ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 70 ด่าหยาบ
เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนถูกซักไซ้เสียจนใบ้กินไร้คำกล่าว แม้ในใจจะรู้สึกไม่ยินยอมเป็นนักหนา แต่ก็กลับไม่อาจไม่ขึ้นรถได้
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัว เว่ยฉางซุ่ย เว่ยฉางเฟิง เว่ยเกาหยาที่อยู่ข้างนอกก็ล้อมเข้ามา พลางกล่าวคำทักทายกันผ่านม่านคลุมรถ และขี่ม้าตามไปข้างๆ รถ ร่วมเดินทางไปจวนจิ้งผิงกงด้วยกัน
การเดินทางนี้มีระยะทางไม่ไกล และไม่มีผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องสัญจร จึงเข้ามาถึงประตูหลังของจวนจิ้งผิงกงอย่างรวดเร็ว เมื่อลงจากรถม้าแล้วเข้ามาในส่วนลึกของจวนจึงจะเป็นที่จัดงานใหญ่ครานี้ ยามนี้กลับมีเพียงแม่บ้านชรามารอต้อนรับอยู่ที่ข้างรถ ใบหน้าที่สงบสำรวมกลับไม่อาจปิดบังความกระอักกระอ่วนใจที่แผงอยู่ในสีหน้าได้ นางคำนับด้วยสีหน้าไม่สงบ และไม่มีแก่ใจจะเอ่ยให้มากความ แล้วพาพวกนางไปยังห้องของนางเสี่ยวหลิวที่อยู่ทางเรือนหลัง
ตลอดทางมีผ้าขาวแขวนเอาไว้ทุกๆ แห่งเรียบร้อยแล้ว บ่าวไพร่ที่พวกนางได้พบ ไม่มีผู้ใดเลยจะไม่เร่งเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วและมีสีหน้าเศร้าสร้อย ในจวนจิ้งผิงกงมีหลายแห่งที่ปลูกต้นไม้ประเภทต้นอู๋ถงซึ่งเป็นไม้ผลัดใบเอาไว้ ซึ่งในฤดูนี้ก็ประจวบเป็นช่วงที่ใบไม้ต่างพากันร่วงโรง ยิ่งทำให้ดูอ้างว้างมากขึ้น
เว่ยฉางอิ๋งมองดูจวนที่ก่อนนี้เคยเรียบร้อยสง่างามคราหนึ่งแล้วพลันมีแววแห่งความเศร้าโศกปรากฏขึ้นมาบนสีหน้า พลางลอบถอนใจอยู่ภายในใจ ความรู้สึกเกลียดชังเว่ยเจิ้งหย่าและนางเสี่ยวหลิวก็กลับถูกขจัดไปสิ้น
ความจริงแล้ว ทั้งนาง และเว่ยฉางเฟิง เว่ยเกาชวนต่างก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่เว่ยเจิ้งหย่ากลับเสียชีวิตไปแล้ว
เว่ยเจิ้งหย่ามีบุตรชายสามคน มีเพียงเว่ยฉางสวี้ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ความปราดเปรื่องของเว่ยฉางสวี้กลับห่างไกลกับเว่ยเจิ้งหย่านัก…
จึงสามารถล่วงรู้ได้ทันทีว่าจะเกิดความเศร้าโศกเพียงใดในจวนจิ้งผิงกง แน่นอนว่าพวกเขามีตำแหน่งที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ขอเพียงยังมีต้าเว่ยอยู่ อาศัยตำแหน่งนี้ พวกเขาก็ยังคงมีโอกาสแสวงหาความรุ่งเรืองได้ แต่เรื่องนั้นอย่างน้อยก็ต้องรอให้ถึงวันที่เว่ยซ่านสื่อโตเป็นผู้ใหญ่เสียก่อน ถึงยามนั้นบุตรชายผู้สืบสกุลของเว่ยฉางเฟิงก็คงจะโตกว่าเว่ยซ่านสื่อในตอนนี้แล้ว ด้วยพรสวรรค์ของเว่ยฉางเฟิง เมื่อถึงเวลานั้นปีกของเขาก็คงจะกล้าแข็ง แล้วจักมาหวาดกลัวหลานในอีกสายตระกูลหนึ่งได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งประมุขของตระกูลก็จะส่งผ่านเว่ยฮ่วนมาถึงเว่ยฉางเฟิง ก็เท่ากับเป็นการยอมรับโดยปริยายแล้วว่าจะต้องสืบทอดตระกูลทางสายของเว่ยฮ่วนต่อไป สายเลือดที่มีระหว่างจิ้งผิงกงก็จักต้องแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง แม้ในภายภาคหน้าเว่ยซ่านสื่อจะต้องดูแลจวนต่อไปโดยไม่มีบิดา แต่เขาก็หาได้สืบทอดข้อดีต่างๆ มาจากสายเลือดของปู่ของเขาไม่
สรุปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าการที่พวกตนสามพี่น้องประสบเหตุลอบทำร้ายครานี้ ทำให้เว่ยฮ่วนสามารถกำจัดนานาปัญหาเกี่ยวกับการสืบทอดตำแหน่งของบุตรของอนุซึ่งอาจจะเกิดขึ้นภายหลังไปได้อย่างสิ้นเชิง นับว่าคุ้มค่ายิ่ง
ในเมื่อคิดได้ว่าฝั่งของตนหาได้เสียผลประโยชน์ไม่ เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่มีความคิดแค้นเคืองใดอีก นางคารวะและไต่ถามนางเสี่ยวหลิวด้วยความเห็นใจและเศร้าสร้อยด้วยกริยาสำรวมมีมารยาทตามแบบฉบับของคุณหนูตระกูลใหญ่ เพราะความรู้สึกภายในใจเปลี่ยนไปแล้ว จึงได้กลืนวาจาที่เคยคิดจะเอ่ยก่อนหน้านี้ลงไปเสียสิ้น
อาการของนางเสี่ยวหลิวหนักหนากว่าที่เว่ยฉางอิ๋งคิดไว้มาก ดวงตานางมองเหม่อสติล่องลอย กระทั่งนั่งเฝ้าอยู่ข้างหลังโล่งศพก็ยังทำไม่ได้ ตัวทั้งตัวนางนอนพับอ่อนปวกเปียกอยู่บนตั่ง เอาแต่มองไปบนเพดาน ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ยามพวกหลานสาวจากตระกูลอีกสายหนึ่งเข้ามาทักทายและปลอบโยน แม้กระทั่ง คุณชายเก้าเว่ยฉางหลินเลือดเนื้อเชื้อไขของนางเพียงคนเดียวซึ่งเพิ่งอายุเพียงสิบปีร่ำไห้เขย่าแขนนางอยู่พักใหญ่นางก็ยังไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
…เหมือนกับว่าวิญญาณทั้งดวง หัวใจทั้งดวงล้วนตายไปพร้อมกับการตายของเว่ยเจิ้งหย่าเสียแล้ว
เมื่อเห็นนางในสภาพนี้ แม้แต่วาจาของฮูหยินซ่งก็ยังอ่อนโยนลงไปมาก เมื่อว่างแล้วก็เข้าไปกล่าวเตือนนางสองสามประโยค “…ฉางหลินยังเด็กนัก ท่านลุงใหญ่ไม่ชอบเรื่องว้าวุ่นในบ้าน บ้านนี้จึงยังต้องให้พี่สะใภ้ ท่านคอยดูแล… ท่านก็ต้องคิดถึงซ่านสื่อและซ่านกุย พวกเขาล้วนเป็นเด็กดี ทั้งร่างกายของซ่านกุยก็อ่อนแอ ท่าน…”
ทว่าคำพูดเหล่านี้นางเสี่ยวหลิวล้วนไม่ได้ฟังเข้าหู
หลังจากเว่ยฉางอิ๋งสามพี่น้องเข้ามาคารวะและกล่าวทักทายแล้ว ก็มีสตรีในตระกูลอีกจำนวนมากทยอยกันเข้ามา บ้างก็ทักทาย บ้างก็ปลอบโยน บ้างก็แนะนำ บ้างก็หลั่งน้ำตาเป็นเพื่อน… แต่ไม่ว่าเป็นผู้ใดมา มีปฏิสัมพันธ์เช่นไร นางเสี่ยวหลิวก็ล้วนไม่ได้สนใจใดๆ
ความเปล่าเปลี่ยวและอ้างว้างประหนึ่งตายของนาง ทำให้ทุกคนวางตัวไม่ถูกจริงๆ แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้ทุกคนล้วนเข้าใจได้
ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลขนาดใหญ่ ทั้งเว่ยเจิ้งหย่ายังมาตายในบ้านเกิดของตนเอง ผู้ที่มาไว้อาลัยนั้น ลำพังแค่คนในตระกูลเดียวกันก็มีมากโขแล้ว สตรีในตระกูลที่มีคุณสมบัติเข้ามาเยี่ยมเยือนนางเสี่ยวหลิวและเว่ยฉางเสียนที่เรือนหลังก็มีไม่น้อย ในตอนแรกภายในห้องที่กว้างขวางยังพอรองรับไหว แต่ภายหลังเมื่อคนค่อยมากขึ้นก็ไม่มีที่เหลือให้ยืนแล้ว
ฮูหยินซ่งและนางเผยไม่อาจไม่เข้าไปช่วยดูแลแทนนางเสี่ยวหลิวเสียหน่อย พลางบอกกล่าวทุกคนให้ออกมาจากในห้องก่อน แล้วให้เพียงสาวใช้ที่เชื่อใจได้คอยเฝ้าเอาไว้ อย่างไรเสีย เมื่อดูจากอาการของนางเสี่ยวหลิวในยามนี้ก็ไม่ควรจะไปรบกวนนางเกินไป
พวกของเว่ยฉางอิ๋งทั้งสามคนที่มาถึงก่อนคนอื่นก็ถูกสั่งให้ออกมาเช่นกัน ฮูหยินซ่งหาเวลาว่างระหว่างที่วุ่นวายกำชับพวกนางประโยคหนึ่งว่า “วันนี้เกรงว่าข้าและท่านอาสะใภ้สามของเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่เสียเลย พวกเจ้าพี่น้องอย่าได้เดินหลงกัน อีกสักพักค่อยกลับไปด้วยกัน”
เห็นชัดว่านางเสี่ยวหลิวไม่สามารถดูแลเรื่องต่างๆ ได้ กระทั่งเฝ้าโลงศพก็ยังทำไม่ได้ ข้างหน้านั้นมีคนในตระกูลช่วยดูแล ที่เรือนด้านหลังนี้ก็ต้องการคนจัดแจงด้วยเช่นกัน…และในเวลานี้หน้าที่รับผิดชอบนี้ก็ตกอยู่ที่ตัวฮูหยินซ่งและนางเผยแล้ว
แม้จวนทั้งสองจะห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว แต่หากกลางค่ำกลางคืนเกิดมีเรื่องเล็กน้อยขึ้นมา กว่าจะมีคนวิ่งมาเชิญไปมาก็ยุ่งยาก อย่าให้ต้องเพิ่งกลับถึงรุ่ยอวี่ถังหัวยังไม่ทันถึงหมอนก็ถูกเรียกให้กลับมาเสียแล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจอยู่ที่จวนจิ้งผิงกงไปเสียเลย ดีชั่วอย่างไร ยามนี้ ‘ปี้อู๋’ ก็อยู่ในมือของเว่ยฮ่วน
แม้แต่เว่ยเจิ้งหย่าก็ยังตายอยู่ในห้องของตัวเอง แน่นอนว่าฮูหยินซ่งและนางเผยย่อมไม่กลัวจะค้างคืนที่นี่
เดิมทีฮูหยินซ่งให้ทุกคนออกไป เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนก็พากันส่งสายตาว่าต้องการจะแยกตัวจากเว่ยฉางอิ๋ง แต่ฮูหยินซ่งกลับสั่งมาเช่นนี้ได้ ท่านป้าใหญ่ผู้นี้ทั้งแข็งแกร่งทั้งเก่งกาจ เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนล้วนรู้สึกกลัวนาง จึงไม่กล้าไม่ฟังคำนาง
นิ่งเงียบไปสักพัก เว่ยเกาฉานก็เสนอว่า “พี่สาม พวกเราหามุมวิเวกสักหน่อยนั่ง พักผ่อนสักพักเถิดเจ้าค่ะ”
“ก็ดี” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า พิธีไว้อาลัยก็เป็นงานที่ต้องใช้เรี่ยวแรงมาก ตอนอยู่ในห้องเมื่อครู่นี้ พวกนางก็ยืนกันกว่าหนึ่งชั่วยามเต็มๆ มีพวกผู้ใหญ่อยู่มากมายเพียงนั้น แม้จะมีที่นั่งเพียงพอพวกนางก็ไม่กล้านั่ง… เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังรู้สึกเหนื่อย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนที่เป็นสตรีตระกูลใหญ่แสนอ่อนแอขนานแท้
แต่นางไม่รู้ว่าลับหลังนั้น เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนพากันส่งสายตาประหนึ่งว่าได้รับภาระอันหนักอึ้ง เพราะประเด็นสำคัญนั้นกลับคือการปลีกวิเวก
แม้จักพูดไม่ได้ว่าสามสาวพี่น้องคุ้นเคยกับเรือนด้านหลังของจิ้งผิงกงนัก แต่ก็หาได้ไม่คุ้นเคย
ไม่นานก็หาศาลาที่อยู่ในมุมหนึ่งจนพบ ข้างศาลามีต้นสนหางสิงห์ปลูกเรียงเป็นแถวหนาแน่นและบังศาลาไว้จนมิด จะต้องเดินอ้อมกลุ่มต้นสนหางสิงห์นี้ไปยังภูเขาเทียมที่อยู่อีกด้านหนึ่งจึงจะมีทางเดินเล็กๆ เข้าไปได้ มิใช่ว่าคนที่เคยมาเพียงสองหน หรือแม้แต่จะเป็นยามกลางวันก็จะหาทางเข้าไปได้
เมื่อถึงในศาลา เพราะเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนต่างพากันนิ่งเงียบ เว่ยฉางอิ๋งกล่าวถึงทิวทัศน์ไปสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าพวกน้องๆ ต่างไม่ยอมต่อความจึงได้หมดความสนใจไป ทั้งสามคนจึงได้นั่งอยู่เงียบๆ เช่นนี้ รอจนกระทั่งมีแรงกลับมาแล้วจักได้เข้าไปช่วยรับแขกที่จะมาต่อไปได้
ความเงียบงันของพวกนางก็พลอยทำให้พวกสาวใช้และบ่าวที่อยู่ข้างกายเงียบเสียงลงไปด้วย ด้วยเป็นพิธีไว้อาลัยจึงมิได้สวมใส่เครื่องประดับมากมาย ยามลมฤดูใบไม้ร่วงโชยมาจึงมิได้มีเสียงของเครื่องประดับกระทบกัน เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่เดินผ่านหลังแนวต้นสนหางสิงห์ก็จักเข้าใจผิดเอาได้ง่ายๆ ว่าในศาลาไม่มีคน…หรือไม่ก็ไม่รู้เลยว่าข้างหลังต้นไม้มีคนอยู่
และคงด้วยสาเหตุนี้ จากนั้นไม่นาน พลันมีเสียงซุบซิบมาจากอีกด้านหนึ่งของแนวต้นไม้ คงเพราะนึกว่ารอบๆ ไม่มีคน และแม้จะเป็นเสียงซุบซิบไม่ดังนัก แต่ก็ยังทำให้คนที่อยู่ในศาลาได้ยิน “คนที่แซมผมด้วยลูกปัดดอกไม้รูปดอกลี่ฮวาสีขาวคนนั้น เจ้าเห็นแล้วหรือไม่?” เสียงนี้หวานนัก สามารถจินตนาการได้ว่าเจ้าของเสียงน่าจะต้องเป็นคนน่ารักร่าเริง ในน้ำเสียงมีความตื่นเต้นที่สัมผัสได้ไม่ยากแฝงอยู่
“เจ้าหมายถึงคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฮูหยินซ่งคนนั้นรึ?” คนที่กล่าวตอบเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “จักไม่เห็นได้หรือ? หญิงสาวเต็มห้อง ก็เป็นนางที่งามที่สุด… นางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของท่านประมุข แม้จะเป็นอาภรณ์เรียบๆ นางก็ยังใส่แล้วดูมีสง่าราศียิ่งกว่าพวกเราเสียอีก!”
เสียงหวานๆ ที่พูดไปก่อนหน้านี้กล่าวอย่างดูแคลนว่า “เจ้ารู้สึกว่านางมีสง่าราศีรึ? เจ้าคิดว่านั่นคือผู้ใด?”
“เอ๊ะ! เจ้าว่าเช่นนี้ หรือว่าคือ…?”
“เป็นนางนั่นล่ะ! ตอนที่ออกมาเมื่อครู่นี้ เข้าได้ยินมากับหูว่าฮูหยินซ่งเรียกนางว่าฉางอิ๋ง”
ฟังถึงตรงนี้ เว่ยฉางอิ๋งถึงกับสะดุ้ง พลางหันไปมองทางต้นสนหางสิงห์ด้วยความสงสัย เห็นท่าทางเว่ยเกาฉานกำลังจะเอ่ยบางสิ่ง นางจึงรีบโบกมือเป็นการบอกให้เว่ยเกาฉานเงียบเสียง
เว่ยเกาฉานก็มิกล้าขัดนางต่อหน้า จึงทำได้เพียงสงบปากลงด้วยความหวั่นหวาดเป็นที่สุด
เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังนั้น สาวใช้และพวกบ่าวต่างส่งสายตาหากัน แม้แต่ลมหายใจก็ยังจงใจให้เบาลง เพื่อมิให้รบกวนการแอบฟังของคุณหนูบ้านตน
และคนที่อยู่ข้างหน้าแนวไม้ก็มิได้ทำให้พวกนางผิดหวัง ยังคงวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นานอย่างครื้นเครง “เหตุใดนางยังกล้าออกมา? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่นี้ข้ายังเห็นสีหน้าของนางเป็นปกติมาก คล้ายยังเข้าไปกล่าวเตือนฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงสักพักด้วย? เหตุใด…นางถึง…ถึงไม่รู้จักกลัวไม่รู้จักอายบ้าง?!”
ประหนึ่งน้ำแช่น้ำแข็งหนึ่งถัง รดลงไปบนหัวของเว่ยฉางอิ๋งในวันที่หนาวเหน็บที่สุดในฤดูหนาว!
เมื่อเห็นว่านางมีสีหน้าไม่สู้ดี สีหน้าของนางเฮ่อก็เปลี่ยนไปทันที และทำท่าจะไปด่าทอพวกปากเปราะไม่มีตาทั้งสองคนที่นอกแนวต้นไม้ ทว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับรีบกดมือนางเอาไว้!
เห็นชัดว่านางยังอยากฟังต่อ…
“ก็มิใช่หรือไร? หากเป็นข้า ทำเรื่องเช่นนาง ก็ตายอยู่ในป่าไปเสียดีกว่า ยังจะกลับมาทำสิ่งใด? ไม่รู้จักกลัวว่าจะทำให้ประตูบ้านเปื้อนมลทินบ้าง!”
“ชวี… เป็นถึงหลานสาวบ้านใหญ่ของท่านประมุข! เหตุใดจึงไม่มียางอายเช่นนี้? ท่านประมุขก็ไม่คอยดูแลเสียบ้าง?”
“ท่านประมุขก็มีนางเป็นหลานสาวแท้ๆ อยู่เพียงคนเดียว คงจะปลงใจไม่ได้ แต่หากให้ข้าว่า เว่ยฉางอิ๋งนี่ก็ไร้ยางอายเกินไป นางรักตัวกลัวตาย แล้วกลับมาอย่างไม่ขาวสะอาด ได้ยินว่าขายขี้หน้าไปจนถึงเมืองหลวงโน่น! ยามคนนอกเอ่ยถึงต่างก็ว่าเป็นบุตรสาวตระกูลเว่ย…เฮ่อ ปีนี้พวกเรายังมิทันได้มีแม่สื่อมา ต่อไปก็ยังไม่รู้ว่าจะถูกนางทำให้พลอยรับเคราะห์ไปด้วยจนเป็นเยี่ยงไร…”
“ชื่อเสียงของตระกูลเว่ยของพวกเราขาวสะอาดและสูงส่งเพียงใด? และจะอภัยให้นางได้อย่างไร? เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของทั้งตระกูลเชียว…”
“ได้ยินท่านปู่ข้าว่า ท่านประมุข…”
เว่ยฉางอิ๋งโอนเอนคล้ายจะล้ม พลันเอามือไปยันโต๊ะหินที่อยู่ข้างหน้าเอาไว้ จึงนั่งตรงๆ อยู่ได้อย่างลำบาก นางพลันเอื้อมมือไปดึงลูกปัดดอกไม้รูปดอกลี่ฮวาสีขาวดอกนั้นแล้วเหวี่ยงลงไปที่พื้นอย่างแรง!
เสียงลูกปัดดอกไม้แตกเสียงดังแจ่มชัด ทำให้คนข้างนอกแนวไม้ตื่นตกใจ “อ๊ะ! ข้างในมีคน?!”
“รีบไป รีบไป! จริงๆ เชียว หลังต้นไม้นี่มีคนซ่อนอยู่ ตอนพวกเรามาไยไม่มีซุ่มเสียง?” ด้วยอำนาจที่ถูกต้องตามธรรมนองคลองธรรมของเว่ยฮ่วน ทั้งเขายังแสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการจะปกป้องหลานสาว แม้เด็กสาวในตระกูลทั้งสองคนนี้จะไม่พอใจและมาวิจารณ์กันลับๆ ก็ส่วนวิจารณ์ไป แต่ก็กลับไม่กล้าทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ เมื่อได้ยินเสียงดัง จึงไม่ทันได้ดูให้ละเอียดแล้วรีบหนีไปอย่างลนลาน
สีหน้าของนางเฮ่อเขียวคล้ำ กล่าวว่า “ไยคุณหนูปล่อยพวกนางไปเช่นนี้เจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งมิได้สนใจนาง หากแต่ค่อยๆ.. ค่อยๆ.. หันหน้ามาหาลูกผู้น้องทั้งสองคน ที่ยามนี้เห็นได้ชัดว่านั่งอยู่อย่างร้อนรน แล้วจ้องพวกนางอยู่พักหนึ่งเต็มๆ จึงค่อยๆ พูดออกมาทีละคำว่า “ที่เมื่อครู่นี้…พวกเจ้าบอกว่ามีเรื่องอยากคุยกันตามลำพัง… ไม่อยากนั่งรถคันเดียวกับข้า… ก็ด้วย… สาเหตุนี้?”
เดิมทีเว่ยเกาฉานคิดจะปฏิเสธ เว่ยฉางเยียนก็เช่นกัน แต่เมื่อได้เห็นแววตาที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ของลูกผู้พี่ เด็กสาวสองคนที่เคยชินกับการระวังกริยาวาจาก็ยังคงรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมา จึงไม่อาจกล่าวคำปฏิเสธออกมาได้ อ้ำอึ้งอยู่เป็นนาน เว่ยเกาฉานจึงกล่าวเสียงต่ำๆ ว่า “พะ…พวกเราหาได้รังเกียจพี่สามไม่ พะ…พวกเราเพียงแค่… เพียงแค่…”
นางเพียงแค่พูดไม่ออก เว่ยฉางอิ๋งกลับหันเหสายตาออกโดยพลัน เหม่อมองไปยังท้องฟ้าแสนไกล แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาและเล็กอย่างยิ่งว่า “เพียงแค่กลัวว่านั่งรถกับข้า แล้วจะถูกคนหัวเราะเยาะเอา?”
เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนหน้าแดงหูแดง พูดอะไรไม่ออก
“…พวกเจ้าไปเถิด ข้าอยากอยู่ตรงนี้เงียบๆ คนเดียวสักพัก” พี่สามผู้นี้เคยลงมือสังหารพวกโจรสองคนบนถนนหลวง ทั้งอาจหาญและเด็ดเดี่ยวเหนือว่าผู้ชายธรรมทั่วไปเสียอีก ทั้งยังได้รับความรักใคร่จากผู้ใหญ่ หากบันดาลโทสะขึ้นมา…แล้วทุบตีพวกนาง ขอเพียงไม่เกิดเรื่องใหญ่โต อย่างไรเสียก็เป็นความผิดของพวกนางเอง… เมื่อเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนถูกเดาใจออกจึงพากันหวาดหวั่นเป็นนักหนา! เฝ้ารอให้เว่ยฉางอิ๋งลงโทษพวกนางด้วยอาการขวัญผวา ทว่ารออยู่นานกลับได้ยินเพียงประโยคนี้
เพียงระบายอารมณ์ออกมาอย่างบางเบา กลับไม่เป็นดังพายุฝนกระหน่ำอย่างที่คิดเอาไว้
พวกนางนิ่งเหม่อ ข้างนางเฮ่อก็เข้ามาต่อว่าต่อขานด้วยสายตาไม่เป็นมิตรว่า “คุณหนูทั้งสองยังไม่ไปอีก หรือยามนี้ไม่กลัวว่าอยู่กับคุณหนูของพวกเราแล้วจะถูกคนหัวเราะเยาะเอา? หรือคิดว่าคุณหนูใหญ่ของพวกเราถูกพวกปากสวะไม่กี่คนนั้นสบประมาทไปสองสามประโยคแล้วจะจัดการพวกท่านมิได้?”
“พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้” แม้นางเฮ่อจะเป็นเพียงแม่นม แต่เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนกลับไม่กล้าเถียงคำนาง โดยเฉพาะในสภาพการณ์เช่นนี้… พวกนางทั้งคับแค้นใจทั้งหวาดกลัว แต่ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย พลางรีบลุกอย่างลนลาน แล้วรีบออกไปนอกศาลา
นางเฮ่อมองตามหลังพวกนางไปด้วยสายตาเย็นชา รนจอพวกนางก้าวออกไปนอกศาลาแล้ว แต่ยังสามารถได้ยินเสียงพูดจาในศาลาได้อยู่ แล้วเอ่ยเสียงสูงขึ้นมาทันใด “นึกว่าตนเองเป็นของสูงส่งจริงๆ หรือไร?! ของต่ำๆ ที่ฮูหยินชั้นต่ำคลอดออกมา! ตระกูลเล็กๆ ได้มาปรับแต่งสมองสักหน่อย แผงเข้ามาอยู่ในบ้านใหญ่ความจริงแล้วก็เพียงอึ่งอ่างพองตัวให้เท่าวัวเท่านั้น! ทั้งยังเป็นคางคกขึ้นวอหลงนึกว่าตัวเองดีเด่นนักหนา กลัวจะถูกผู้อื่นทำให้พลอยถูกหัวเราะเยาะรึ? ข้าว่า คนบางคนวางท่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่อย่างภูมิอกภูมิใจต่างหากเล่าที่น่าหัวเราะเยาะเป็นที่สุด… ฮูหยินชั้นต่ำคลอดออกมาก็ยังเป็นฮูหยินชั้นต่ำคลอดออกมาวันยันค่ำ จะมาหลอกใครได้ว่าเป็นทองแท้หยกแท้กันเล่า มองขึ้นไปอีกสักหน่อย ก็มิใช่ฮูหยินชั้นต่ำเลี้ยงมาหรอกรึ! พิราบแก่พยายามเอาขนนกยูงสองสามก้านมาแซมขนตัว แล้วก็หลงนึกว่าตัวเองเป็นนกยูงแล้วรึ? ถุย!”
น้ำลายคำหนึ่ง พ่นลงมาบนชายกระโปรงสาวใช้ของเว่ยเกาฉาน!
แม้เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนจะไม่ถูกเอาอกเอาใจเช่นเดียวกับเว่ยฉางอิ๋ง แต่ความจริงแล้วก็มีฐานะเป็นคุณหนู มีหรือจะเคยได้ยินคำด่าทอที่เจ็บแสบและหยาบคายเช่นนี้? นางเฮ่อโกรธเคืองพวกนางที่แต่ก่อนนี้ก็ไม่ใช่ไม่เคยขอให้เว่ยฉางอิ๋งลูกผู้พี่ผู้นี้ช่วยเหลือ มาวันนี้ด้วยคำครหานินทา กลับรู้สึกรังเกียจเว่ยฉางอิ๋งขึ้นมาจนถึงขึ้นไม่ยอมนั่งรถกับนางหรือไม่ยอมเข้าใกล้นาง คำด่านี้ถือว่าเป็นการตีวัวกระทบคราดแล้ว เหลือแต่ไม่ได้ด่าชื่อออกไปเท่านั้น!
ฝีเท้าของพี่น้องบ้านสามโอนเอนไปมาอย่างหนัก ดูท่าว่ากำลังสูดหายใจลึก ในเวลาต่อมาก็ดูเหมือนจะมีเสียงสะอื้น
ทว่าพวกนางเพียงหยุดก้าวเท้าแค่เพียงอึดใจเดียว แต่กลับไม่มีความกล้าจะหันกลับมาถกเถียง พลางประคองกันและกันแล้วเดินออกไปไกล… ดูท่าว่าคงไปหาที่อื่นร้องไห้สักพัก
ด้วยหลักการสำคัญที่สุดตลอดกาลว่า ‘คุณหนูใหญ่ผู้แสนดี กลับต้องมาถูกไอ้พวกใจดำใส่ร้าย’ ทำให้ท่านอาเฮ่อผู้ยึดถือหลักการนี้อย่างยิ่งยวดและไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยแสดงออกชัดเจนว่า ‘คุณหนูใหญ่เป็นคนใจดีที่ยังเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง แต่สำหรับตัวข้าแล้ว ในสายตามีเพียงคุณหนูใหญ่เท่านั้น!’
_______________________