ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 65 มาเยี่ยม
ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังสงสัยว่าสาวใช้ที่ไม่คุ้นหน้าผู้นี้มาจากที่ใดกัน ก็เห็นว่าเฉินหรูผิงก้าวเข้าไปภายในแล้ว จึงรีบเดินตามไป ทั้งสามคนเดินเข้าไปในระเบียงทางเดินโดยไม่ส่งเสียงใด จากนั้นเฉินหรูผิงก็หันหน้ากลับมาถามสาวใช้ผู้นั้นว่า “คุณชายห้ากลับมาแล้ว ได้ยินว่าสองวันมานี้คุณหนูใหญ่นอนหลับไม่ค่อยดี จึงได้มาดูก่อน…ฮูหยินยังอยู่ข้างในหรือไม่?”
“ข้าน้อยขอแสดงความยินดีที่คุณชายห้ากลับมาอย่างปลอดภัย!” สาวใช้ผู้นั้นหันไปคำนับเว่ยฉางอิ๋งก่อนคราหนึ่ง แล้วตอบว่า “เมื่อครู่นี้ฮูหยินมีอาการอ่อนเพลีย คุณหนูใหญ่จึงสั่งให้คนส่งฮูหยินกลับไปก่อนเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้ก็ดี” เฉินหรูผิงดูท่าทางไม่ต้องการจะเห็นขัดกับฮูหยินซ่ง เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าก็ผ่อนคลายลง”
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะสงสัยเรื่องที่มีสาวใช้ที่ไม่รู้จักมาเพิ่มในเรือนพักของตนแต่กลับคำนึงถึงน้องชายมากกว่า เมื่อเห็นเฉินหรูผิงไถ่ถามความเสร็จ จึงเข้าเดินเข้าไปภายในห้องก่อน
เมื่อผลักประตูเปิดออก ที่ใต้หน้าต่างทางทิศตะวันตกนั้น ก็เห็นเว่ยฉางเฟิงสวมเสื้อตัวยาวไม่เก่าไม่ใหม่ซึ่งสวมเป็นปกติตอนอยู่บ้าน เขาอาจเพิ่งอาบน้ำมา ปล่อยผมยาวสยายนั่งอยู่บนตั่งไม้ แม้จะปล่อยผมลงมา แต่เขาก็ยังคงนั่งตัวตรงอยู่ข้างหลังโต๊ะ และอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
นอกจากเขาแล้ว ภายในห้องไม่มีใครอีก… เรือนที่ว่างเปล่า แตกต่างกับเสียงหัวร่อต่อกระซิกที่ลอดออกไปนอกกำแพงตั้งแต่เช้ายันค่ำเมื่อก่อนนี้อย่างสิ้นเชิง… ลวี่อีและลวี่ฉือคงจะตายไปในป่าแล้ว ลวี่ฝางและลวี่ปิ้น ยังมีเด็กหญิงรับใช้ที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยอักษรจูอีกสี่คน และแม่นมแซ่เฮ่อ…
เว่ยฉางอิ๋งมองไปภายในห้องที่มีเพียงน้องชาย นางนิ่งเหม่อไปเกือบเค่อ ยามนั้นเองเว่ยฉางเฟิงกำลังพลิกหน้าหนังสือ ได้ยินเสียงประตูเปิด พลันปรายตาไปมองคราหนึ่ง… ทันใดนั้นเองเขาก็สะดุ้งไปทั้งตัว ทั้งยังผลักโต๊ะตรงหน้าจนล้ม แล้วร้องเรียกเสียงหลงว่า “ท่านพี่!”
“คุณหนูใหญ่และคุณชายห้าโปรดอย่าเพิ่งพูดคุยกันเจ้าค่ะ!” ทันใดนั้นเองเฉินหรูผิงพลันเอ่ยเสียงแข็งขึ้นมาขัดจังหวะสองพี่น้องที่กำลังจะสอบถามถึงเรื่องราวของกันและกัน แล้วเอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “ข้าน้อยให้ฉินเกอไปเตรียมห้องอาบน้ำเอาไว้แล้ว… คุณชายห้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้ากับคุณหนูใหญ่เถิดเจ้าค่ะ เกรงว่าฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงกำลังจะมาแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างตกอกตกใจว่า “นางจักมาทำสิ่งใด?” แม้เดิมทีนางจะไม่ชอบเว่ยฉางเสียนเป็นทุกเดิม แต่กับป้าสะใภ้แซ่เสี่ยวหลิวกลับมิได้รู้สึกอย่างไร แต่ก็นับได้ว่าให้ความเคารพนับถือ ทว่านับแต่ได้รู้จากเว่ยซินหย่งว่าที่มีคนลอบทำร้ายนางครานี้ ก็เพราะนางแซ่เสี่ยวหลิวหลอกถามเอากับหลานชายร่วมสกุล… หรือบางทีอาจไม่จำเป็นต้องหลอกถาม ในเมื่อเรื่องครานี้ฮองเฮากู้ก็มีส่วนร่วมด้วย… สนมเอกเติ้งยังสั่งให้เติ้งจงฉีที่เป็นหลานแท้ๆ มาทำงาน ฮองเฮากู้ก็ต้องการให้ตระกูลหลิวได้ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาท เช่นนั้นหลิวซีสวินเป็นที่ต้องสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อยามนี้ได้ยินว่านางเสี่ยวหลิวจะมา เว่ยฉางอิ๋งก็เรียกนางว่าป้าสะใภ้อีกไม่ไหวเสียแล้ว
เว่ยฉางเฟิงและเฉินหรูผิงต่างก็มีสีหน้าไม่ต้อนรับนางเสี่ยวหลิว เฉินหรูผิงยิ้มเยาะแล้วกล่าวว่า “นับแต่คุณชายห้ากลับมาก่อน จวนจิ้งผิงกงแทบจะส่งคนมาเยี่ยมทุกวันวันละหน! และผู้ที่มาก็ล้วนเป็นญาติที่เป็นหญิง เช่นฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงหรือคุณหนูรอง ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้คนเอายามาต้มไว้ภายในเรือนตลอดทั้งวัน เพื่อเป็นข้ออ้างว่าคุณหนูป่วยหนัก ต้องการพักผ่อนอย่างสงบโดยสิ้นเชิง จึงสามารถกันพวกนางเอาไว้ไม่ให้เข้ามาเยี่ยมถึงข้างตั่งนอนตามที่พวกนางต้องการ แต่เมื่อจวนจิ้งผิงกงทำการหนนี้ไม่สำเร็จ ก็คิดจะแนะนำหมอให้มารักษา… โชคดีที่วันนี้คุณหนูกลับมาแล้ว เช่นนั้นวันนี้ก็พบฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงสักหน่อย เพื่อให้นางตายใจเสียทีเจ้าค่ะ!”
การที่จวนจิ้งผิงกงไม่ยอมลดละและไม่ยอมรามือเสียทีเช่นนี้ ดูท่าว่าหมายมั่นปั้นมือจะต้องเอาเรื่องของเว่ยฉางอิ๋งมาเล่นงานเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งให้จงได้ เหตุครานี้เร่งร้อนนัก เว่ยฉางอิ่งพี่น้องต่างก็ยังมิทันมีเวลาเล่าเรื่องที่เผชิญมา เว่ยฉางอิ๋งจึงเข้าไปหลังฉางกั้นในทันทีเพื่อปลดเสื้อตัวนอกออก
เฉินหรูผิงตามเข้าไปดูแลนางที่หลังฉากกั้น มือของนางที่กำลังช่วยเว่ยฉางอิ๋งปลดเสื้อออกนั้นรู้สึกถึงอาการสั่นได้ชัดเจน จนเว่ยฉางอิ๋งต้องปรายตามามองอย่างสงสัย… เพราะยามนี้เพิ่งจะเป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง เสื้อผ้าที่เว่ยฉางอิ๋งสวมอยู่ก็ไม่ได้มากมาย ไม่นานก็ถอดเสื้อตัวนอกออกและส่งให้แก่เฉินหรูผิง เป็นการบอกว่าให้นางนำออกไปให้เว่ยฉางเฟิง… เพียงแค่เฉินหรูผิงกลับไม่ได้ไป นางกอดเสื้อตัวนอกเอาไว้ กล่าวด้วยเสียงแหบพร่าว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ปิ่นที่ตรงนี้เบี้ยวแล้ว คงเพราะโดนงอบ อย่างไรก็ดึงออกมาเสียก่อนเถิดเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นอีกสักครู่คงจักร่วงลงมา!”
เว่ยฉางอิ๋งมิได้เคลือบแคลงนาง จึงยกมือขึ้นไปคลำที่มวยผม…เมื่อนางยกมือขึ้น แขนเสื้อตัวในก็ย่อมไหลลงมา เผยให้เห็นลำแขนขาวผุดผ่องดังหิมะ แต้มพรหมจรรย์สีแดงสดบนท้องแขนของนางยังคงมีสีแจ่มชัด
เมื่อเห็นดังนั้น เฉินหรูผิงพลันถอนหายใจยาวโดยไร้ซุ่มเสียงใด!
เว่ยฉางอิ๋งเดินทางไปกับชายกลุ่มหนึ่งแทนน้องชายแล้วกลับมา ที่แท้แล้วเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ ไม่เพียงแค่คนนอกจะพากันคาดเดาไปในทางร้าย แล้วจักให้คนในบ้านตนเองไม่เป็นกังวลได้อย่างไร แม้ว่าก่อนหน้านี้ยามเมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า เว่ยฉางอิ๋งจะมีสีหน้าที่นับได้ว่าสงบราบเรียบ ตะ…แต่ว่าเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้หากไม่ดูให้แน่ใจแล้วจักให้วางใจได้อย่างไร?
เพียงแต่หากเว่ยฉางอิ๋งเกิด…จริงดังว่า ต่อให้ถามอ้อมค้อมเพียงใด ก็ไม่ใช่เท่ากับเป็นการแทงมีดลงไปบนหัวใจของนางอีกคราหรอกหรือ? หรือถึงแม้เว่ยฉางอิ๋งจะยังคงไม่บุบสลายใดๆ แต่ก็เพิ่งผ่านเรื่องเป็นตายมา ทั้งยังทำไปเพื่อปกป้องน้องชาย กว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้ มาได้ยินการซักไซ้ในเรื่องที่อ่อนไหวเช่นนี้ก็จะต้องคิดว่าคนในบ้านกำลังรังเกียจตน ยังดีที่… แม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่ได้สงบเสงี่ยมเช่นคุณหนูบ้านใหญ่ทั่วไป แต่หญิงสาวในตระกูลใหญ่ต่างก็ต้องแต้มแต้มพรหมจรรย์ และนางก็ต้องแต้มด้วยเช่นกัน
เฉินหรูผิงใช้อุบายเล็กน้อยก็สามารถทำภารกิจที่แม่เฒ่าซ่งมอบให้มาได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นผลลัพธ์ที่แม่เฒ่าซ่งแทบจะต้องเอาชีวิตไปแลกมา เมื่อหินก้อนมหึมาหล่นพ้นดวงใจไป ฝีเท้าที่นางก้าวออกไปนั้นจึงรวดเร็วกว่าเดิมมาก
นางเร่งแต่งตัวให้เว่ยฉางเฟิงประหนึ่งว่าเพิ่งจะคลุกดินคลุกทรายกลับมา และกำชับไปสองสามประโยค ให้เขากลับไปที่เรือนหลิวหวาเสียก่อน จากนั้นก็เรียกฉินเกอ สาวใช้ที่เว่ยฉางอิ๋งไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนผู้นั้นเข้ามา บอกให้นางคอยปรนนิบัติยามเว่ยฉางอิ๋งอาบน้ำ แล้วพลันเดินสาวเท้ายาวรวบสามก้าวเป็นสองก้าว เร่งกลับเรือนหลักเพื่อรายงายข่าวดีต่อแม่เฒ่าซ่ง
เว่ยฉางอิ๋งมิได้สังเกตถึงจุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดที่เฉินหรูผิงกลับเรือนเสียซวงมาพร้อมตน หากแต่ไปให้ความสนใจว่าสาวใช้ที่นางเห็นตอนที่เข้ามาในห้องอาบน้ำเหล่านั้น ไม่มีสักคนที่นางรู้จัก ก่อนนี้ได้พบกับฉินเกอที่ข้างนอกนั่น แต่เพราะมัวแต่ดูเว่ยฉางเฟิงอยู่จึงมิได้ไต่ถามอย่างละเอียด ยามนี้นางจึงขมวดคิ้วแล้วว่า “พวกเจ้าเป็นผู้ใด? คนที่เคยอยู่ที่นี่เล่า?”
ฉินเกอก้าวออกมาคำนับข้างหน้าแล้วว่า “ก่อนนี้คุณหนูใหญ่ต้องการพักผ่อนอย่างสงบ คนในเรือนมีมากเกินไป ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้จัดแจงให้ออกไปจำนวนหนึ่ง แล้วให้พวกข้าน้อยมาปรนนิบัติคุณหนูใหญ่ ข้าน้อยฉินเกอ พวกนางคือเยี่ยนเกอ เจวี๋ยเกอ และหานเกอเจ้าค่ะ”
สาวใช้อีกสามนางคำนับพร้อมกัน “คารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดอยู่เกือบเค่อ คิดในใจว่าอาจเพราะเด็กรับใช้เล็กๆ อย่างพวกของจูหลานนั้นร่าเริงเกินไป กลัวว่าพวกนางจะเก็บคำพูดไว้ไม่อยู่ จึงได้ส่งให้พวกนางไปที่อื่น เพียงแต่ลวี่ฝางและลวี่ปิ้นก็ยังนับได้ว่าสำรวมเรียบร้อย เหตุใดจึงถูกไล่ไปเสียแล้ว? หรือเพราะพวกนางไม่น่าเชื่อถือพอ?
ยิ่งไปกว่านั้น นางเฮ่อเล่า?
นางจึงเอ่ยถามว่า “แม่นมของข้าก็ถูกย้ายออกไปด้วยหรือ?”
ฉินเกอยิ้มออกมาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กล่าวว่า “แน่นอนว่าท่านป้าเฮ่อยังอยู่ เพียงแต่ท่านป้าเป็นกังวลถึงคุณหนูใหญ่อยู่ทุกวันทุกคืน เมื่อวานนี้จึงมีไข้ ฮูหยินผู้เฒ่าเกรงว่านางจะป่วยหนัก จึงสั่งให้ส่งไปนอกเรือนเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว “มีไข้?”
“คุณหนูใหญ่มิต้องเป็นกังวลไปเจ้าค่ะ แม้ท่านป้าเฮ่อจะถูกส่งไปนอกเรือน แต่ฮูหยินผู้เฒ่าได้ส่งท่านหมอไปตรวจอาการแล้ว บอกว่าพักผ่อนสักวันสองวันก็จะหายเจ้าค่ะ” ฉินเกอรีบว่า “เมื่อนางหายดีแล้ว อย่างไรก็ต้องมาปรนนิบัติคุณหนูใหญ่อย่างแน่นอนทีเดียวเจ้าค่ะ”
ดังนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงค่อยโล่งอก นางเองก็เพลียแล้ว อีกสักพักยังต้องไปพบนางเสี่ยวหลิวอีก จึงไม่ได้เอ่ยให้มากความ พยักหน้าแล้วถอดเสื้อผ้าก้าวเข้าไปในอ่างอาบน้ำ
หลังจากอาบน้ำแล้ว ฉินเกอและเยี่ยนเกอเข้ามาช่วยนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า และเพราะเป็นคนที่เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ ไม่เหมือนพวกของลวี่ฝางทั้งสี่คนที่คุ้นเคยกับความชอบพอของเว่ยฉางอิ๋ง จึงใช้เวลาอยู่นานกว่าจะทำให้นางพึงพอใจได้
เมื่อออกมาจากห้องอาบน้ำและกลับเข้าภายในห้อง เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่านางเสี่ยวหลิวยังไม่มา จึงได้เอนกายลงนอนบนตั่งไม้อยู่เป็นนาน แล้วให้เจวี๋ยเกอและหานเกอเอาผ้าซับผมนางให้แห้ง
เดิมทีนางคิดจะนอนเอนหลังสักพัก เพียงแต่สองวันนี้นางเหนื่อยล้าเสียเหลือเกิน เพิ่งจะเอนกายลงไปก็หลับไปเสียแล้ว
และมิรู้ผ่านไปนานเท่าใด เว่ยฉางอิ๋งถูกคนเขย่าตัวปลุกให้ตื่น พลางเอ่ยถามสาเหตุด้วยอาการงัวเงีย ได้ยินฉินเกอขยับเข้ามาใกล้หูแล้วพูดเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงและฮูหยินใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ”
“หือ?” เว่ยฉางอิ่งงุนงงอยู่เกือบเค่อ แล้วพลันได้สติคืนมา รีบคว้ามือของฉินเกอเอาไว้แล้วว่า “แล้วคนไปอยู่เสียที่ใด?”
“เมื่อครู่นี้เสี่ยวซือจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าวิ่งมา บอกว่าพวกนางเพิ่งจะไปคราวะฮูหยินผู้เฒ่า กำลังเดินทางมาเจ้าค่ะ” ฉินเกอเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งจะลุกขึ้นมานั่ง จึงรีบกดนางเอาไว้ แล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “วันนี้คุณชายห้ากลับมาและมาเยี่ยมคุณหนูใหญ่ นับได้ว่าคุณหนูใหญ่ฟื้นตัวขึ้นมามาก… เพียงแต่ก่อนนี้ป่วยมาตลอด แล้วครานี้จะลุกขึ้นมาจากตั่งได้อย่างไร? ฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงและฮูหยินใหญ่ต่างก็เป็นผู้มีจิตใจกว้างขวางมีเมตตา จักต้องไม่มาคิดเล็กคิดน้อยกับคุณหนูใหญ่เป็นแน่”
เมื่อได้ยินนางกล่าวเตือน เว่ยฉางอิ๋งที่กำลังนอนและอยู่ในอาการงัวเงียจึงเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าครานี้ตนเองไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมาสระหวีผมเผ้าเตรียมตัวออกไปต้อนรับ จึงได้นอนลงไปอีกครั้งอย่างวางใจ พลางว่า “ครานี้ข้าเองก็รู้สึกแทบจะลุกไม่ขึ้น กลายเป็นดีเสียอีก”
ฉินเกอปิดปากหัวเราะ “คุณหนูใหญ่กล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ”
ทางนี้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว รออีกหนึ่งเค่อ ก็เห็นเฉินหรูผิงเดินเข้ามากับนางเสี่ยวหลิวและนางซู เมื่อได้กลิ่นยา ภายในเรือนจึงได้เริ่มเอ่ยถามถึงอาการ ผู้ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกคือเจวี๋ยเกอ ห่างออกไปในระยะหน้าต่างเปิดแง้มครึ่งบานกั้น ได้ยินเพียงเจวี๋ยเกอตอบไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “…วันนี้คุณชายห้ากลับมาอย่างปลอดภัย เมื่อได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ลุกจากเตียงไม่ได้ จึงตั้งใจมาเยี่ยมก่อน เมื่อคุณหนูใหญ่เห็นคุณชายห้า ก็กลับมีอาการดีขึ้นอย่างมาก ยามนี้เริ่มรู้สึกตัวและมีกำลังขึ้นมาบ้างแล้วเจ้าค่ะ”
…นางเสี่ยวหลิวและนางซูมีอาการสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นเฉินหรูผิงเสียอีกที่หัวเราะออกเสียงออกมาอย่างสบายใจ แล้วกล่าวต่อไปว่า “เมื่อครู่นี้ฮูหยินผู้เฒ่ายังกล่าวกับฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงว่า สาเหตุที่คุณหนูใหญ่ล้มป่วย ล้วนเพราะเป็นห่วงคุณชายห้า วันนี้คุณชายห้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว หากคุณหนูใหญ่จะมีอาการดีขึ้น เช่นนั้นในวันนี้จวนของเราก็นับว่ามีเรื่องมงคลคู่มาสู่ประตูแล้ว! ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ… แม้วันนี้ฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงและฮูหยินใหญ่จะไม่มา ฮูหยินผู้เฒ่าก็กำลังจะส่งคนไปที่จวนจิ้งผิงกงเพื่อแจ้งข่าวดีอยู่พอดีเชียวเจ้าค่ะ! ท่านว่าวันนี้เป็นวันดีหรือไม่เจ้าคะ?”
นางเสี่ยวหลิวดูเหมือนเพิ่งจะไหวตัวทันขึ้นมา พลันฝืนยิ้ม “แม่นมเฉินกล่าวถูกต้องแล้ว”
มิรู้ว่าเป็นเพราะนางไม่เชื่อหรือเพราะไม่วางใจ จึงได้กล่าวต่อไปว่า “ในเมื่อเด็กคนนี้อาการดีขึ้นแล้ว กลับมิรู้ว่าพวกเราจะเข้าไปดูสักหน่อยได้หรือไม่? หากนางหลับอยู่ พวกเราก็ถอดเครื่องประดับออกแล้วค่อยเข้าไป…”
เว่ยฉางอิ๋งอยู่ข้างในได้ยินจนถึงตรงนี้ จึงส่งสายตาไปยังฉินเกอที่อยู่ตรงหน้า ฉินเกอเข้าใจ จึงเดินออกไปแล้วว่า “คุณหนูใหญ่ตื่นอยู่เจ้าค่ะ เมื่อได้ยินว่าฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงและฮูหยินใหญ่มาแล้ว จึงให้ข้าน้อยออกมาเชิญทั้งสองท่านเข้าไปเจ้าค่ะ!” แล้วเอ่ยอีกว่า “แม่นมเฉินก็เชิญเข้าไปด้วยเจ้าค่ะ”
เกือบเค่อหลังจากนั้น นางเสี่ยวหลิว นางซู และเฉินหรูผิงจึงได้เข้าไปภายในห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งสวมเสื้อตัวใน มีเสื้อตัวนอกคลุมบ่าอยู่ ปล่อยผมยาวสยาย พิงอยู่ที่พนักพิงด้วยท่าทางดูอิดโรยไร้เรี่ยวแรง นางเสี่ยวหลิวพลันแสดงความรักใคร่ออกมาทางแววตา กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ฉางอิ๋งเจ้าลุกขึ้นได้แล้วรึ? ครานี้รู้สึกเช่นใด?”
หลังจากที่เว่ยฉางอิ๋งเหนื่อยอ่อนและไม่ได้นอนหลับดีๆ พอดีกับที่ในลำคอก็แหบพร่าเล็กน้อย และมีอาการเลือดลมกลางลำตัว[1]ไม่เพียงพอ ยามนี้จึงได้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เมื่อครู่นี้ได้พบกับฉางเฟิง ข้าก็วางใจแล้ว ยามนี้จึงรู้สึกว่าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ยังคงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ได้ยินท่านป้าและพี่สะใภ้ใหญ่เข้ามาในเรือน ก็กลับไม่มีเรี่ยวแรงจะร้องเรียก จึงทำได้เพียงให้ฉินเกอออกไปเชิญ…”
“เจ้าเด็กคนนี้ พวกเรามาเยี่ยมเจ้า ช้าเร็วก็ต้องเข้ามาอยู่ดี” นางเสี่ยวหลิวรีบกล่าว “หากทำให้เจ้าร้อนใจจนพักฟื้นไม่ดี กลับเป็นพวกเราทำการไม่ควรเสียอีก”
เฉินหรูผิงที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วว่า “หลายวันมานี้คุณหนูใหญ่เอาแต่นอนไม่ได้สติเกรงว่าจะไม่รู้ ฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงและฮูหยินของนายใหญ่เป็นห่วงคุณหนูใหญ่ยิ่งนัก ทุกๆ วันแทบจะต้องมาเยี่ยมวันละหนึ่งหนเชียว!” คำพูดนี้บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกมาได้จริงดังนั้น แต่กลับมีน้ำเสียงเสียดสีที่รู้สึกได้ไม่ยาก
“เป็นเช่นนี้เอง!” เว่ยฉางอิ๋งเตรียมตัวเอาไว้นานแล้ว จึงได้มองไปยังนางเสี่ยวหลิวและนางซูอย่างซาบซึ้งเป็นนักหนา “เพราะฉางอิ๋งไม่ดีเอง เอาแต่เป็นห่วงน้องห้า จนต้องนอนซมอยู่บนเตียง ทำให้ท่านป้าและพี่สะใภ้ใหญ่ต้องเป็นกังวล!”
แววตาของนางเสี่ยวหลิวส่องประกายวิววับ อุทานออกมาว่า “พวกเราหรือจะนับว่าเป็นกังวลได้? หากจะบอกว่ากังวลก็ต้องเป็นมารดาของเจ้า!” นางเอ่ยราวกับว่ามิได้ระมัดระวังใดๆ “ได้ยินว่านางก็เพิ่งจะเดินออกมาจากเรือนของเจ้านี่? อาการไอที่มีมาหลายวันนี้ก็มิรู้ว่าดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง?”
เว่ยฉางอิ๋งกำลังจะพูด สีหน้าของเฉินหรูผิงพลันเปลี่ยน แล้วแย่งพูดไปทันใด “ฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงจำผิดเสียแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่มีอาการปวดหัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้ไอเจ้าค่ะ”
“…” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเย็นวาบอยู่ในใจ พลางนึกด่าความร้ายกาจของนางเสี่ยวหลิว และรู้สึกว่าโชคดีที่เฉินหรูผิงอยู่ด้วย แต่กลับเห็นว่าเมื่อนางเสี่ยวหลิวทดสอบตนล้มเหลว ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางซูพลันหัวเราะแก้สถานการณ์ “หลายวันนี้ท่านแม่เอาแต่เป็นห่วงฉางอิ๋ง จึงได้จำผิดไป”
“อายุมากแล้วความจำก็ไม่ดี กลายเป็นเรื่องน่าขันของพวกเจ้าไปเสียแล้ว” นางเสี่ยวหลิวกลับมามีสีหน้าปกติดังเดิม แล้วกล่าวเยาะตนเองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ต่อจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ทักทายปราศรัยกันสักพัก เพราะนางเสี่ยวหลิวเอ่ยถึงฮูหยินซ่ง เว่ยฉางอิ๋งยังคงเคืองเรื่องนี้อยู่ จึงทนเสแสร้งไม่ได้นานนัก เมื่อรู้สึกว่าพูดคุยกันพอควรแล้วจึงอ้างว่าตนอ่อนเพลียแล้ว… และแน่นอนว่าเฉินหรูผิงย่อมช่วยนางไล่คนไป
รอจนจัดการให้นางเสี่ยวหลิวและนางซูไปแล้ว สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งพลันหนักอึ้งลง เอ่ยถามฉินเกอว่า “ท่านแม่ปวดหัวรุนแรงหรือไม่?”
ฉินเกอไม่กล้าปิดบัง “ด้วยฮูหยินเป็นห่วงคุณหนูใหญ่ ทำให้ธาตุไฟรุมเร้าจึงได้ปวดศีรษะเจ้าค่ะ สองวันนี้นอนไม่หลับเลย ท่านหมอจี้ให้ยากล่อมประสาท เมื่อดื่มยาแล้วจึงนอนหลับไปได้เกือบเค่อ… คิดว่าเมื่อฮูหยินรู้ว่าคุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว ก็จักต้องหายอย่างรวดเร็วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งตระหนักดีว่ามารดารักใคร่ตนเองและน้องชายมากเพียงใด ครานี้พี่น้องทั้งสองคนต่างประสบอันตราย แต่ก็เอาชีวิตรอดมาจากในป่าได้อย่างหวุดหวิด แม้จะลำบากแสนเข็ญ แต่แม้ตัวฮูหยินซ่งจะอยู่ในรุ่ยอวี่ถังซึ่งมีความปลอดภัย ก็เกรงว่าคงไม่มีสักเวลาที่จะสุขสงบได้ เมื่อฟังฉินเกอพูดออกมาดังนั้นแล้วก็ถอนใจ กล่าวว่า “เจ้าให้ใครสักคนไป มิต้องไปรบกวนท่านแม่ยามนอน รอจนท่านแม่ตื่นแล้ว ให้รายงานทันทีว่าข้าปลอดภัยมิเป็นไรแล้ว”
แม้ฉินเกอจะรู้ว่าแม่เฒ่าซ่งจะต้องสั่งให้คนไปบอกกล่าวกับแม่นมซือเสียตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังรับคำและเรียกให้เยี่ยนเกอวิ่งไปบอก
____________________________
[1] เลือดลมกลางลำตัว หรือ 中气 เป็นลมปราณที่อยู่ควบคุมการทำงานของม้าม กระเพาะ ลำไส้ อวัยวะที่เกี่ยวกับการย่อยและแยกสารอาหาร