ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 67 เสิ่น หลิว ซู
เว่ยเจิ้งหย่าและนางเสี่ยวหลิวมาหาด้วยตัวเอง และเรื่องราวที่ต้องการนำมาบอกกล่าวผ่านก้อนดินเหนียวที่นำมามอบให้นั้นก็หาใช่เรื่องลมๆ แล้งๆ เพราะบ่ายวันนั้น แม่เฒ่าซ่งก็ได้รับจดหมายที่เว่ยเจิ้งอินส่งคนให้เดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อนำมามอบให้ ในจดหมายใช้น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวบรรยายถึงเรื่องราวที่มีคนมาขวางเกี้ยวร้องเรียน…
เรื่องที่มีชาวบ้านเฟิ่งโจวไปร้องห่มร้องไห้ขวางขบวนของเสนาบดีฝ่ายปกครองเว่ยฉีขณะเดินทางกลับจากวังหลวงบนถนนจูเชว่ซึ่งนับเป็นถนนที่พลุกพล่านที่สุดในเมืองหลวงนั้น ทำให้ผู้คนจำนวนมากพากันหยุดดู
ประเด็นหลักคือ เมื่อชาวบ้านผู้นี้ตะโกนร้องไห้จนทำให้เว่ยฉีลงมาจากเกี้ยวแล้ว พอเด็กรับใช้ข้างกายเว่ยฉีบอกกล่าวถึงฐานะของเว่ยฉี เพื่อต้องการให้ชาวบ้านผู้นั้นรู้ว่าควรจะคาราวะอย่างไร ไม่คิดว่าเพียงเด็กรับใช้เอ่ยคำว่าเว่ยออกมาคำเดียว ชาวบ้านเฟิ่งโจวที่ก่อนนี้พุ่งตัวฝ่าองครักษ์เข้ามายื่นคำร้องอย่างไม่คิดชีวิตกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่สองสามประโยค ก็พลันเก็บคำร้องไปทันใดและคิดจะวิ่งหนี
เรื่องผิดปกติเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะไม่สงสัย? ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเหตุที่นานครั้งเว่ยฉีจะเผยตัวบนท้องถนน ไม่มีทางปล่อยให้คนจู่ๆ อยากขวางขบวนก็ขวาง อยากจะไปก็ไปเช่นนี้เป็นเด็ดขาด หาไม่แล้วชาวบ้านร้านตลาดก็จะเห็นฉาก ‘ชาวบ้านเดินทางพันลี้เข้าเมืองหลวงเพื่อร้องเรียนตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว กลับไม่ดูตาม้าตาเรือวิ่งเข้ามาในมือของเว่ยฉีซึ่งเป็นคนในตระกูลเว่ยเช่นกัน’ บนถนนกลางเมือง
…ซึ่งแน่นอนว่าเว่ยฉีที่ ‘เคารพ’ เว่ยฮ่วนมาโดยตลอดย่อมไม่มีทางเชื่อคำกล่าวของชาวบ้านเพียงหนึ่งคน เขามิทันฟังความของชาวบ้านผู้นั้นจนจบ ก็พลันต่อว่าอีกฝ่ายอย่างโมโหโกรธาว่าพูดจาเลอะเลือน ถึงขนาดกล้าให้ร้ายหลานสาวบ้านใหญ่ของขุนนางคนสำคัญ กระทั่งแทบจะตีคนผู้นั้นจนตายอยู่กลางถนน! ไม่คิดว่าตอนแรกชาวบ้านผู้นั้นยังกล้าๆ กลัวๆ แต่พอถูกขู่จนตกใจเช่นนี้ กลับไม่สนสิ่งใดอีก เมื่อตอนที่ถูกเว่ยฉีสั่งคนให้กดเขานอนลงเพื่อรับการโบยตีนั้น เขากลับเล่าออกมาเสียงดังลั่นว่าตนเคยได้เห็นเว่ยฉางอิ๋งถูกกระทำให้เสียหายอยู่ภายในป่า และนับจากนั้นเขาจึงกลายเป็นเป้าไล่ล่าของรุ่ยอวี่ถัง ทั้งยังเล่าอย่างละเอียดเป็นอย่างมากด้วย… กระทั่งลักษณะสำคัญต่างๆ ที่อยู่บนต้นไม้ใบหญ้ากี่แห่งต่อกี่แห่งก็ยังบรรยายออกมาจนหมด!
เรื่องราวต่างจากที่นางเสี่ยวหลิวเล่าอยู่เพียงที่เดียว นั่นก็คือชาวบ้านผู้นี้ไม่เคยวาดภาพใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งออกมา กลับกลายเป็นว่าเขาตะโกนบรรยายรูปร่างหน้าตาของเว่ยฉางอิ๋งออกมาสองสามประโยค และมีศิลปินที่ชำนาญการวาดภาพแบบดานชิง[1]อยู่ข้างทาง ‘พอดี’ จึงได้ ‘ลอง’ วาดภาพออกมาภาพหนึ่งตามสิ่งที่เขาพรรณนาออกมา…และแพร่สะพัดกันออกมาเช่นนี้นั่นเอง
และเมื่อภาพภาพนี้วาดเสร็จไม่นาน ชาวบ้านผู้นั้นก็ยังตะโกนความเป็นมาตั้งแต่ต้นจนจบเสียดังลั่น จนคนแถวนั้นต่างได้ยินกันหมด สุดท้ายจึงถูกองครักษ์ของเว่ยฉีตีจนตายคาที่อยู่บนถนน
เว่ยฉียังประกาศออกไปด้วยโทสะมหันต์ หากให้เขาได้ยินคำว่าร้ายนายผู้หญิงในบ้านขุนนางคนสำคัญอีก ก็จะต้องเป็นเช่นคนผู้นี้!
…แต่เพียงคิดก็รู้แล้วว่า คนนอกต่างพากันคิดมาโดยตลอดว่าในปีที่เว่ยฮ่วนเกษียณตัวจากราชการนั้น ก็ได้ผลักดันให้เว่ยฉีได้รับตำแหน่งเสนาธิการฝ่ายปกครอง ซึ่งนับว่าเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อเว่ยฉี ส่วนหลายปีมานี้เว่ยฉีเองก็ไปคารวะเว่ยฮ่วนอยู่ทุกเทศกาลไม่เคยขาด
ในเมื่อเว่ยฉีเข้าข้างและช่วยเหลือเว่ยฮ่วนถึงเพียงนี้ เช่นนั้นแล้วที่เขาตีชาวบ้านที่มาฟ้องร้องเว่ยฮ่วน และยังให้ร้ายต่อชื่อเสียงหลานสาวของเว่ยฮ่วนก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา… ไม่ว่าการให้ร้ายนี้จะเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ดีชั่วอย่างไร เว่ยฉีก็ต้องตอบแทนบุญคุณของเว่ยฮ่วน ต่อให้จริงก็ต้องกลายเป็นเท็จ!
แต่หากเป็นเท็จ ไยเว่ยฉียังมิทันแม้จะสืบสวนก็ตีคนจนตายเสียแล้วเล่า? เรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดว่าเขาออกโรงปกป้องเว่ยฮ่วน… อย่างไรเสียเรื่องก็เป็นไปตามที่ชาวบ้านผู้นี้เป็นกังวลและหวาดกลัวจนคิดจะหลบนี้ไปก่อนหน้านี้ว่า เว่ยฉี…ไม่เพียงแค่ติดหนี้บุญคุณเว่ยฮ่วนอย่างใหญ่หลวง เขาเองก็ยังเป็นลูกหลานตระกูลเว่ยด้วย! ด้วยความสัมพันธ์และด้วยหลักการแล้วก็จะไม่มีทางยอมรับว่าสตรีในตระกูลเว่ยถูกกระทำจนเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นแน่
ดังนั้นแล้ว เรื่องนี้…เกรงว่าจะมีโอกาสอย่างมากว่าจะเป็นเรื่องจริง!
ภายใต้การคาดเดากันไปเช่นนี้ แต่พยานหลักฐานในตอนนั้นกลับถูกเว่ยฉีปิดทับไปสิ้นแล้ว หลังจากนั้นบทสรุปของเรื่องนี้กลับยิ่งแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว! คำเล่าลือลุกลามรุนแรง ยังไม่ทันถึงกลางคืนก็แทบจะแพร่ไปทุกซอกทุกมุมในเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งลือยิ่งเกินจริงไปกันใหญ่… จนกระทั่งก่อนค่ำวันนั้น มีคนหลายคนจงใจมาวนเวียนอยู่ในบ้านของน้องสะใภ้ของเว่ยเจิ้งอิน แม้มิได้เอ่ยชัดเจน แต่ทั้งที่ได้ยินและไม่ได้ยินต่างก็มาเพื่อจะไถ่ถามถึงเรื่องนี้
เดิมทีนั้นมิต้องพูดว่าแต้มพรหมจรรย์บนแขนของเว่ยฉางอิ๋งยังอยู่ ต่อให้ไม่มีแล้วจริงๆ ก็คงทำได้เพียงใช้เหตุผลทำนองว่าคุณหนูตระกูลเว่ยป่วยหนักเพื่อเป็นข้ออ้างล้มเลิกสัญญาแต่งงาน ไม่มีทางบอกชัดไปว่าเว่ยฉางอิ๋งเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว… เรื่องนี้ไม่เพียงแค่เป็นหน้าตาของตระกูลเว่ย ต้องรู้เสียก่อนว่าเว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นจั้งเฟิงนั้นไม่เพียงหมั้นหมายกันมาแต่เล็ก แม่สื่อก็ไปแล้วพยานต่างๆ ก็มีแล้วจะเหลือก็แต่เข้าพิธีแต่งงานเท่านั้น เมื่อพิจารณากันจริงๆ เว่ยฉางอิ๋งนับว่าเป็นคนบ้านเสิ่นเสียตั้งนานแล้ว!
ซึ่งก็หมายความว่า หากเว่ยฉางอิ๋งถูกคนทรามทำลาย คนที่ต้องเสียหน้าก็คือตระกูลเว่ยและตระกูลเสิ่น สองปีมานี้กำลังอำนาจของรุ่ยอวี่ถังถดถ้อยลง แต่ตระกูลเสิ่นหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ อีกประการ สาเหตุที่กำลังอำนาจของรุ่ยอวี่ถังลดน้อยลงไปอีกเช่นในยามนี้ก็เพราะคุณหนูบ้านใหญ่ของสายหลักตระกูลเว่ยถูกข่มเหง ในทางลับนั้นเรื่องเอาคืนก็ส่วนเรื่องเอาคืน แต่ในทางแจ้งนั้นเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด
ละครตลกที่มีคนออกไปขวางเกี้ยวร้องทุกข์นี้ ไม่เพียงทำให้ชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋งที่ยังไม่ทันได้ไปเมืองหลวงต้องย่อยยับแล้ว กระทั่งเสิ่นจั้งเฟิงที่สองสามปีมานี้กำลังมีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่งในเมืองหลวงก็พลอยกลายเป็นตัวตลกไปด้วย!
ฮูหยินซ่งโกรธเสียจนสั่นไปทั้งตัว “ข่มเหงกันเกินไป! ข่มเหงกันเกินไปแล้ว! เจ้าแก่เว่ยฉี! ไอ้คนสารเลวเว่ยเจิ้งหย่า! ลงมือกับคนรุ่นหลังทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิงอย่างเอาให้มั่นคั้นให้ตาย ทั้งยังสร้างข่าวลือไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้… ช่างไม่กลัวเลยหรือว่าทำเลวไว้มากมายถึงเพียงนี้แล้วทั้งบ้านจะไม่ได้ตายดี?”
“กลัวอะไร?” ใบหน้าของแม่เฒ่าซ่งแข็งกร้าวดังเหล็ก แต่ก็ยังคงสงบนิ่ง แล้วกล่าวราบเรียบว่า “สองทางนี้สร้างข่าวลือใหญ่โต พูดกันอย่างมั่นอกมั่นใจว่าความบริสุทธิ์ของฉางอิ๋งสิ้นไปแล้ว แต่ความบริสุทธิ์ของฉางอิ๋งยังอยู่นี่เป็นความจริง จริงที่ไม่มีวันเท็จไปได้!”
ฮูหยินซ่งร้องไห้ออกมา พลางเอาผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าเอาไว้ พูดอย่างเจ็บปวดใจว่า “ท่านแม่เอ่ยเช่นนี้มีหรือข้าจะไม่รู้? เพียงแต่เมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้น ชื่อเสียงของฉางอิ๋งก็จะต้องเสียหาย ยังมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่นางยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านก็ทำให้สามีเสียหน้าเสียแล้ว แล้ววันหน้าทางบ้านสามีจะมองนางเช่นไร? เอาเฉพาะเรื่องเมื่อนางไปถึงเมืองหลวง พวกสตรีตระกูลสูงต่างๆ ที่ไปมาหาสู่ จะพูดจากันว่าอย่างไร? พวกคนที่ประสงค์ร้ายอยู่แล้วนั้นยังไม่ต้องพูดถึง เหตุใดคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไปยามก่อนออกเรือนนั้นต่างก็อยู่กันเงียบเชียบ คนภายนอกต่างไม่รู้ไม่เห็น แต่กลับเป็นนางที่มีข่าวลือต่างๆ นานาออกมา… สงสารลูกข้า บริสุทธิ์ไร้มลทินอยู่แท้ๆ กลับต้องมาถูกเยาะหยันและวิพากย์วิจารณ์เช่นนี้!”
“เรื่องนี้ล้วนเป็นสิ่งที่จนปัญญา” เมืองหลวงห่างไกลถึงเพียงนั้น เมื่อมีระยะทางแสนไกลกางกั้นอยู่ ต่อให้แม่เฒ่าซ่งมีกลอุบายลึกล้ำปานใด ก็ยังไม่หนทางจะช่วยปกป้องหลานสาวให้พ้นจากลมจากฝน ภายใต้ความจนใจนั้น จึงทำได้เพียงคิดในแง่ดีเข้าไว้ “ดีที่เด็กคนนี้มิใช่คนอ่อนแอ… พวกเราตระเตรียมบ่าวไพร่ที่จะไปอยู่กับฉางอิ๋งหลังแต่งงานให้เป็นพวกมีความสามารถ ให้พอจะช่วยเป็นกำลังหนุนให้นางได้บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของฉางอิ๋งก็แข็งแรงมาโดยตลอด เสิ่นจั้งเฟิง… ในเมื่อเป็นผู้ที่มีวรยุทธเหนือคน ก็คิดว่าจะต้องมีร่างกายแข็งแรงกำยำ พอเข้าบ้านไปแล้วก็อดทนเอาสักหน่อย เมื่อมีผู้สืบสกุลแล้ว ซูซิ่วม่านก็จะปกป้องนางเอง ซูซิ่วม่านก็หาใช่คนที่รังแกได้ง่ายๆ!”
“ฉางอิ๋งอุตส่าห์ปลอดภัยกลับมา แต่กลับต้องแบกรับชื่อเสียๆ เช่นนี้!” ไม่ว่าฮูหยินซ่งจะคิดอย่างไรก็ยิ่งรู้สึกคับแค้นใจแทนบุตรสาว “นางอุตส่าห์ทำเพื่อฉางเฟิงจึงได้กลับมาช้าวันสองวัน! เด็กคนนี้รักใคร่พวกพ้องน้องพี่ปานนี้ ไม่กลัวแม้ต้องเสียสละตนเอง… แล้วยามนี้กลับมาถูกไอ้พวกสารเลวทำร้ายจนเป็นเช่นนี้!”
นางจงเกลียดจงชังโดยเฉพาะเว่ยเจิ้งหย่า “ไม่ว่าอย่างไร ฉางอิ๋งก็ให้ความเคารพนับถือพวกเขาสามีภรรยามาโดยตลอด! แต่พวกเขากลับใจบาปหยาบช้าถึงเพียงนี้ ใครๆ ต่างว่ากันว่าเคราะห์กรรมอย่าให้ถึงภรรยาและลูก แม้แต่หลานสาวเขาก็กลับไม่ยอมละเว้น! อ้างว่าจะทำบันทึกให้กับบ่าวไพร่ที่ภักดีจึงได้เข้าป่าไปขุนดินเหนียวมา…ทั้งยังจงใจขุดไปก่อนจะเกิดเรื่องขวางเกี้ยวร้องทุกข์ในเมืองหลวง อาศัยฐานะที่เป็นลุงอีกสายหนึ่งของฉางอิ๋ง ยามนี้ผู้ใดเล่าจักไม่คิดว่าทุกสิ่งเป็นเพราะบ้านเราสันหลังหวะ ทางหนึ่งก็ไล่ฆ่าคนผู้นั้น อีกทางหนึ่งก็ทำลายหลักฐาน? ไม่มีผู้ใดจะบอกว่าเหตุที่ไม่ใช่คนในตระกูลสายเราเป็นผู้ลงมือ ก็เพื่ออำพรางสายตาคนจึงได้ไหว้วานพวกเขาเท่านั้น! ท่านลุงใหญ่สง่างามเหนือคนในแผ่นดิน เหตุใดจึงได้มีลูกสารเลวเช่นนี้!”
แม่เฒ่าซ่งกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ทางเว่ยเจิ้งหย่านั้นข้ามีวิธีแล้ว เจ้าไม่ต้องสนใจเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็ยังเป็นการต้อนรับคนที่มาจากบ้านเสิ่น… เจ้าคิดว่าเหตุที่เว่ยฉีลงมือครานี้ เพื่อประกาศตัวเป็นปรปักษ์กับเรารุ่ยอวี่ถัง เพียงเพราะต้องการใช้เรื่องของฉางอิ๋งมาทำให้พวกเราไม่สุขสงบสักพักเท่านั้นหรือ? ฉางอิ๋งเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น!”
ฮูหยินซ่งตกใจ กล่าวว่า “ท่านแม่?”
“เมื่อครู่นี้ในจดหมายของนางหวงเพิ่งจะมาถึงช้ากว่าจดหมายของเจิ้งอินเพียงครึ่งชั่วยามเศษ” แม่เฒ่าซ่งกุมหน้าผาก สายตาหนักอึ้งพลางว่า “ได้ยินมาว่าข่าวนี้ยังเป็นฉางหว่านบังเอิญไปได้ยินมา บอกว่าเว่ยเซิ่งอี๋… ครานี้ก็นับว่าเป็นเว่ยเซิ่งอี๋มีน้ำใจ จึงให้นางหวงส่งข่าวกลับมาบอก” นางมองตาฮูหยินซ่งคราหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “หลิวรั่วเหยียบุตรสาวบ้านใหญ่ของตระกูลหลิว สนใจในตัวเสิ่นจั้งเฟิงเป็นอย่างมาก!”
เมื่อเห็นว่าฮูหยินซ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แม่เฒ่าซ่งยังยกมือขึ้นเป็นการบอกให้นางเงียบเสียงอย่าได้เอะอะ แล้วพูดต่อว่า “ลำพังเพียงความต้องการเล็กน้อยของบุตรสาวบ้านใหญ่ก็ยังสามารถทำให้ตระกูลหลิวดึงตัวเว่ยฉีมาคิดการต่อฉางอิ๋งเพื่อนางได้… หลังจากที่เว่ยเซิ่งอี๋ได้ยินฉางหว่านบอกเรื่องนี้ กลับนึกถึงเรื่องที่ลือออกมาจากตำหนักกลางเมื่อไม่กี่วันก่อนได้… ว่าเพราะฮ่องเต้ได้เห็นซ่งตวนที่อายุยังน้อยแต่มี ‘ความดีความชอบ’ จากชัยชนะครั้งใหญ่ที่หัวเมืองทางเหนือของเฟิ่งโจว หลายวันก่อนยังได้เห็นราชองครักษ์ชินที่มาเข้าเฝ้าทุกคนต่างหล่อเหลาสูงใหญ่ องอาจผ่าเผย ด้วยความความสนพระทัยจึงได้ปรึกษาขุนนางทั้งซ้ายขวาว่า ทรงคิดอยากจะละเมิดกฎเกณฑ์เอากำลังราชองครักษ์ชินจำนวนหนึ่งไปใช้ในกองทัพ ลองดูว่าจะสามารถคัด ‘ชายหนุ่มที่มีความสามารถ’ เช่นซ่งตวนออกมาสักคนสองคนหรือไม่!”
แม่เฒ่าซ่งหรี่ตา “ได้ยินมาว่าการประลองหน้าพระพักตร์ทุกๆ ปี เสิ่นจั้งเฟิงมีชัยไปเสียทุกครั้ง! ดังนั้นฮ่องเต้จึงคาดหวังในตัวเขาเป็นอย่างมาก!”
ดวงตาของฮูหยินซ่งพลันอาบด้วยสีเลือด นางกำมือแน่น ยิ้มเยาะอยู่เบาๆ ว่า “ดี! ดีมาก! ให้ร้ายลูกสาวข้า แล้วกลับยังคิดแย่งลูกเขยข้าอีกรึ? จะเอาเช่นนั้นจริงๆ…”
“เจ้าสงบใจก่อน!” แม่เฒ่าซ่งกลับมีสีหน้าหนักอึ้ง ตำหนินางไปประโยคหนึ่ง จึงได้พูดต่อไปว่า “เจ้าคิดว่าเมื่อบ้านตระกูลหลิวสนใจเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว ต้องการจะทำลายการแต่งงานครานี้ แล้วจะให้หลิวรั่วเหยียแต่งเข้าได้รึ?”
เมื่อเห็นฮูหยินซ่งตกใจ แม่เฒ่าซ่งจึงยิ้มเยาะแล้วว่า “กี่หนต่อกี่หนก็เป็นเสิ่นจั้งเฟิงได้ที่หนึ่ง ส่วนหลิวซีสวินแห่งตระกูลหลิวได้ที่สอง ดูไปแล้วก็เป็นโอกาสทองที่ฮ่องเต้จะคัดสรรราชองครักษ์ชินไปชายแดนเพื่อสร้างผลงาน! ลูกบ้านอื่นก็แล้วไป แต่เด็กทั้งสองคนนี้ประการแรกด้วยตัวของพวกเขาเองต่างก็เป็นผู้มีการศึกษา ประการต่อมาข้างหลังพวกเขาก็ยังเป็นตระกูลที่มีการสืบทอดด้านบู๊ หากคิดว่าจะมิได้ผลงานกลับมาวังก็ถือเป็นเรื่องยาก! ปรากฏว่ากระดูกชิ้นโตที่ขวางคออยู่…คู่หมั้นของเสิ่นจั้งเฟิงถูกกล่าวหาว่าเสียความบริสุทธิ์ ทั้งยังเป็นเรื่องราวใหญ่โตไปทั่วเมือง! เจ้าว่าหากเป็นชายหนุ่มบ้านใดพบเจอเรื่องเช่นนี้ แล้วจักไม่ว้าวุ่นใจ?!”
“ไม่ว่าเสิ่นจิ้งเฟิงจะดีเช่นไรเขาก็ไม่ได้แซ่หลิว! บ้านหลิวเองก็หาได้ไม่มีบุตรหลานที่มีความสามารถ เหตุใดจึงต้องใช้ลูกสาวไปหลอกล่อบุตรหลานบ้านอื่น? ยิ่งไปกว่านั้นผู้มีความสามารถที่แท้จริงๆ เพียงแค่เสน่ห์ของหญิงสาวก็จะสามารถหลอกล่อเขาได้หรือ? สาเหตุที่ตระกูลหลิวทำเช่นนี้ ก็เพื่ออาศัยโอกาสนี้โค่นล้มเสิ่นจั้งเฟิง!” แม่เฒ่าซ่งพูดอย่างเย็นชาว่า “ในตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกในเขตทะเล ตระกูลเสิ่น หลิว และซูต่างก็เป็นตระกูลฝ่ายบู๊ เพียงแต่ตระกูลซูต่างกับตระกูลเสิ่นและหลิว ชิงโจวอยู่ไกลออกไปทางทิศใต้ของต้าเว่ย ต้องเผชิญหน้ากับพวกแมนจูที่อยู่ในป่าทึบทางใต้ นับแต่สังหารพวกแมนจูจนพวกเขาขลาดกลัวไปเมื่อหลายปีก่อน พวกเขาก็ไม่ค่อยกล้ามารุกรานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นป่าทึบทางใต้เป็นป่าหนาแน่น พื้นที่ส่วนมากทำการเกษตร พวกแมนจูเก็บยาล่าสัตว์อยู่เป็นอย่างดี และมาแลกเปลี่ยนสิ่งของกับชาวเว่ย ก็สามารถทำมาหาเลี้ยงชีพได้ เพียงโจมตีพวกเขาหนหนึ่งจนหวาดกลัว ก็สามารถอยู่ได้อย่างสุขสบายไปพักใหญ่!
“แต่ตระกูลเสิ่น กับตระกูลหลิวนั้นไม่เหมือนกัน! ตระกูลเสิ่นถูกคุกคามโดยตรงจากเผ่าชิวตี๋ ส่วนตระกูลหลิวมีภาระหนักอึ้งในการสู้รบต่อต้านพวกหรงที่อยู่ทางเหนือ! เผ่าชิวตี๋ก็ดี พวกเผ่าหรงก็ดี อาณาเขตของพวกเขา ล้วนเป็นดินที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก ดินแล้งรกร้าง ทำได้เพียงอาศัยการเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก โดยปกติแล้วก็จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยว่าน้ำและหญ้าสมบูรณ์หรือไม่ หากวันใดประสบกับภัยหิมะหรือโรคระบาดร้ายแรง… นอกจากจะบุกโจมตีลงมาทางใต้ลงใต้บุกเข้าโจมตีจนถึงต้าเว่ยแล้ว พวกเขาก็ไร้ทางรอด!”
แม่เฒ่าซ่งสูดหายใจลึก “ตระกูลซูปราบปรามความวุ่นวายเพียงหนเดียว ลงมือหนักสักหน่อยก็สามารถรักษาความสงบมาได้หลายสิบปี! หากลงมือเบาสักหน่อยก็ยังอยู่อย่างสุขสงบได้สิบกว่าปี แต่ตระกูลเสิ่นตระกูลหลิวกลับมิได้โชคดีเช่นนี้! แม้ปีนี้จะสังหารพวกตี๋และหรงจนเลือดหลั่งดังแม่น้ำ ปีหน้าเมื่อพวกตี๋และหรงไม่มีอาหาร ไม่ลงใต้ก็จะต้องตาย! ดังนั้นมีหรือจะสุขสบายได้? การสู้รบล้วนต้องใช้เงินทอง ตระกูลเสิ่น ตระกูลหลิวแม้จะมีมรดกมากมายเช่นบ้านเรา แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนโง่ หากไม่ถึงยามที่จำเป็นจนหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วจะให้เอาทรัพย์สมบัติในบ้านตนไปเลี้ยงดูทหาร จักเป็นไปได้อย่างไร? แต่งบประมาณที่ราชสำนักมอบให้กับกองทัพในแต่ละปีนั้นมีจำกัด ดังนั้นตลอดสองปีมานี้จึงมีการแย่งชิงกองส่งเสบียงกันอย่างรุนแรง ตระกูลเสิ่นได้กำหนดเป็นการภายในแล้วว่าจะให้เสิ่นจั้งเฟิงเป็นประมุขคนต่อไป ตระกูลหลิวก็คล้ายว่าจะเลือกหลิวซีสวินคนนั้นแล้ว…เช่นนี้ เจ้าเข้าใจหรือยัง?”
ฮูหยินซ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปหลายครา กล่าวว่า “ที่แท้เป็นการต่อสู้ระหว่างตระกูลเสิ่นและหลิว! แต่กลับลากเอาฉางอิ๋งให้รับเคราะห์ไปด้วย!” แต่นางก็ยังไม่อาจวางใจ “แม้จักเป็นเช่นนี้ แต่ยามนี้เรื่องของฉางอิ๋งกำลังเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต แม้ตระกูลเสิ่นจะรู้ดีว่าถูกเล่นงาน แต่ก็จักยอมเสียหน้าเรื่องนี้ไม่ได้…” นางส่งเสียงซี่ต่ำๆ ออกมาคราหนึ่ง แล้วพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ท่านแม่ ท่านว่า… ตระกูลเสิ่นจะ… จะถอนหมั้นเพื่อเสิ่นจั้งเฟิงหรือไม่เจ้าคะ?”
สำหรับตระกูลเสิ่นแล้ว เมื่อสะใภ้ที่ยังไม่ได้เข้าบ้านต้องสงสัยว่าไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือเท็จ…ก็เป็นเรื่องเป็นราววุ่นวายจนถึงขั้นนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นจริงว่า หลังจากที่เว่ยฉางอิ๋งถูกลอบทำร้ายก็เคยต้องไประเห็ดระเหเร่ร่อนในป่ามาระยะหนึ่ง สุดท้ายยังเป็นองครักษ์ชราคนหนึ่งพากลับบ้านมาเพียงลำพัง หากจะว่ากันตามตรงแล้ว หากสะใภ้เช่นนี้ถูกต้องสงสัยเรื่องความบริสุทธิ์ ก็ต้องโทษตระกูลเว่ยที่มิได้ปกป้องบุตรสาวของตนให้ดี
อำนาจของรุ่ยอวี่ถังในยามนี้อ่อนลง…แต่อนาคตของเสิ่นจั้งเฟิงนั้นยังยาวไกลและยิ่งใหญ่ เพื่อไม่ต้องให้เขาต้องว้าวุ่นใจเรื่องคู่หมั้น จนทำให้เสียโอกาสทองในการสร้างฐานะการงานและไขว่คว้าตำแหน่งสูงๆ ในยามนี้ สู้ยกเลิกสัญญาแต่งงานกับตระกูลเว่ยไปเสียเลยมิได้ แล้วไปหาบุตรสาวตระกูลใหญ่มีหน้ามีตาที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องคนอื่นให้เขา… แม้ทำเช่นนี้จะนับเป็นการสร้างความแค้นกับรุ่ยอวี่ถัง แต่สำหรับตระกูลเสิ่นแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงที่ถูกกำหนดให้รับตำแหน่งประมุขคนต่อไปย่อมสำคัญกว่าแน่นอน!
ว่าที่นายหญิงใหญ่ของตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง หนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเลจะให้เป็นหญิงสาวที่มีชื่อเสียงหมองมัวได้อย่างไร?
หากเปลี่ยนเป็นเว่ยฉางเฟิง ตระกูลเว่ยก็จะต้องทำเช่นนี้เหมือนกัน… ไม่ว่าอย่างไรเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลตนก็ย่อมสำคัญที่สุด
แววตาของแม่เฒ่าซ่งดำดิ่งลึกจนหาที่สุดไม่ได้ เหม่อมองไปยังลายบนพรมที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เนิ่นนานจึงได้พูดว่า “รอจนคนตระกูลเสิ่นมาถึงแล้ว พวกเราคอยดูท่าทีของเขา… ค่อยกว่ากันก็แล้วกัน! หากท่าทีของพวกเขาไม่ถูกต้อง เช่นนั้น… พวกเราก็จะเป็นฝ่ายบอกยกเลิกสัญญาแต่งงานก่อน! ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็จะไม่มีวันส่งฉางอิ๋งไปอยู่วัดหรือสถานที่ทำนองนั้นเด็ดขาด เรื่องนี้เจ้าวางใจได้!”
ฮูหยินซ่งฟังด้วยความตื่นตระหนก แววตาเคว้งคว้าง น้ำตาไหลรินลงมามิอาจหยุดได้… นางรักใคร่บุตรสาวคนโตที่มีเพียงคนเดียวนี้เป็นที่สุด คอยอบรบสั่งสอนบุตรสาวให้มีคุณสมบัติของว่าที่นายใหญ่ของตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล แต่ยามนี้กลับมาถึงขั้นที่ทำได้เพียงขอให้ไม่ต้องส่งนางไปอยู่วัดเท่านั้นหรือ?
แต่ฟังน้ำเสียงของแม่เฒ่าซ่ง… นี่ถึงกับเป็นเรื่องที่แม่เฒ่าซ่งจะทำให้ได้ด้วยแรงกำลังทั้งหมดที่มีแล้ว…
_________________________
[1] ชิงดาน เป็นการวาดภาพแบบจีนชนิดหนึ่ง โดยเน้นการใช้สีน้ำเงิน-เขียว และสีแดง