ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 68 ชั่วข้ามคืน
แม้เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งไม่อาจดึงรั้งไม่ให้ตระกูลเสิ่นเอ่ยเรื่องถอนหมั้น แต่กลับไม่ได้รั้งรอที่จะเอาคืน
…หลายวันมานี้รุ่ยอวี่ถังถูกกระทำมามากมายเกินไปแล้ว
หากไม่เก็บดอกเบี้ยสักหน่อย แล้ววันหน้าจะอยู่กันอย่างไร?
ดังนั้นแล้ว ก่อนรุ่งสางวันที่สองหลังจากได้รับจดหมายจากเมืองหลวง ก็เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในเมืองเฟิ่งโจว
แสงไฟลุกโชนชัดแจ้ง จนทำให้เวรยามยามค่ำคืนในเมืองตื่นตระหนก
และสถานที่ต้นเพลิงก็คือคฤหาสน์หลักของจือเปิ่นถังซึ่งอยู่ห่างจากรุ่ยอวี่ถังไม่ไกลนัก แล้วค่อยๆ ทำให้เมืองเฟิ่งโจวพากันตื่นตระหนกไปทั้งเมือง!
นับแต่ร้อยปีก่อน ด้วยสาเหตุนานัปการทำให้จือเปิ่นถังโยกย้ายกำลังสำคัญไปที่เมืองหลวง แม้ยังคงเก็บคฤหาสน์นี้เอาไว้ แต่โดยทั่วไปแล้วก็มีเพียงยามที่มากราบไหว้บรรพบุรุษหรือมีงานฉลองเท่านั้นถึงจะได้ใช้งาน ปกติแล้วก็จะมีเพียงบ่าวจำนวนหนึ่งคอยเฝ้าไว้เท่านั้น ทว่าไม่ว่าจะรกร้างว่างเปล่าเพียงใดก็ยังเป็นคฤหาสน์หลักของจือเปิ่นถัง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าภายในยังคงมีหอบรรพบุรุษสายของจือเปิ่นถังอยู่ด้วย
แม้แต่เว่ยฮ่วนเองเมื่อรู้เรื่องเข้าก็ยังเร่งตื่นขึ้นมาคลุมเสื้อคลุม และไปควบคุมการดับเพลิงด้วยตนเอง
เมื่อไปถึงแล้วจึงได้พบว่า ตัวอาคารที่เป็นต้นเพลิงนั้นกลับถูกคนเจตนาเอาน้ำมันไปราดเอาไว้จนเต็ม น้ำมันนี้แทบจะทำให้อาคารทั้งหลังเปียกไปหมด เมื่อยิ่งสาดน้ำเข้าไป ยิ่งทำให้ไฟโหมแรงขึ้น กระทั่งเพราะสาดน้ำเข้าไปแล้วไปชะให้น้ำมันไหลออกมา ไม่เพียงไฟไม่ดับ แม้แต่สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ใกล้ๆ ก็ยังพลอยติดไฟไปด้วย!
เคราะห์ดีที่เว่ยฮ่วนครองสติได้แม้มีภัยอยู่ตรงหน้า จึงสั่งให้คนขนเอาดินทรายเข้าไปภายใน จึงสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้อย่างยากเย็น เพียงแต่คฤหาสน์หลังใหญ่ที่อยู่ลึกภายในจวนเช่นนี้ มีบ่อน้ำและสระน้ำอยู่ไม่น้อย แต่กลับไม่มีทางจะเอาดินทรายมากองเอาไว้เพื่อทำลายทัศนียภาพ กอปรกับเพลิงที่โหมกระหน่ำอย่างแรงกล้า ดังนั้นจนถึงยามนี้จึงเพิ่งจะพอควบคุมเพลิงเอาไว้ได้
ตอนนี้อาคารทั้งหลังถูกเผาเสียจนเหลือเพียงชั้นล่าง เรื่องที่ย่ำแย่ที่สุดก็คือเพิ่งมาพบเห็นเอาเมื่อยามเพลิงสงบแล้ว ว่าที่ที่เป็นต้นเพลิงก็นั้นอยู่ใกล้ๆ กับหอบรรพบุรุษ แม้ไฟจะมิได้ลุกลามจนทำลายเข้าไปถึงภายในหอบรรพบุรุษ แต่กลับเผากำแพงภายนอกเสียจนดำไหม้ไปหมด!
หอบรรพบุรุษได้รับความเสียหายถือเป็นเรื่องใหญ่ บ่าวที่เฝ้าคฤหาสน์หลักนี้อยู่ตกใจเสียจนแทบจะหมดสติ พลางคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเว่ยฮ่วยเฝ้าร้องขอให้ละเว้นโทษตัดหัว…เพียงแต่เว่ยฮ่วนเพิ่งจะสอบถามว่าเหตุใดอยู่ดีๆ อาคารจึงมีน้ำมันมาราดไว้มากมาย…ในเมื่อมีราดมาน้ำมันเอาไว้ ก็ย่อมจะไม่ใช่เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นเองเพราะพลั้งเผลอ จักต้องมีคนจงใจวางเพลิง และถึงขั้นให้เพลิงไหม้ครานี้ไปทำลายหอบรรพบุรุษของจือเปิ่นถัง!
เว่ยฮ่วนเป็นประมุขของตระกูล จะไม่ให้ไต่ถามให้ชัดแจ้งได้อย่างไร!
ทว่าเขาเพิ่งจะสอบถามไปได้แค่สองประโยค กลับไม่อาจไม่พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน…
เพราะมีคนพบ…ศพของเจ้ากรมธุรการซ่งหานและบุตรชายของเขาซ่งตวน รวมทั้งคนรับใช้และทหารรวมสิบคนที่ถูกสังหารอย่างอนาถอยู่ในตรอกสายหนึ่งไม่ไกลออกไป!
เจ้ากรมธุรการยังเป็นหัวหน้าผู้ดูแลทหารในเมือง โดยเฉพาะซ่งหานและซ่งตวนเพิ่งจะได้รับราชโองการประกาศเกียรติคุณ แต่กลับมาถูกสังหารอยู่กลางเมือง! เว่ยฮ่วนโมโหโกรธาขึ้นมายกใหญ่ จึงให้คนคอยดูพวกบ่าวที่ดูแลคฤหาสน์เอาไว้ชั่วคราว แล้วเดินทางไปยังตรอกที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบด้วยตนเอง
ทว่า เว่ยฮ่วนเพิ่งจะออกพ้นประตูใหญ่ โดยไร้ซึ่งลางบอกเหตุใดๆ กลับมีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามา! หากมิใช่ว่าเด็กรับใช้ข้างกายตาไวมือไว้ผลักเขาออกไปอย่างแรง ก็เกรงว่าเว่ยฮ่วนคงจะเป็นเช่นเดียวกับซ่งหานและซ่งตวนในตรอกนั่นไปแล้ว…
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นดังนี้ ทั้งพวกองครักษ์และข้าราชการต่างๆ ในเมืองจึงพากันตกใจและโกรธแค้นอย่างมาก และไม่กล้าให้เว่ยฮ่วนไปตรวจที่ตรอกด้วยตนเอง ต่อรองกันเนิ่นนาน อย่างไรก็จะต้องส่งเว่ยฮ่วนกลับรุ่ยอวี่ถังให้จงได้ เว่ยฮ่วนเพียงเข้าประตูมา พวกองครักษ์ก็เร่งให้เขาปิดประตูลงกลอนให้หนาแน่น และพากันห้อมล้อมตัวเขาเอาไว้ตลอดทางที่ส่งเขากลับถึงเรือนหลัง และตอนนี้เองที่เรื่องอกสั่นขวัญแขวนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น!
ไม่คิดว่าเว่ยฮ่วนเพิ่งจะแจ้งข่าวคราวให้แม่เฒ่าซ่งรู้และรีบไปปลุกปลอบทั้งลูกและหลานได้เพียงสองประโยค ภายนอกก็มีบ่าววิ่งตาลีตาลานด้วยความตกใจเข้ามาในโถงและรายงานข่าวที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่า
…นักเขียนเรืองนามแห่งเขตทะเล บุตรชายของจิ้งผิงกงก็ถูกพบว่าตายอยู่บนตั่งนอนเมื่อเกือบเค่อก่อนหน้านี้!
และผู้ที่ถูกสังหารพร้อมกับเว่ยเจิ้งหย่าก็ยังมีอนุภรรยาหนึ่งนาง ซึ่งเป็นสาวใช้ของนางเสี่ยวหลิวที่เข้ามาพร้อมนางตอนแต่งเข้าบ้าน และยังเป็นมารดาของคุณชายสิบเว่ยเกาอั้น
คฤหาสน์หลักจือเปิ่นถังถูกคนลอบวางเพลิงจนเกือบทำลายถึงภายในหอบรรพบุรุษ เจ้ากรมธุรการพ่อลูกถูกสังหารอยู่ในตรอก เว่ยฮ่วนถูกลอบทำร้าย นักเขียนเรืองนามแห่งเขตทะเลตายอนาถอยู่บนที่นอน… สี่เรื่องนี้แต่ละเรื่องน่าตื่นตกใจขึ้นเรื่อยๆเขย่าขวัญสั่นประสาทขึ้นเรื่อยๆ! ทั้งยังเกิดขึ้นภายในคืนเดียวเท่านั้น!
เมื่อเกิดเหตุน่าตื่นตระหนกเช่นนี้ ทั่วเมืองเฟิ่งโจวต่างพากันขวัญผวาขึ้นในบัดดล!
กำลังคนและอำนาจทั้งหมดในบ้านเกิดเมืองนอนแห่งนี้ต่างถูกระดมออกมาจนหมด!
เวลาสั้นๆ สามวัน จากรอยดาบบนศพของซ่งหานและซ่งตวน ลูกธนูที่เฉียดผ่านหน้าผากของเว่ยฮ่วนและไปปักอยู่บนก้อนหินสีครามลึกลงไปนิ้วกว่าๆ เขี้ยวสุนัขป่าที่หล่นอยู่ข้างตั่งนอนของเว่ยเจิ้งหย่า หลักฐานทั้งสามชิ้นนี้มีน้ำหนักดังขุนเขา…บวกกับหลังจากนั้นเพิ่งจะมีหลายคนนึกขึ้นได้ว่า สองวันมานี้ในที่สงัดลับตาคนในเฟิ่งโจว พวกเขาบังเอิญได้เห็นร่องรอยบางอย่างของคนที่น่าสงสัยเข้าโดยมิได้ตั้งใจ แต่เพราะสาเหตุต่างๆ นานาทำให้มองข้ามไป…
ด้วยเหตุนี้เว่ยฮ่วนจึงได้บันดาลโทสะเป็นหนักหนา และแน่ใจด้วยความโทมนัสยิ่งว่า โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในคืนนี้ จะต้องเป็นพวกหรงลอบเข้ามาลงมือแน่!
สาเหตุเล่า?
สาเหตุก็จะต้องเป็นการเอาคืนหลังจากชัยชนะที่เมืองเหนือน่ะสิ!
ก่อนหน้านี้ไม่นาน… หลานสาวและหลานชายที่เว่ยฮ่วนมีเพียงสองคน และยังมีหลานชายสายรองที่สอนสั่งมากับมืออีกหนึ่งคน คนรุ่นหลังทั้งสามคนได้ออกจากเมืองเพื่อไปส่งคน และผู้ที่ไปก็ไม่เพียงมีราชองครักษ์อี้ของฮ่องเต้ บุตรชายอันเป็นที่รักของเสนาบดีฝ่ายพิธีการ แม้กระทั่งว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ขากลับเมืองครานั้น ก็มิใช่ว่าได้ถูก ‘พวกหรง’ ซุ่มโจมตีหรอกหรือ หากไม่เป็นเพราะสรวรรค์ปกปอ้ง สองพี่น้องนี้ก็ไม่เหลือชีวิตเสียตั้งนานแล้ว!
เหตุที่คุณหนูตระกูลเว่ยผู้นั้นต้องสงสัยว่าสูญเสียความบริสุทธิ์ ก็มิใช่เพราะว่าหลังจากถูกลอบทำร้ายแล้วถูกบีบให้เข้าไปในบ่า ผ่านไปหลายวันถึงได้กลับมาที่รุ่ยอวี่ถังหรอกหรือ?
ครานั้น เว่ยเจิ้งหย่าซึ่งเป็นลุงอีกสายหนึ่งของตระกูล ยังด่าทอการกระทำไร้ยางอายของพวกหรงอย่างเคืองแค้นเป็นที่ยิ่ง…
เว่ยฮ่วนเขียนบรรยายในฎีกาฉุกเฉินด้วยความข่มขื่นใจเป็นที่สุดว่า เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากหลานทั้งสามคนถูกลอบสังหารแล้ว ตนเองใช้ทหารและองครักษ์ส่วนตัวไปค้นหาในแถบใกล้เคียงเฟิ่งโจวรอบหนึ่ง คาดว่าหลังจากที่พวกหรงทำการล้มเหลว พวกคนที่เหลือก็ควรจะเดินทางไกลกลับไปยังดินแดนทางเหนือแล้ว ไม่คิดว่าพวกชนกลุ่มน้อยเหล่านี้จะเจ้าเล่ห์เพทุบาย ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนก็แฝงตัวกลับเข้ามาแล้ว!
ดังนั้นโศกนาฏกรรมในคืนนี้ก็เห็นชัดเป็นอย่างยิ่งแล้วว่า…
พวกหรงวางแผนเอาไว้นานแล้วว่าจะเอาคือซ่งหานพ่อลูกผู้มีความชอบใหญ่หลวงจากศึกที่หัวเมืองทางเหนือ ทั้งยังฝังใจแค้นสกุลเว่ย…โดยเฉพาะเว่ยเจิ้งหย่าที่ประณามพวกมันอย่างเปิดเผยว่าไร้เหตุผลเช่นพวกวิกลจริต
พวกมันมีการเตรียมตัวมา โดยเอาน้ำมันราดจนทั่วทั้งชั้นของคฤหาสน์หลักของจือเปิ่นถัง ด้วยเป็นคฤหาสน์หลักและอาคารนี้ก็ยังอยู่ข้างหอบรรพบุรุษ จึงไม่มีทางไม่มีคนไปช่วยดับเพลิง บวกกับเมื่อสาดน้ำมันเอาไว้จนทั่วแล้วก็จะไม่สามารถใช้น้ำมาดับเพลิงได้ มีเพียงต้องออกไปขนดินทรายเข้ามาดับเพลิงเป็นพิเศษ… ด้วยเหตุที่มีเว่ยฮ่วนคอยเตือนสติและสั่งการเอง หาไม่แล้วยิ่งจะทำให้ควบคุมเพลิงได้ช้ากว่านี้
ในสถานการณ์ที่เกิดความตื่นตระหนกไปทั้งเมือง และต่างระดมพลกันมาดับเพลิงเช่นนี้ เมื่อดูจากเสื้อผ้าที่ยังเรียบร้อยดีทั้งยังเสียชีวิตอยู่ใกล้บริเวณที่เกิดเพลิงไหม้แล้ว เห็นชัดว่าพวกของซ่งหานเตรียมจะมาช่วยดับเพลิง แต่ปรากฏว่าระหว่างที่ผ่านตรอกถนนนั้น กลับต้องประสบกับลูกธนูที่มาเป็นห่าฝารอบหนึ่ง แล้วต้องเจอกับการต่อสู้แบบประชิดตัวในเวลาอันรวดเร็ว… หรือพูดได้ว่าคอยเข้าซ้ำเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นทุกคนจึงถูกสังหารไปจนหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว
เพราะตอนนั้นเหตุเพลิงไหม้กำลังอยู่ในภาวะฉุกเฉิน หลายคนพากันตีฆ้องลั่นกลองปลุกเพื่อนบ้าน เรียกได้ว่าเอะอะลั่นไปทั้งเมือง ตรอกนี้อยู่ห่างจากจือเปิ่นถังไม่มาก แต่ในสถานการณ์ตอนนั้น ใครเล่าจะไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในตรอกแห่งนั้น นี่แสดงว่าซ่งหานพ่อลูกและคนทั้งกลุ่มจะต้องตายไปในเวลาที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง!
ส่วนเว่ยเจิ้งหย่าที่แม้จะตายอยู่ภายในห้องของตนเอง ก็มีการตั้งสมมติฐานว่าเป็นพวกหรง หรือไม่ก็พวกหนอนบ่อนไส้ที่พวกหรงซื้อตัว ปลอมตัวเป็นเด็กรับใช้แล้วเข้าไปรายงานเรื่องเพลิงไหม้ อาศัยจังหวะที่เว่ยเจิ้งหย่าไม่ทันป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อยสังหารเขาในทันที!
มิเช่นนั้นประตูหน้าต่างก็ปิดสนิทดี แล้วเหตุใดเว่ยเจิ้งหย่าจึงเสียชีวิตเล่า?
สรุปแล้ว ทุกเรื่องนั้นเป็นการแก้แค้นที่เหี้ยมโหดของพวกหรง!
เว่ยฮ่วนเขียนฎีกาด้วยความทุกข์ระทมเป็นที่สุด บรรยายถึงความเสียหายของตระกูลเว่ยได้แจ่มชัดจนเห็นภาพ และระบุลงไปชัดเจนว่าความชั่วช้าของพวกหรงเป็นที่น่าโกรธแค้นยิ่งนัก!
เขาไม่เพียงใช้ถ้อยคำแสนเจ็บปวดและตื่นตระหนกเป็นที่สุดพรรณนาการเสียชีวิตของเว่ยเจิ้งหย่าซึ่งเป็นหลานในบ้านใหญ่ว่าเป็นการโจมตีทั้งจวนจิ้งผิงกง และจากในมุมของผู้ทำงานด้านบุ๋นแล้ว เรื่องนี้นับเป็นความน่าเสียดายเป็นที่สุดที่นักเขียนเรืองนามได้สิ้นไปอย่างไร้ความผิด และยิ่งเอ่ยถึงว่าซ่งหานและซ่งตวนยังเป็นผู้ที่ได้รับราชโองการประกาศเกียรติคุณ ที่พวกหรงทำเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการท้าทายและคุกคามต้าเว่ย!
และแน่นอนว่าในตอนท้ายสุดของฎีกา เว่ยฮ่วนไม่ลืมเขียนลงไปว่า สำหรับเรื่องที่มีชาวบ้านเฟิ่งโจวไปขว้างเกี้ยวร้องทุกข์นั้น ก็เกรงว่าจะเป็นฝีมือของพวกหรงด้วยเช่นกัน จุดประสงค์ก็ยังคือการแก้แค้นการต่อสู้ครั้งใหญ่ในหัวเมืองเหนือ
มิเช่นนั้นแล้วอาคารต่างๆ มีเต็มเมืองเฟิ่งโจวแต่พวกหรงกลับไม่เผา เหตุใดต้องสิ้นเปลืองกำลังพลลอบเข้าไปลงมือถึงภายในคฤหาสน์หลักของจือเปิ่นถัง?
สิ่งนี้จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าการร้องทุกข์ของชาวบ้านผู้นั้นแท้จริงแล้วแต่ต้นจนจบล้วนเป็นแผนการชั่วของพวกหรง แต่กลับถูกท่านเสนาบดีฝ่ายปกครองเว่ยฉีตีจนตายคาที่ ดังนั้นชนเผ่าหรงซึ่งอับอายและเคืองโกรธ…จึงได้เผาคฤหาสน์ของเว่ยฉี!
เว่ยฮ่วนร่างฎีกาด้วยตนเอง แล้วได้เว่ยซือกู่ซึ่งเป็นนักเขียนเรืองนามในเขตทะเลเช่นกันแต่นับว่ามีความสามารถเหนือกว่าเว่ยเจิ้งหย่าใช้เวลาหลายชั่วยามแก้ไขให้ ทำให้ฎีกานี้ผู้ได้ยินปวดใจผู้ได้ฟังหลั่งน้ำตาออกมาได้จริงๆ โดยพรรณนาออกมาได้อย่างละเอียดลึกซึ้งเป็นที่สุดว่า เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินแล้ว พวกเขาไม่ได้พรั่นพรึงว่าจะต้องดับสูญไปพร้อมกับพวกหรง แต่กลับต้องมาเผชิญกับการแก้แค้นที่ชั่วช้าไร้ยางอายของพวกหรง และด้วยเหตุนี้ทำให้ต้องเจ็บแค้นเศร้าโศกอย่างหาที่สุดมิได้จากการที่ทั้งตระกูลถูกวางแผนลอบสังหารอย่างน่าอนาถ…
เมื่ออ่านฎีกาที่แก้ไขครั้งสุดท้ายอย่างละเอียดแล้ว เว่ยฮ่วนกล่าวชมเชยเป็นหนักหนาด้วยความจริงใจว่า “ฎีกาที่ล้ำเลิศในหล้าเช่นนี้ หากไม่ทำให้ฮ่องเต้สะเทือนพระทัย ก็คงไม่มีคำกล่าวใดในใต้หล้าที่จะทำให้ฮ่องเต้ทรงประทับใจได้อีกแล้ว!”
เว่ยซือกู่ยิ้มจางๆ พลางว่า “ร่างฎีกาก่อนหน้านี้ของท่านประมุขก็สมบูรณ์เป็นอย่างยิ่งแล้ว ข้าแค่เสริมให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
ทั้งสองเยินยอกันและกันพักหนึ่ง เว่ยฮ่วนให้บ่าวที่เชื่อใจได้เข้ามา แล้วสั่งให้เขาขี่ม้าเร็วนำฏีกาไปส่งที่เมืองหลวง เมื่อส่งฎีกาไปแล้ว สีหน้าของเว่ยฮ่วนกลับหนักอึ้งลง แล้วทอดถอนใจว่า “เรื่องแต่งงานของฉางอิ๋ง…”
“แผนยามนี้มีเพียงแผนเดียว” เว่ยซือกู่ไม่เพียงเป็นนักเขียนเรืองนามในเขตทะเล เป็นอาจารย์ของเว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวน ความจริงแล้วเขายังเป็นมันสมองของเว่ยฮ่วน เว่ยฮ่วนคบค้ากับเขามาหลายปี ต่างเชื่อใจกันและกันเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งปัจจุบันนี้เว่ยฮ่วนยังได้นำเรื่องส่วนตัวมาปรึกษากับเขา เว่ยซือกู่นิ่งคิดอยู่เกือบเค่อจึงกล่าวว่า “อย่างไรก็ทำได้เพียงรอคนตระกูลเสิ่นมาถึงก่อนค่อยตัดสินใจเถิดขอรับ หากตระกูลเสิ่นไม่ยินดี ตามความเห็นของข้าแล้ว เพื่อคุณหนูสาม เรื่องแต่งงานครานี้ล้มเลิกไปก็ช่างเถิด… ความจริงแล้วท่านประมุขและฮูหยินผู้เฒ่าก็มีหลานสาวสายเลือดตรงผู้นี้เพียงคนเดียว หากได้แต่งกับตระกูลใหญ่แต่ต้องตกอยู่ในมือผู้อื่น มิสู้ยกให้ผู้ภักดีจริงใจแต่ยากไร้ไม่ได้ เอามาปกป้องไว้ใต้ปีกของเรายังมีโอกาสได้พบเจอกันได้บ่อยครั้ง”
“ไยข้าจักไม่รู้ว่าหากตระกูลเสิ่นเกิดความเคลือบแคลงในตัวฉางอิ๋ง ต่อให้ฝืนรับนางเข้าบ้าน วันหน้าก็เกรงว่าจะมิได้เป็นผลดี?” เว่ยฮ่วนลูบเคราสีขาวแล้วกล่าวเสียงหนักว่า “เพียงแค่ย่าของพวกเขาบอกว่าก็เป็นเรื่องน่าสงสาร เด็กคนนี้ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่แท้ๆ และที่ต้องได้รับเคราะห์เช่นนี้ก็เพื่อปกป้องน้องชายของนาง! ก่อนนี้ข้ามักรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีนิสัยนอกลู่นอกทางเกินไป ไม่เป็นไปตามลักษณะที่บุตรีตระกูลใหญ่พึ่งมี เพียงแต่ว่าร่างกายของเจิ้งหงอ่อนแอ มิใช่เรื่องง่ายเลยที่สะใภ้ใหญ่จะมีบุตรชายและบุตรสาวคู่นี้ จึงได้เอาอกเอาใจกันมากเกินไปหน่อย ย่าของพวกเขาก็ปกป้องกันอย่างมาก ข้าเองก็ไม่ว่างจะไปดูแลมากนัก…”
“ครานี้หากมิใช่เพราะนางยืนกรานร่ำเรียนวรยุทธ ไม่เพียงตัวนางเท่านั้น เกาชวนและฉางเฟิง จักไม่มีผู้ใดหนีรอดออกมาได้! ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องการนัดหมายกับเว่ยซินหย่ง เป็นตายไม่แน่ชัด นางกลับมีความกล้าปลอมตัวเป็นฉางเฟิงไปตามนัด! ดูท่าแล้ว ที่เคยดูแคลนหลานสาวผู้นี้ ข้าดูผิดไปจริงๆ ลำพังด้วยน้ำใจที่นางปกป้องน้องชาย เมื่อนางกลับมาแล้วข้าก็ไม่อาจจะทนให้นางต้องถูกรังแกอีกแล้ว!”
เว่ยซือกู่ครุ่นคิดเป็นนาน แต่ก็ยังต้องส่ายหัว “แม้ในฎีกาประมุขจะช่วยนางแก้ต่าง ทว่าเรื่องที่ต้องรายงานในฎีกานี้มีมากเกินไป เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ… ไม่อาจดึงดูดความสนใจได้ ยามนี้พวกเรามิได้อยู่ที่เมืองหลวง ทั้งยังไม่อาจควบคุมคำคน! สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เด็กคนนี้ยังมิได้ไปเมืองหลวง แต่คำเล่าลือที่เกี่ยวกับนางกลับระบือไปทั่วทิศแล้ว ต่อให้หยุดข่าวลือได้ เรื่องก็ถูกคาดเดาไปในทางต่างๆ นานาเสียแล้ว คุณหนูตระกูลใหญ่ต้องมาเป็นขี้ปากคนไปทุกถนนหนทางเช่นนี้ ที่สุดแล้ว…ฐานะของเสิ่นจั้งเฟิงในตระกูลเสิ่นก็จักไม่เหมือนเดิม!”
เว่ยฮ่วนนิ่งเงียบเนิ่นนาน แล้วพลันเอ่ยขึ้นว่า “ช่างเถิด หากตระกูลเสิ่นไม่พอใจด้วยเหตุนี้ แล้วพวกเขายินยอมฝืนใจรับเด็กคนนี้เข้าบ้าน ข้าก็กลับไม่อยากตอบรับการแต่งงานครานี้แล้ว ดังคำท่าน ไปหาลูกบ้านอื่นที่เป็นสายญาติที่ห่างออกไป แล้วให้เขาย้ายมาอยู่ที่เฟิ่งโจว…ก็จะสามารถปกป้องเด็กคนนี้ไว้ในเฟิ่งโจวได้ชั่วชีวิตแล้ว! นอกจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อาจคบหาสมาคมกับตระกูลเสิ่นได้ต่อไป”
“ส่วนพวกผู้อาวุโสในตระกูลนั้น…” ยามนี้ชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋งยับเยิน เรื่องนี้ส่งผลไปถึงชื่อเสียงของทั้งวงศ์ตระกูล มิใช่เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งว่าอย่างไรก็สิ้นเรือง สถานการณ์เช่นนี้พวกผู้อาวุโสในตระกูลก็จักต้องมีการขอให้ลงโทษเว่ยฉางอิ๋งตามธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูล
“พวกเขาหรือจะยังมีแก่ใจไปสนใจเรื่องนี้? บุตรชายจิ้งผิงกงก็ตายด้วยน้ำมือของพวกหรง เห็นได้ว่าความต้องการแก้แค้นของพวกหรงที่มีต่อตระกูลเว่ยของข้านั้นมีมากมายเพียงใด! หากครานี้ไม่ดูแลประตูหน้าต่างและระวังคำพูดให้ดี…” เพียงเพราะว่าในจิตใจของเว่ยฮ่วนกำลังไม่เป็นสุข จึงยิ้มเยาะแล้วว่า “โผล่พรวดออกมาหาเรื่องหาราว หรืออยากจะตายถึงเพียงนั้น!?”
________________________