ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 71 น้องสาวของเว่ยชิง
ด่าเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนเสียจนต้องเอาแขนเสื้อปิดหน้าร้องไห้เดินไป แต่บนใบหน้าของนางเฮ่อกลับมิได้มีความยินดีเลยแม้สักน้อย กลับกัน นางกล่าวด้วยเสียงต่ำอย่างระมัดระวังจนแทบจะเป็นการวิงวอนว่า “คุณหนูใหญ่อย่าไปฟังคำพูดเลอะเลือนจากคนปากเปราะพวกนี้เลย…พวกนางล้วนริษยาคุณหนูใหญ่ คนหนึ่งในนั้นมิใช่พูดก่อนหน้านี้แล้วหรือ? ว่าเมื่อครู่มีหญิงสาวอยู่เต็มห้อง ก็เป็นคุณหนูใหญ่ที่งดงามและมีสง่าราศีเป็นที่สุด! บุตรสาวของสายอื่นๆ ในตระกูลไม่ว่าจะเป็นเรื่องฐานะหรือความงามล้วนไม่เทียมคุณหนูใหญ่ จึงได้…”
“หลายวันแล้วกระมัง?” สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งยังคงซืดเผือด และมองเหม่อออกไปแสนไกล เมื่อได้ยินนางเฮ่อพูดถึงตรงนี้ก็พลันหันหน้ามาถามประโยคหนึ่ง
แม้จู่ๆ นางก็ถามออกมาลอยๆ แต่นางเฮ่อกลับเข้าใจ แล้วลังเลอยู่พักใหญ่จึงได้กล่าวเสียงต่ำว่า “ประมาณ…ไม่กี่วันมานี้เจ้าค่ะ ท่านประมุขและฮูหยินผู้เฒ่าได้…”
“ในตระกูลต่างก็เริ่มกันพูดเช่นนี้แล้ว ไม่มีทางเพียงแค่ไม่กี่วันนี้กระมัง” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างบางเบา ในน้ำเสียงนั้นมีเสียงสะอื้นปะปนมาด้วย
นางเฮ่อรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาในใจ พลางฝืนยิ้มแล้วว่า “คุณหนูใหญ่โปรดอย่าได้ร้อนใจ คำกล่าวนี้แม้จะเล่าลือกันมาสองวัน แต่ท่านประมุขและฮูหยินผู้เฒ่าล้วนมีวิธีจัดการ ประสาอะไรกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไร้แก่นสารข้างนอก ก็มิใช่ว่าเป็น….เลือกมา? ยามนี้ก็ได้รับผลกรรมแล้ว คนก็จากไปแล้ว หรือคนในอาณัติทั้งหลายยังกล้าไม่ลืมหูลืมตาแล้วสร้างเสียงครหาให้ร้ายคุณหนูใหญ่ต่อไปอีก? ให้ผ่านไปอีกวันสองวันเสียงวิจารณ์เหล่านี้ก็จะต้องแพ้ภัยตนเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็จะต้องคืนความบริสุทธิ์แก่คุณหนูใหญ่ได้แน่นอน”
เว่ยฉางอิ๋งพูดอย่างกลัดกลุ้มว่า “ความบริสุทธิ์รึ? ข้าบริสุทธิ์อยู่แล้ว แต่วันนี้แม้แต่พวกน้องๆ ต่างไม่ยอมนั่งรถคันเดียวกับข้า….ข้า…พวกนาง…”
“คุณหนูบ้านสามทั้งสองคนนี้ แม้จะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเว่ยเช่นกัน แต่มารดาของพวกนางมีชาติกำเนิดต่ำต้อยยิ่งนัก ไม่อาจเป็นหน้าเป็นตาได้!” นางเฮ่อหัวเราะเยาะคราหนึ่ง พลางด่าทอนางเผยไปพร้อมกันอย่างไม่เกรงใจเลยแม้สักน้อย กล่าวว่า “ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ก่อนนี้คุณหนูใหญ่คอยดูแลพวกนาง ต่อให้โดยปกติแล้วความสัมพันธ์จะไม่แน่นแฟ้น จะอย่างไรก็มีท่านปู่คนเดียวกัน! พวกนางกลับกล้าทำกับคุณหนูใหญ่เช่นนี้ หาได้คำนึงถึงความสัมพันธ์ฉันพี่น้องแม้แต่น้อยไม่… ครานี้เป็นคุณหนูใหญ่ใจดี ตามความเห็นข้าน้อยแล้ว ไอ้ของที่คนชั้นต่ำเลี้ยงดูพวกนี้ ก็ควรจะเอาไม้เรียวมาตบปากพวกนางแรงๆ! พวกนางนี่เป็นสิ่งใดกัน กล้ามารังเกียจคุณหนูใหญ่?!”
เดิมทีนางเฮ่อก็ออกจะเข้าข้างเว่ยฉางอิ๋งซึ่งตนเป็นผู้ให้นมจนเติบใหญ่และคิดว่านางเป็นผู้ที่ควรได้รับความรักใคร่มากที่สุดในบรรดาหลานสาวทุกคน โดยปกติแล้วในบรรดาบ่าวไพร่ในเรือนหลัง นอกจากพวกที่ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินซ่งไว้เนื้อเชื้อใจแล้ว ก็มีนางกว่านซึ่งเป็นแม่นมของเว่ยฉางเฟิงที่นางเกรงใจสักหน่อย แม้เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนจะเป็นคุณหนูตระกูลเว่ย แต่นางเฮ่อไม่เคยรู้สึกว่าพวกนางไม่อาจเทียบกับเว่ยฉางอิ๋งได้เลย
ครานี้ที่เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนล่าถอยและรังเกียจเว่ยฉางอิ๋งนั้นเป็นที่น่าเย้ยหยันยิ่ง คำพูดของนางเฮ่อยิ่งพูดยิ่งหยาบคายเข้าทุกที “จะว่าไปใครๆ ต่างบอกว่าฮูหยินสามสอนสั่งผู้สืบสกุลในบ้านสามมาด้วยความตั้งใจยิ่ง แต่ยามนี้จากที่ข้าน้อยดู ก็มิรู้ว่าความตั้งใจนี้นำไปใช้ที่ใดกัน? คุณชายสี่ไปเรียนก่อนคุณชายห้าของเราตั้งนาน แต่ผลการเรียนกลับไม่รู้ว่าย่ำแย่กว่าคุณชายห้าตั้งเท่าใด! จะอย่างไร โดยรวมแล้วบ้านสามก็ยังเป็นอนุ อย่างไรก็ไร้บุญญาธิการ! ไม่ว่าจะอาศัยผู้อาวุโสและอาจารย์มีชื่อสอนสั่งเยี่ยงไร พวกโง่เง่าก็ยังคงโง่เง่าไปจนตาย!”
“ตามความเห็นของข้าน้อย ต่อไปคุณหนูใหญ่อย่าได้ไปเดินกับนางสองคนนั่นอีก หาไม่แล้วจะถูกคนเยาะเอาได้ว่าคุณหนูใหญ่ออกจะฉลาดปราดเปรื่องปานนี้แต่ข้างกายกลับเป็นลูกผู้น้องแสนโง่เง่าสองนาง! บ้านใหญ่ของเราจะได้ไม่ต้องเสียหน้าด้วยเหตุนี้!”
“ท่านอาสะใภ้สามกลัวที่สุดว่าคนอื่นจะว่านางไม่สมกับเป็นฮูหยินในตระกูล เว่ย แม้แต่การดูแลน้องสี่และน้องห้าก็ยังเป็นไปด้วยความรู้สึกกลัวว่าจะถูกคนวิจารณ์” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน แขนเสื้อค่อยๆ มีรอยหยดน้ำปรากฏออกมาหลายหยด แล้วเอ่ยอย่างเนิบนาบว่า “อีกประการข้างนอกต่างก็พูดกันจนถึงเช่นนี้แล้ว ท่านอาก็คงจะทนฟังไม่ได้ โทษพวกนางไม่ได้ที่ไม่อยากอยู่กับข้า ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกนาง การกลัวว่าจะถูกลากไปเกี่ยวพันด้วยก็เป็นความรู้สึกธรรมดาของคน”
นางเฮ่อกระทืบเท้าแล้วว่า “คุณหนูใหญ่ก็เป็นคนใจดีเช่นนี้! แต่ไยคุณหนูไม่ลองคิดดูบ้าง? ครานั้นคุณหนูรองคอยหาเรื่องคุณหนูสี่และคุณหนูห้า แล้วคุณหนูใหญ่ทำเช่นไร? คุณหนูไจ้สุ่ยยังเตือนคุณหนูใหญ่กว่าอย่าไปยุ่งกับพวกนาง คุณหนูใหญ่ก็ยังจะออกหน้าให้พวกนาง! เคราะห์ดีที่คุณหนูไจ้สุ่ยรั้งตัวเอาไว้ จึงไม่ถูกของไม่ดีคู่นี้เอาเปรียบเอา!”
ทั้งยังยิ้มเยาะแล้วว่า “เพราะคุณหนูไจ้สุ่ยมีความละเอียดรอบคอบโดยแท้ มองออกว่านางสองคนไม่ใช่ของดี ไม่คุ้มค่าจะไปกับปกป้องเลยด้วยซ้ำ! ข้าว่า น่าจะให้คุณหนูรองรังแกพวกนางให้ตายไปเสียตั้งนานแล้ว!”
ทางนี้นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับเอาแต่ไม่หันหน้ากลับมา นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน
นางเฮ่อด่าทอเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนไปพักใหญ่ๆ เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งเอาแต่เงียบเสียง สองไหล่สั่นระรึกอยู่น้อยๆ เห็นชัดว่าเสียใจอย่างมากแต่กลับพยายามฝืนไม่ยอมร้องไห้ออกมา… เด็กสาวที่นางเลี้ยงดูมาแต่เล็กผู้นี้เคยแต่หยิ่งผยองทะนงตน เจิดจรัสสว่างตาตลอดมา ที่ไหนจะเคยมียามโดดเดี่ยวไร้คนดูดายทั้งเจ็บปวดและหดหู่เช่นนี้?
นางเฮ่อรู้สึกปวดร้าวในใจและไม่มีแก่ใจจะด่าทอต่อไปอีก นางนิ่งพักครุ่นคิดอยู่เกือบเค่อ แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงให้นุ่มลงและกล่าวเตือนว่า “ที่นี่เป็นจวนจิงผิงกง ไม่แน่ว่านังเด็กสองคนนั่นจะไม่รู้จริงๆ ว่าในศาลามีคนอยู่ อาจจะเห็นว่าพวกเรามา จึงจงใจพูด.คำ.พวกนั้น… คุณหนูใหญ่โปรดคิดดู คนในจวนนี่ผู้ใดกันที่ไม่หน้าเนื้อใจเสือ? เห็นๆ กันอยู่ก็คือจงใจอยากให้คุณหนูเสียใจ! หากคุณหนูใหญ่หลงเชื่อพวกนาง ก็เท่ากับเป็นการตกหลุมพราง”
“…ข้ารู้แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวไปประโยคหนึ่งด้วยเสียงออกจมูกเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “จวนจะได้เวลาแล้ว ควรจะข้างหน้าได้แล้วกระมัง?”
นางเฮ่อเห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีจึงบอกว่า “หากคุณหนูใหญ่ไม่อยากจะอยู่ต่อก็…”
“ไปดูข้างหน้าก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” เว่ยฉางอิ๋งกล่าว พลางก้มหน้าลง แล้วกระพริบตาให้หยดน้ำบนขนตาหลุดออก
ในใจนางยังคงมีความหวังอยู่บ้าง หวังว่าจะเป็นเช่นนางเฮ่อพูดว่าเด็กสาวในตระกูลที่ปากคอเราะร้ายสองคนนั้นจะเป็นจวนจิ้งผิงกงส่งมาเพื่อจงใจกล่าวคำพูดเหล่านั้นให้ตนฟัง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกนั้นยังไม่ถึงขั้นนี้…
หากไม่ไปลองนั่งฟังด้วยตนเองในที่ที่มีคนมากแล้วจักให้วางได้อย่างไร… นางไม่ใช่เว่ยเกาฉานหรือเว่ยฉางเยียนที่ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างแต่เพียงน้อยก็ไม่มีหน้าออกนอกบ้าน ด้วยกลัวจะถูกคนวิพากษ์วิจารณ์เอา แม้นางเองก็กลัวจะถูกคำครหานินทาท่วมทับตัวเช่นกัน แต่เว่ยฉางอิ๋งก็ยังคงคิดว่าตนเองควรจะไปค้นหาความจริงด้วยตนเอง แม้ต้องพบกับผลที่เลวร้ายที่สุดก็ตาม
นางเฮ่อส่งสายตาไปยังสาวใช้ที่อยู่ซ้ายขวาหนหนึ่ง จูสือที่เป็นคนหัวไวรีบยกชายกระโปรงขึ้นในทันใดแล้วค่อยๆ ถอยหลังไปสองสามก้าว รอจนเว่ยฉางอิ๋งไม่ทันสังเกต แล้วเลือกทางเล็กๆ และวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อรีบไปเตรียมการทางเรือนข้างหน้าเอาไว้
ยามนี้จิตใจของเว่ยฉางอิ๋งสับสนวุ่นวายขนานใหญ่จึงมิทันได้สังเกตเห็น
เมื่อไปถึงโถงด้านหน้าที่บรรดาสตรีในตระกูลมารวมกันอยู่ แม่บ้านชราที่เคยพาพวกเข้ามาในจวนก่อนนี้กำลังดูแลทางนี้อยู่ เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งมาแม่บ้านชราผู้นี้จึงรีบเข้าไปต้อนรับและคำนับนาง พลางกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “คุณหนูสามมาแล้วหรือเจ้าคะ? เชิญนั่งทางนี้เจ้าค่ะ…”
ยามนี้จิตใจของเว่ยฉางอิ๋งทั้งว้าวุ่นและตื่นเต้นหวั่นหวาด ไม่มีเวลามาคิดมาก จึงไปนั่งอยู่ท่ามกลางหญิงสาวจำนวนหนึ่งตามที่นางจัดการให้ นางเพิ่งจะนั่งลงก็พลันมีเสียงทักทายดังมาจากที่นั่งข้างๆ ด้วยความเกรงใจเป็นอย่างยิ่งว่า “คุณหนูท่านนี้สง่างามเหลือเกิน…ไม่ทราบว่าเป็นคุณหนูบ้านใดเจ้าคะ?”
หญิงสาวที่อยู่ในห้องโถงโดยพื้นฐานแล้วล้วนเป็นคนในตระกูลเว่ย เว่ยฉางอิ๋งรีบตอบไปว่า “หาใช่เป็นเช่นน้องสาวท่านนี้กล่าวชมไม่…”
ผู้ที่มากับหญิงสาวผู้นั้นหันมามองคราหนึ่งเช่นกัน พลางเอามือปิดปากหัวเราะ “น้องสิบหกเจ้าตาถึงจริงๆ ท่านพี่ร่วมตระกูลผู้นี้เพียงแค่เห็นก็รู้ว่าต้องมาจากตระกูลสายหลักเป็นแน่ ข้าพูดถูกต้องใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“น้องสาวทั้งสองท่านคือ?”
“พี่ชายของเราคือเว่ยชิงเจ้าค่ะ”
“ที่แท้เป็นพี่น้องของพี่ชิงหรือ? จะว่าไปคราก่อนที่ถูกลอบทำร้ายบนถนนหลวง เคราะห์ดียิ่งที่ได้พี่ชิงอารักษ์ขา…”
“ท่านพี่เกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ เมื่อพี่ชายกลับไปยังบอกว่า ท่านพี่เป็นสตรีที่ไม่แพ้ชายอกสามศอก พี่ชายรำพึงออกมาเองว่าเขายังห่างไกลกับคุณหนูใหญ่นัก!” หญิงสาวทั้งสองนางพากันเอาแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากหัวเราะ พวกนางช่างสนทนา พูดจาน้ำไหลไฟดับ แล้วว่าต่อโดยไม่หยุดพัก “หากจะเอ่ยถึงเรื่องหนก่อน ก็ด้วยท่านพี่มีฝีมือเก่งกาจ สามารถช่วยคุณชายห้าของบ้านหลักเอาไว้ได้อย่างเฉียดฉิว แม้แต่พี่ชายยังพลอยได้อานิสงค์จากท่านพี่ไปด้วย… หัวหน้าของพวกลอบทำร้ายนั้น เป็นท่านพี่ลงมือใช้กระบี่สังหารเชียว! เคราะห์ดีเช่นกันที่ยามนั้นเป็นท่านพี่ หากเป็นพวกเราแล้วไซร้ นอกจากจะใช้ปิ่นปักผมปลิดชีพตนเองแล้ว ก็หาได้มีวิธีใดอื่นอีกไม่! มีหรือจะเป็นเช่นท่านพี่ นอกจากจะดูแลตนเองได้เป็นอย่างดี ยังสามารถออกแรงช่วยเหลือปกป้องพี่ชายน้องชาย… เพียงแค่น่าเสียดายที่พวกเราอายุมากแล้ว หาไม่ ก็อยากจะให้ขอให้ท่านพี่ชี้แนะวิธีป้องกันตัวให้สักสองสามกระบวนท่าเจ้าค่ะ…”
เมื่อได้ฟังคำเยินยอที่พรั่งพรูออกมาอย่างน้ำไหลไฟดับของน้องสาวของเว่ยชิงแล้ว ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งก็ค่อยๆ มีสีเลือดขึ้นมา ลอบโล่งใจ ค่อยๆ ผ่อนคลายลงและเริ่มเปิดใจสนทนาสรรพเหระกับพวกนางไปเรื่อยๆ อย่างไร้ขอบเขต
ในมุมมุมหนึ่ง จูสือหันกลับมาอย่างพอใจยิ่ง พลางพยักหน้ากับสาวใช้ตัวน้อยนางหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกับนาง “คุณหนูของพวกเจ้าช่างเจรจาจริงๆ ท่านป้าเฮ่ออยู่ข้างๆ คุณหนูใหญ่นั่นเอง ครานี้ได้ยินชัดแจ้งเชียว! นางต้องจำความดีความชอบของคุณหนูของพวกเจ้าไว้แน่ หากต้องการสิ่งใด ขอเพียงบอกกับข้า ข้าจะไปบอกท่านป้า”
สาวใช้ตัวน้อยกล่าวอย่างเขินอายว่า “ขอบคุณพี่จูสือ เพียงแต่เมื่อครู่คุณหนูของพวกเราเพิ่งจะกำชับว่าท่านประมุขดูแลคุณชายของพวกเราเป็นอย่างดีมาโดยตลอด อีกทั้งที่บ้านก็มิได้ขาดเหลือสิ่งใด ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องถูกลอบทำร้ายคราก่อน คุณชายของเราก็ได้อาศัยคุณหนูใหญ่จึงสามารถกลับมาอย่างปลอดภัย ยามนี้คุณหนูของเราช่วยทำให้คุณหนูใหญ่ปลดเปลื้องความทุกข์ได้ ไม่ว่าจะเพราะเป็นพี่สาวร่วมสกุล ยังนับเป็นการตอบแทนบุญคุณที่คุณหนูใหญ่ช่วยคุณชายเอาไว้ เช่นนี้ล้วนเป็นสิ่งที่สมควรทำแล้ว”
มุมปากสีสดของจูสือค่อยๆ โค้งขึ้น กล่าวชมพวกนางทั้งนายบ่าวไปสองสามประโยค เมื่อเอียงตามองไปไม่ไกลนัก จู่ๆ ก็กลืนคำพูดที่กำลังจะพูดลงไป พลางเย้ยหยันว่า “คุณหนูบ้านเจ้าเป็นน้องสาวของคุณชายชิง ก็ย่อมต้องเป็นคนดี แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่ในแต่ละตระกูลล้วนมีดีมีเลว จึงมีบางคน…ไม่รู้จักที่ตาย!”
สาวใช้ตัวน้อยนั้นยังมิทันเข้าใจว่านางเอ่ยถึงผู้ใด แต่กลับเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาใกล้และผ่านมุมโถงไป คงเพราะตื่นเต้นเกินไป จึงมิได้สังเกตเลยว่าพวกนางทั้งสองกำลังยืนสนทนาอยู่ทางนี้ จูสือพลันออกแรงกระแอมไอหนหนึ่ง ขับเสมหะในคอออกมา แล้วขากใส่ผู้ที่เดินผ่านมาอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด! ที่นางขากเสมหะหนนี้ก็ขากลงไปโดนเสื้อของคุณหนูคนหนึ่งที่มีสาวใช้ห้อมล้อมตัวอยู่!
“พี่จูสือ!” สาวใช้ตัวน้อยผู้นั้นปิดปากร้องออกมาอย่างตกใจยกใหญ่ กำลังจะเดินหน้าเข้าไปขอขมาพร้อมกับจูสือ ไม่คิดว่าจูสือพลันเอาสองมือเท้าสะเอว แล้วเงยหน้าเล็กๆ ที่ยังคงมีความเป็นเด็กอยู่มากขึ้น พลางมองคุณหนูที่ถูกขากเสมหะใส่อย่างพออกพอใจ พลางกล่าวด้วยแววตาหาเรื่องว่า “พุทโธ่ ขอโทษจริงๆ นะเจ้าคะ ที่แท้เป็นคุณหนูสี่หรอกรึ? ข้าน้อยตาไม่ดี ยืนอยู่ที่มุม มองไม่ถนัด กลับกลายเป็นทำให้เสื้อผ้าของคุณหนูสี่เปรอะเปื้อนเสียแล้วหรือนี่? ทว่าแต่ไรมาคุณหนูสี่ก็เป็นคนจิตใจอ่อนโยน ทั้งยังกลัวว่าจะถูกคนวิพากษ์วิจารณ์เป็นที่สุด จักต้องไม่ถือสาข้าน้อยเป็นแน่ หาไม่แล้วจะถูกคนหาว่าคุณหนูสี่ลงโทษคนของคุณหนูใหญ่ ด้วยจงใจไม่เคารพคุณหนูใหญ่…ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เว่ยเกาฉานมองนาง มีหรือจะไม่รู้ว่านางเจตนาทำ? ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดอยู่พักใหญ่ ริมฝีปากค่อยๆ ยู้เข้ามา! แต่ถูกเว่ยฉางเยียนออกแรงดึงแขนเสื้อเอาไว้ทั้งน้ำตาคลอ นางทำได้เพียงอดทนต่อไป แล้วก้มหน้ารีบกล่าวไปประโยคหนึ่งว่า “มิเป็นไร!” สาวใช้ข้างกายสองพี่น้องก็ไม่มีแม้สักคนกล้าหือกับจูสือ ต่างพากันก้มหน้า ประคองเว่ยเกาฉานเดินรวบสามก้าวเป็นสองเก้าแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
“เห็นแล้วหรือไม่?” จูสือเอามือที่เท้าสะเอวอยู่ลง ยิ้มเยาะหนหนึ่ง แล้วหันหน้ามาพูดกับสาวใช้ตัวน้อย “อย่าได้เห็นว่าพวกนางก็เป็นหลานสาวของท่านประมุขเชียว…หึ! วันหน้าต่อให้ประจบประแจงเพียงใดก็อย่าคิดมาไล่ทันคุณหนูของพวกเจ้า”
สาวใช้ตัวน้อยเพิ่งเคยเห็นทางโอหังถึงขึ้นลบหลู่เลือดเนื้อเชื้อไขของเว่ยฮ่วนต่อธารกำนัล ทั้งที่ตนอยู่ยังยืนอยู่ข้างๆ ด้วย ขณะกำลังรู้สึกเป็นกังวลจนไม่อาจเอ่ยคำอยู่นั้น เมื่อมาได้ยินคำพูดนี้ ดวงตากลับพลันแวววาว แล้วรีบกล่าวว่า “ต้องขอให้พี่จูสือสอนข้าสักหน่อย ข้าจักได้กลับไปบอกเล่าแก่คุณหนูของพวกเราฟัง…”
อนาคตของสาวใช้นั้นต้องเดินตามนาย และอนาคตของคุณหนูบ้านตนสำคัญเป็นที่สุด ส่วนเรื่องที่คุณหนูสี่และคุณหนูห้าของตระกูลสายหลักถูกสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ลบหลู่น่ะหรือ? เกี่ยวข้องกับบ้านเราที่ใดกัน! ดีชั่วอย่างไรเว่ยเกาฉานก็กล่าวเองแล้วว่ามิเป็นไรไม่ใช่หรือ?
____________________________