที่สุดเพียงคนเดียว
เพื่อให้พี่สาวหนีรอดไปได้เว่ยฉางเฟิงจึงตอบรับข้อแม้นี้โดยมิได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย ทว่าเขาอายุยังน้อย ทั้งยังคิดเห็นเช่นเดียวกับเว่ยฉางอิ๋งว่าคนพวกนี้โฉดชั่วมากว่าดี ในขณะที่กำลังจิตใจร้อนรนสับสนอยู่นั้น เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเสนอให้เขาออกไปคุยกันตามลำพังเพื่อพูดจากันสองสามประโยคเขาก็รับคำ…
จากนั้นนางก็ตีน้องชายจนหมดสติและเปลี่ยนเสื้อชั้นนอกกับเขา อาศัยว่ายามนั้นฝนกำลังตก และพวกเขาต่างก็สวมงอบที่เพิ่งสานขึ้นมาใช้ชั่วคราวมาอำพรางใบหน้า กอปรกับในป่ารกทึบแสงสลัว เว่ยฉางเฟิงยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ และเว่ยฉางอิ๋งก็มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าหญิงสาวทั่วไป สองพี่น้องสูงไล่เลี่ยกัน แล้วพรางตัวเป็นเว่ยฉางเฟิงพาเว่ยชิงออกไปตามนัดหมาย เว่ยฉางอิ๋งนั้นรู้อยู่แล้วว่าชื่อเสียงของสตรีที่ตนมีจักต้องหมดสิ้นไปแน่นอน
หากนางตายไป ด้วยฐานะของตระกูลเว่ย ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นสตรีผู้แข็งแกร่งที่เสียสละเพื่อน้องชาย…หากนางยังอยู่ คุณหนูสูงศักดิ์ที่มิได้ออกเรือน และมีเพียงเว่ยชิง ลูกผู้พี่อีกสายหนึ่งซึ่งพอจะเรียกได้ว่าเป็นพี่ชายในตระกูลเดินทางไปด้วย แต่กลับเข้ามาในรังโจร ทั้งยังมาอยู่ภายในห้องกับชายสามคนอยู่เป็นนาน…
ไม่ว่าจะเป็นประเด็นใด หากเล่าลือออกไป ชื่อเสียงของนางก็จะยับเยินไม่เหลือชิ้นดี แม้แต่ตระกูลเว่ยก็จะต้องพลอยลำบากไปด้วย… ดังนั้นมองจากสภาพการณ์โดยรวมแล้ว ความจริงนางควรตายไปเสียเป็นดีที่สุด
แม้ยามนี้จะพูดได้ว่า นางรู้แล้วว่าการเสียสละของนางในครานี้ ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น แต่เว่ยฉางอิ๋งก็มิได้สำนึกเสียใจที่มาแทนน้องชาย
ไม่ว่าจะอย่างไร เว่ยฉางเฟิงก็ไม่สมควรมีอันตรายใด ซึ่งสิ่งนี้มิใช่แค่เพียงเพราะความรักใคร่กันของพี่น้องร่วมท้อง และมิใช่เพียงเพราะคำนึงถึงตระกูลทางฝั่งบ้านใหญ่ หากแต่คำนึงถึงตระกูลฝั่งเว่ยฮ่วนทั้งสาย… บุญคุณอันใหญ่หลวงของบิดามารดาที่ได้เลี้ยงดูเว่ยฉางอิ๋งจนเติบใหญ่ แต่เล็กท่านปู่ท่านย่าก็เห็นนางเป็นเช่นมุกล้ำค่าในฝ่ามือ ความรุ่งเรืองและล่มสลายของตระกูลสายของเว่ยฮ่วนนั้น นางจึงมิอาจนิ่งดูดาย!
เช่นเดียวกับเรื่องช่วยเหลือตระกูลซ่งที่ฮูหยินซ่งปิดบังแม่เฒ่าซ่ง… ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของรุ่ยอวี่ถัง
ยามนี้เว่ยซินหย่งย้ำเตือนนางถึงสถานการณ์หลังนางกลับบ้านไป… คุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยที่อีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้จะต้องออกเรือน แต่เมื่อออกมาส่งลูกผู้พี่ทั้งชายหญิงกลับเมืองหลวง กลับต้องมาเจอคนลอบทำร้าย พาน้องชายและชายกลุ่มหนึ่งหนีมาในป่า… ผู้ใดเล่าจักรู้ว่าต่อจากนี้ไปจะเกิดเรื่องไร้ที่มาที่ไปใดขึ้นอีก?
แม้จักกำชับทั้งเจียงเจิงและเว่ยฉางเฟิงเป็นมั่นเหมาะว่าห้ามให้เรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งออกไปพบตามนัดหมายที่ไร้แก่นสารแทนเว่ยฉางเฟิงนี้แพร่งพรายออกไป แต่ตอนที่ลูกน้องของเว่ยซินหย่งเข้ามาช่วยนั้น ก็ไม่สามารถสังหารพวกลอบทำร้ายไปได้ทั้งหมด พื้นที่ที่พวกเขาถูกไล่ตามจนทันนั้นเป็นป่ารกทึบเกินไป จึงมีพวกลอบทำร้ายที่เห็นว่าท่าไม่ดีและอาศัยความรกทึบในป่าหลบหนีไปได้…
เมื่อรุ่ยอวี่ถังพบว่าเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น ประตูใหญ่ทั้งสี่ของเฟิ่งโจวหรือจะไม่ถูกกวดขันอย่างแน่นหนา? รวมทั้งในป่าแถบนี้ด้วยเช่นกัน
ยามเว่ยฉางเฟิงและเจียงเจิงกลับไป และเว่ยฉางเฟิงสวมเสื้อตัวนอกของเว่ยฉางอิ๋ง จึงไม่มีทางปิดบังได้อยู่แล้ว…. ทั้งยังมีเรื่องที่จวนจิงผิงกงอีก!
เว่ยฉางเสียนครองตัวเป็นหม้ายมาได้สองปีแล้ว การลอบสังหารครานี้ได้ซุ่มตระเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน แต่ที่สุดกลับทำพลาดไปเพียงน้อยนิด โดยยังคงปล่อยให้เว่ยฉางเฟิงหนีรอดไม่ต้องขึ้นสวรรค์ กระทั่งมอบโอกาสให้เว่ยฮ่วนควบคุม ‘ปี้อู๋’ ได้โดยสมบูรณ์! บุตรชายของจิ้งผิงกงพ่ายแพ้ยับเยิน ไร้ซึ่งความหวังใดๆ แล้วจักยอมปล่อยเว่ยฉางอิ๋งไปได้หรือ?
เพียงคิดก็รู้ว่า เมื่อเว่ยเจิ้งหย่าวางแผนทำร้ายเว่ยฉางเฟิงไม่เป็นผล แต่หากสามารถจัดการหลานสาวสายเลือดตรงเพียงคนเดียวของเว่ยฮ่วนชนิดว่าบีบให้มั่นคั้นให้ตาย ทำลายการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเว่ยและเสิ่น ก็ยังนับว่าพอระบายความแค้นไปได้!
เขาก็ไม่จำเป็นต้องลงแรงอะไรมากมาย เพียงแค่นำเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งไปตามนัดแทนน้องชายเล่าลือออกไป… ด้วยแรงผลักดันและการกระจายข่าวของทั้งผู้ที่จงใจและไม่จงใจ เรื่องที่คุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยเข้าไปในป่าพร้อมชายกลุ่มหนึ่งแล้วกลับออกมาและทำเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น… โดยไม่มีสิ่งใดบุบสลาย และถูกส่งตัวกลับมาโดยมิได้มีผู้ใดบังคับฝืนใจ หากแต่กลับบ้านไปด้วยตนเอง… เหตุใดตระกูลเว่ยจึงได้มีคุณหนูที่ไร้ยางอายเช่นนี้?
ต่อให้เมื่อนางกลับไปแล้วปลิดชีวิตตนในทันใด ก็ยังเกรงว่าพวกหัวโบราณคร่ำครึกจะยังเห็นว่าเป็นการทำให้ธรณีประตูบ้านตระกูลเว่ยเปรอะเปื้อนเสียด้วยซ้ำกระมัง?
เว่ยชิงเองก็คิดถึงบทลงเอยของเว่ยฉางอิ๋งหลังจากนางมาแทนเว่ยฉางเฟิงไว้เช่นกัน เพียงแต่เขาก็เป็นเช่นเดียวกับเว่ยฉางอิ๋ง ที่คิดว่าการนัดหมายที่ไร้ที่มาที่ไปโดยสิ้นเชิงทั้งยังไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดแม้แต่น้อยนี้ มีแปดหรือเก้าส่วนจากสิบที่ไม่น่าเชื่อถือ แม้จะบอกว่าคนพวกนั้นช่วยพวกเขามาจากน้ำมือของพวกลอบทำร้าย แต่ใจคนร้อยเล่ห์ หากเอาตัวเว่ยฉางเฟิงไปเป็นตัวประกัน เช่นนั้นแล้วรุ่ยอวี่ถังควรจักทำเช่นไร?
เขามากับเว่ยฉางอิ๋งด้วยตนเอง นอกจากเพราะคนพวกนั้นรับคำว่า ‘เว่ยฉางเฟิง’ สามารถพาคนหนึ่งคนมาด้วยได้แล้ว ยังเพราะเขายังคงคิดว่าตนทำหน้าที่อารักษ์ขาขาดตกบกพร่อง จึงพร้อมใจจะสู้จนตัวตายไปพร้อมกับเว่ยฉางอิ๋งอยู่ภายในป่า
บนทางที่มาสู่หุบเขาแห่งนี้ ทั้งสองคนต่างเตรียมพร้อมที่จะไปโดยไม่กลับเอาไว้แล้ว แต่ผู้ใดเล่าจะคิดว่าเว่ยซินหย่งกลับเคยติดต่อกับฉางซานกง? ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีเรื่องมากมายที่ต้องการให้ฉางซานกงช่วยเหลือ แม้จะไม่ชอบเว่ยฉางอิ๋ง แต่ก็กลับมิได้คิดจะทำร้ายพวกเขา
เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาจึงปลอดภัยแล้ว แต่เว่ยฉางอิ๋งจะทำอย่างไรเล่า?
ฟังคำเตือนด้วยความประสงค์ร้ายของเว่ยซินหย่ง เว่ยชิงอดจะกำมือแน่นไม่ได้ และไม่ต้องการให้เว่ยฉางอิ๋งตอบโต้เร็วเกินไป หลังจากสิ้นเสียงเว่ยซินหย่งแทบจะในทันที นางก็ใช้น้ำเสียงเย้ยหยัน ค่อยๆ กล่าวไปอย่างราบเรียบว่า “ข้าไม่เหมือนกับท่าน แต่ไรมาจือเปิ่นถังก็เป็นเพียงสายย่อย ภาวะผู้นำหรือจะสู้สายหลักเช่นรุ่ยอวี่ถังได้? ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าบิดาท่านเป็นบุตรของอนุ ทั้งยังสิ้นบุญไปแล้ว! ข้ายังคงเป็นบุตรสาวสายเลือดตรงของรุ่ยอวี่ถัง มีผู้ใหญ่คอยทะนุถนอมหนักหนามาแต่เล็ก! ต่อให้สูญเสียชื่อเสียง เข้าบ้านตระกูลเสิ่นไม่ได้… ผู้ใหญ่ก็จักไม่มีวันไม่สนใจข้า และจักต้องคอยคิดหาหนทางอื่นเพื่อช่วยข้า ไม่ว่าจะอับจนปานใด ก็ไม่มีวันต้องเป็นเด็กกำพร้าไร้คนเหลียวแลเช่นเจ้า จนถึงขั้นต้องออกมาหักหลังจือเปิ่นถังเพื่อหาเลี้ยงชีพ ดังนั้นการหาโอกาสในวิกฤตของเจ้าจะยังมีความหมายใดอีก?”
ดาบนี้โต้กลับทั้งรวดเร็วทั้งโหดเหี้ยม สีหน้าของเว่ยชิงหย่งแทบจะหม่นคล้ำลงไปในทันใด!
… คนทั้งสองที่ในนามแล้วควรนับได้ว่าเป็นอาหลานร่วมสกุล เปิดฉากปะทะกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันทั้งยังที่จ้องกันตาเขม็งอยู่เกือบเค่ออีกครั้ง เว่ยซินหย่งยิ้มเยาะพลางลุกขึ้นยืน สะบัดแขนเสื้อแล้วว่า “พูดได้ดี เพียงแต่ว่าเมื่อเรื่องจวนตัวเข้ามา เจ้าคงถึงจักได้สำเหนียกถึงความน่ากลัวของ ‘คำคนกลับผิดเป็นถูก คำว่าร้ายป่นกระดูกได้’!
เมื่อพูดไม่ลงรอยกัน ต่างคนจึงต่างเงียบ เรื่องสำคัญได้ว่าจบแล้ว จึงได้แยกย้ายไปคนละทาง
รุ่ยอวี่ถังในตัวเมืองเฟิ่งโจว
เพราะเว่ยฉางเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งกลับมาได้อย่างปลอดภัย คนหนึ่งก่อนคนหนึ่งหลัง บรรยากาศเคร่งเครียดเพราะความตื่นกลัวที่เคยมีภายในจวนก็บางเบาลง
ทว่า…
ก็เพียงแค่บางเบาลงเท่านั้น
เป็นถึงรุ่นหลานของประมุขตระกูลเว่ย และกลับถูกโจมตีที่นอกเมืองไปเพียงยี่สิบลี้…ยังมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่องครักษ์ล้มตายไปจนหมด แม้แต่เว่ยเกาชวนหลานสายรองก็ยังต้องธนูถึงสองดอก! แม้เว่ยเกาชวนจะดวงแข็ง หลังจากตกจากม้าก็ถูกท้องม้าทับตัว กลับสามารถซ่อนตัวเขาเอาไว้ได้ ทั้งยังได้เจียงเจิงที่ตามมาทันช่วยจัดการ และพาหนีจากพวกลอบทำร้าย และหนีรอดไปจนถึงยามที่กองหนุนตามมาทัน จึงไม่ถึงกับล้มตาย แต่ก็บาดเจ็บไม่น้อย
ที่สำคัญที่สุดก็คือหลานชายและหลานสาวบ้านใหญ่ต่างถูกบีบให้ต้องหนีเข้าไปในป่าลึกข้างถนนหลวง เผชิญกับวิกฤตหลายครั้งหลายหนถึงได้หนีเอาชีวิตรอดมาได้และแยกกลับมากันคนละหน!
ไม่ว่าเว่ยฮ่วนจะเก็บตัวสักเพียงใด ก็ไม่มาทางไม่ไล่เบี้ยเอาความให้ถึงที่สุด!
ดังนั้นเมื่อเว่ยฉางอิ๋งกลับมา เว่ยฮ่วนจึงมิได้อยู่ที่รุ่ยอวี่ถังแล้ว หากแต่อยู่ที่จวนจิ้งผิงกง และกำลังยุ่งวุ่นวายกับการเรียกร้องหาความเป็นธรรมจาก ‘ปี้อู๋’ ที่ละเลยต่อหน้าที่
แม่เฒ่าซ่งที่อยู่ภายในจวน สำรวจดูหลานสาวทั้งน้ำตา เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เปราะเปื้อนยับเยินไปทั้งตัว จนกระทั่งท่านหมอจี้อธิบายเป็นรอบที่ห้าว่านอกจากรอยกิ่งไม้เกี่ยวบาดเจ็บสองสามแห่งแล้ว เว่ยฉางอิ๋งมิได้บุบสลายเลยแม้แต่น้อย ยามนั้นเองจึงได้ปล่อยมือที่จับตัวเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้แน่นตั้งแต่แรกพบนางลง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นทุกคนก็ออกไปก่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ” รุ่นอวี่ถังเกิดเรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้ ผู้คนในที่นั้นต่างก็เข้าใจในสถานการณ์ดี จึงตอบรับอย่างว่าง่าย นอกจากเฉินหรูผิงและเว่ยชิงแล้ว นอกนั้นก็ค่อยๆ ถอยออกไปอย่างแผ่วเบา
เมื่อเรียบร้อยแล้ว แม่เฒ่าซ่งจึงได้หันไปมองเว่ยชิงที่นับแต่เข้าประตูมาก็คุกเข่าอยู่ภายในโถงมาโดยตลอด “เจ้าก็ลำบากแล้ว”
เว่ยชิงกล่าวออกไปอย่างระมัดระวังว่า “ข้าน้อย…”
“โดยตำแหน่งนั้นเจ้าเป็นองครักษ์ของฉางเฟิง แต่ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นคนตระกูลเว่ย ว่าไปแล้วท่านปู่ทวดของเจ้า ข้าก็เคยเรียกขานอย่างนับถือว่าท่านอาสาม ส่วนตัวแล้วไม่จำเป็นต้องเรียกขานตัวเองเช่นบ่าวไพร่ อย่างไรก็นับว่าเป็นลูกหลานสกุลเว่ย!” สายตาของแม่เฒ่าซ่งนั้นอิดโรยนัก ทว่าน้ำเสียงกลับยังสงบ แล้วกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เท่าที่รู้มา ในการลอบโจมตีครานี้ เจ้าไหวตัวเป็นรองก็แต่เจียงเจิง! ยิ่งไปกว่านั้นยังยืนยันจะคอยระวังหลังให้ฉางเฟิงและฉางอิ๋งโดยไม่คำนึงถึงชีวิต… และยังไปตามนัดหมายกับฉางเฟิงด้วย นับว่าสร้างผลงานใหญ่หลวง จึงไม่อาจปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร้น้ำใจ!”
เว่ยชิงได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่า ‘ไปตามนัดหมายกับฉางเฟิง’ ก็เข้าใจอยู่ภายในใจ จึงกล่าวว่า “การพบปะในหุบเขานั้น ล้วนอาศัยความปราดเปรื่องของคุณชายห้าที่โต้ตอบได้อย่างทันท่วงที จึงสามารถปลอดภัยกลับมาได้ ชิงมิกล้ารับความชอบขอรับ”
แม่เฒ่าซ่งพยักหน้าน้อยๆ พยายามครองสติเอาไว้ และพยายามเอ่ยชมเขาไปสองสามประโยค จึงให้เขากลับบ้านไปพักผ่อน รอจนเว่ยชิงไปแล้ว แม่เฒ่าซ่งจึงได้หันมาหาเว่ยฉางอิ๋ง ถอนหายใจเบาๆ แล้วว่า “สวรรค์ทรงโปรด เจ้า…เจ้าเด็กคนนี้กลับมาอย่างปลอดภัย..เจ้า…” ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งไปสักพักจึงว่า “เจ้ากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนเสียซวงก่อนเถิด…อึ่ม… ยามนี้ฉางเฟิงไปอยู่ที่นั่น บอกว่าเมื่อเจ้ากลับมาก็อยากจะได้พบกับพี่สาวก่อน ไปสลับเสื้อผ้ากับเขาคืนมา…ส่วนเรื่องอื่น รอเจ้าพักผ่อนดีแล้วค่อยว่ากัน”
เว่ยฉางอิ๋งไม่ยอมถูกเว่ยซินหย่งเย้ยหยัน เมื่อเว่ยซินหย่งเอ่ยถึงปัญหาที่นางจักต้องประสบเมื่อกลับไปที่เฟิ่งโจว นางจึงจงใจตอบโต้กลับไปอย่างมิได้ลังเลเลยแม้สักน้อย เพียงแต่ในความเป็นจริงแล้ว ตลอดทางกลับมานั้นนางใจเต้นไม่เป็นส่ำเป็นนักหนา ยามนี้ได้ยินแม่เฒ่าซ่งบอกว่าเว่ยฉางเฟิงไปอยู่ที่เรือนเสียซวง นางก็นิ่งเหม่อไปเล็กน้อย แล้วดวงตาก็พลันชื้นขึ้นมา…
เห็นชัดว่าพวกผู้ใหญ่ก็คำนึงถึงชื่อเสียงของนาง หากนางยังคงมีชีวิตอยู่และกลับมาที่เฟิ่งโจว จึงได้จัดการเช่นนี้
ตอนนี้เว่ยฉางเฟิงไปอยู่ที่เรือนเสียซวง แม่เฒ่าซ่งชมเชยเว่ยชิงว่ามีความชอบเรื่องที่ไปตามนัดพร้อมกับ ‘เว่ยฉางเฟิง’ ก็เพื่อเป็นการสับเปลี่ยนลำดับการกลับบ้านของพี่น้องทั้งสอง แล้วปิดบังความจริงเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งไปตามนัดแทนน้องชายเอาไว้!
การที่นางไปพบเว่ยซินหย่งภายในหุบเขานั้น แม้จะมีเรื่องถกเถียงกัน แต่ก็นับว่าไปและกลับมาได้อย่างปลอดภัย ยังคงไม่บุบสลายใดๆ เพียงแต่หากว่ากันตามตัวชี้วัดความบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ตระกูลชั้นสูงต้องการแล้ว ด้วยฐานะคุณหนูสูงศักดิ์เช่นนางนี้ ปกติแล้วเมื่อออกไปข้างนอกก็จังต้องระมัดระวังไม่ให้ชายแปลกหน้าได้เห็นใบหน้าของตน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเดินทางไปกับชายหลายคนเป็นการส่วนตัวเลย…
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ตระกูลเสิ่นไม่มาขอล้มเลิกการแต่งงานเอง ตระกูลเว่ยก็ไม่อาจให้เว่ยฉางอิ๋งแต่งออกต่อไปได้แล้ว
ส่วนบทลงเอยที่รักษาหน้าตาของเว่ยฉางอิ๋งได้ดีที่สุดก็คือหาสถานที่เช่นศาลเจ้าไปออกบวชเสีย และใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบเหงาตลอดไป แต่หากพวกผู้ใหญ่สังเวชนาง ก็จะหาคนอื่นไปบวชแทนนาง แล้วให้นางแอบแต่งงานกับชายคนอื่น แต่นางก็จะไม่สามารถใช้นามของคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยได้อีก จักต้องกำหนดชื่ออื่นให้นาง และไม่สามารถจะไปมากับที่บ้านได้อย่างเปิดเผย
แต่ยามนี้เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งได้เตรียมการเมื่อหลานสาวมีชีวิตรอดกลับมาเอาไว้แล้ว โดยการเรียกให้หลานชายปลอมตัวเป็นหลานสาวและไป ‘พักฟื้น’ อยู่ที่เรือนพักของหลานสาว ยามนี้หลานสาวกลับมาแล้ว จึงอ้างว่าไปเยี่ยมเยือนและสับเปลี่ยนตัวกันในยามนั้น… เมื่ออธิบายเช่นนี้ก็จะเข้ากับสถานการณ์ได้พอดิบพอดี และสามารถช่วยให้เว่ยฉางอิ๋งพ้นจากชะตากรรมที่จะถูกคนในตระกูลขอให้ไปออกบวชในศาลเจ้าชั่วชีวิตได้แล้ว!
แม่เฒ่าซ่งสังเกตเห็นความตื้นตันของหลานสาว พลันเม้มปากและกล่าวเป็นนัยว่า “เจ้ากลับมาบ้านแล้ว เรื่องอื่นไว้ให้ผู้ใหญ่จัดการ เด็กดี เจ้าไปอย่างวางใจเถิด…ที่นี่ ไม่มีใครกล้ารังแกเจ้า!”
เว่ยฉางอิ๋งนั้นเชื่อมั่นในกลอุบายของท่านปู่และท่านย่า นางผ่อนลมหายใจยาว พลางจดจ้องไปยังผู้เป็นย่าคราหนึ่งอย่างตื้นตัน “เจ้าค่ะ!”
แม่เฒ่าซ่งได้เตรียมการเอาไว้นานแล้ว โดยให้เฉินหรูผิงส่งเว่ยฉางอิ๋งกลับไปเรือนเสียซวง บนทางเดินระเบียงตลอดทางกลับไปนั้นไร้ผู้คน ไม่ถามก็รู้ว่าเป็นฮูหยินผู้เฒ่าไล่ออกไปจนหมดก่อนหน้านี้ แม้การกระทำเช่นนี้จะน่าสงสัย ทว่าในเมื่อไม่มีหลักฐานไม่มีพยาน ชื่อเสียงงดงามของคุณหนูตระกูลเว่ยก็จักไม่ถูกทำลายไปได้โดยง่ายเช่นนั้น
เมื่อกลับไปถึงเรือนเสียซวง กลับเห็นว่าหน้าเรือนเล็กๆ ที่ยามปกติครึกครื้นยิ่งนักยามนี้ประตูกลับปิดสนิท เงียบสงัด และแม้ว่าจะอยู่นอกผนังก็ยังได้กลิ่นยาที่ชัดเจนมาก
เว่ยฉางอิ๋งอดจะขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้ คิดในใจว่า ‘นี่ไม่เหมือนยาน้ำกล่อมประสาท หรือว่าภายหลังฉางเฟิงได้รับบาดเจ็บ? เพียงแต่ยามนั้นที่ข้ายืนส่งท่านลุงเจียงพาเขากลับไปก่อนด้วยสายตานั้น ก็ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลแล้ว ด้วยความสามารถของท่านลุงเจียง ตามหลักแล้วฉางเฟิงก็ไม่น่าถึงกับได้รับบาดเจ็บจึงจะถูก…หรือเพราะข้ออ้างว่า พักฟื้น จึงจงใจทำกลิ่นยานี้ออกมา?’
ในขณะที่นางกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น เฉินหรูผิงก็ได้เปิดกลอนประตู เมื่อประตูเรือนเปิดออก หญิงสาวที่มาให้เห็นแม้จะสวมชุดของสาวใช้ แต่หน้าตากลับไม่คุ้นเคยยิ่งนัก ล้วนมิใช่คนที่เคยอยู่ในเรือนเสียซวง ทั้งยังไม่ใช่คนในเรือนหลิวหวาด้วย เว่ยฉางอิ๋งพลันอดตะลึงค้างไม่ได้
_______________________