ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 72 เว่ยเกาอั้น
เว่ยโฉงและเว่ยอิงน้องสาวทั้งสองคนของเว่ยชิงมีนิสัยอ่อนโยนเป็นมิตร พูดจาเปิดเผยจริงใจ บวกกับพวกนางล้วนมิได้แสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันเว่ยฉางอิ๋งออกมาเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ สบายใจขึ้นมา คิดว่าเรื่องที่ตนไปตามนัดแทนน้องชายนั้น แม้คนภายนอกจะคาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่ก็มิได้ถึงขึ้นโจษจันกันขรมเมือง
ภายในงาน อย่างไรก็ยังต้องรักษาหน้าตาเอาไว้ จึงไม่มีผู้ได้เอ่ยออกมาต่อหน้าธารกำนัล
ความลำบากใจเช่นนี้นางก็พอจะรับได้ ภายในใจกลับลอบนึกซาบซึ้งว่าเว่ยเจิ้งหย่ามาตายไปถูกจังหวะพอดี… ภายในคืนเดียวเกิดเรื่องใหญ่สี่เรื่องขึ้นในเฟิ่งโจว โดยเฉพาะลอบสังหารนักเขียนเรืองนามแห่งเขตทะเลเว่ยเจิ้งหย่า จนทำให้ใต้หล้าต่างพากันตกตะลึง! แม้ว่าเป็นตายอย่างไรพวกเมืองหรงที่อยู่ทางเหนือจะไม่ยอมรับ แต่ทางเฟิ่งโจวมีทั้งพยานและหลักฐานพร้อมสรรพ และสรุปสำนวนคดีเสร็จสิ้นไปเสียตั้งนานแล้ว
ต้าเว่ยและเมืองหรงทางเหนือเป็นคู่แค้นกันมานาน คำของศัตรู ผู้ใดเล่าจักเชื่อ?
คิดว่าความสนใจของทุกคนในยามนี้ควรจะไปรวมอยู่ที่เรื่องใหญ่สี่เรื่องนี้ ไม่น่าจะมีสักที่คนที่สนใจตนต่อไป
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งสงบใจลงได้ การแสดงออกของนางยิ่งเปิดเผยยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า
เป็นเช่นนี้ไปจนถึงเวลาที่ควรกลับเสียที ทั้งสามคนซึ่งสนทนากันถูกคอก็เดินไปทางด้านหลังพร้อมกัน ใต้ระเบียงทางเดินขากลับแม้จะมีตะเกียงเจ้าพายุแขวนอยู่เว้นระยะห่างกันสองสามเก้า แต่คงเพราะห้อยผ้าขาวเอาไว้มากเกินไป บนระเบียงทางเดินกลับไม่นับว่าสว่างนัก
ทั้งสามคนเดินไปถึงตรงทางเลี้ยว พลันมีร่างของคนผู้หนึ่งพุ่งตรงออกมาชนตัวเว่ยฉางอิ๋ง!
คนผู้นี้กระโจนออกมาอย่างแรง แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับมิได้ถูกชนจนล้ม เพียงแต่เสียการทรงตัวและถอยหลังไปก้าวเล็กๆ เท่านั้น เมื่อก้มลงดู คนที่ชนนางกลับลงไปนั่งพับอยู่กับพื้น
นางรีบก้มตัวลงไปประคองอีกฝ่าย “น้องสิบ? เจ้าวิ่งเสียเร็วปานนี้ทำสิ่งใด ล้มเจ็บหรือไม่?”
คนผู้นี้ชนนางไม่สำเร็จกลับกลายเป็นตนเองล้มอยู่บนพื้น เขาก็คือบุตรชายวัยเยาว์ของอนุของเว่ยเจิ้งหย่า ‘เว่ยเกาอั้น’ อยู่ในลำดับที่สิบ อายุเพิ่งจะเก้าปี ยามเว่ยเจิ้งหย่ายังมีชีวิตอยู่เป็นผู้ที่ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบความวุ่นวาย และสง่างามเหนือหล้า และรับอนุไว้เพียงคนเดียว ซึ่งก็คือสาวใช้ของนางเสี่ยวหลิวที่ตามมาอยู่ด้วยยามนางออกเรือน…ซึ่งก็คืออนุที่ตายไปพร้อมกับเขาบนตั่งที่นอนนั่นเอง
เว่ยเกาอั้นก็เป็นบุตรจากอนุผู้นี้
ในความทรงจำนั้น ลูกผู้น้องผู้นี้ได้รับการเลี้ยงดูจากนางเสี่ยวหลิวและเติบโตมาพร้อมกับเว่ยฉางหลิน แม้จะเป็นบุตรของอนุ แต่เพราะนางเสี่ยวหลิวเห็นเขาเป็นเช่นบุตรของตน ดังนั้นจึงมีอุปนิสัยเหมือนกัยเว่ยฉางหลิน ซึ่งก็คือร่าเร่งชอบเฮฮา
แต่ยามนี้เขาควรจะอยู่ที่โถงกลางร่วมพิธีเฝ้าโลงศพนี่ ไยจึงมาอยู่ที่นี่เล่า?
เว่ยฉางอิ๋งพึมพำอยู่ในใจ เมื่อเห็นเขาไม่ยอมพูดจาสักที จึงสงสัยว่าเด็กน้อยยังไม่รู้ความ คงจักทนความลำบากในการนั่งเฝ้าโลงศพไม่ไหว จึงได้วิ่งออกมาเล่น ทำเช่นนี้ไม่เพียงไม่ถูกประเพณี วันหน้าเมื่อเว่ยเกาอั้นเติบโตแล้วเรื่องนี้เล่าลือออกไปจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขา เว่ยฉางอิ๋งไม่นับว่าคุ้นเคยกับลูกผู้น้องผู้นี้นัก แต่ก็ไม่ต้องการเห็นเขาห่วงแต่เล่นเพียงชั่วครู่และทำให้ผิดพลาดไปทั้งชีวิต นางจึงประคองเว่ยเกาอั้นลุกขึ้นมา แล้วกล่าวกำชับด้วยเสียงต่ำว่า “รีบกลับไปที่โถงเถิด! มาพบกับข้าและท่านพี่ในตระกูลสองนางนี้ยังดี หากให้ผู้อื่นเห็นเข้า จักเป็นเรื่องใหญ่…รีบกลับไปเสีย อ๋า?”
ไม่คิดว่าเมื่อเว่ยเกาอั้นลุกขึ้นยืนแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วจ้องนางเขม็ง พักใหญ่จึงได้ก้มหน้าลง เว่ยฉางอิ๋งนึกว่าเขาคิดได้และจะกลับไปแล้ว จึงได้เอียงตัวหลีกทาง เพื่อให้เขากลับไปยังโถงพิธี คิดไม่ถึงว่าเมื่อเว่ยเกาอั้นก้มหัวลงกลับไม่เอ่ยคำลา หากแต่พลันแผดเสียงตะโกนออกมาคราหนึ่ง และเอาหัวชนเว่ยฉางอิ๋งไปอย่างแรง!
เว่ยฉางอิ๋งตกใจ แต่เพราะนางฝึกวรยุทธมานานปี ขาก้าวคล่องแคล่วฝีมือว่องไง แม้เว่ยเกาอั้นจะจู่โจมนางอย่างปัจจุบันทันด่วนจนทำให้นางประหลาดใจยิ่ง แต่ความจริงแล้วเว่ยเกาอั้นก็เป็นเพียงเด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่ง การจู่โจมของเขาสามารถรับมือได้โดยง่าย เว่ยฉางอิ๋งพลันใช้มือดึงแขนเขาเอาไว้ แล้วกดเขาลงกับที่ได้โดยง่าย พลางกล่าวด้วยโทสะว่า “เจ้าทำสิ่งใด!”
“ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!” เว่ยเกาฉานออกแรงดิ้นรน เพียงแต่เรี่ยวแรงของเขาไม่เพียงพอจะผลักไสการควบคุมของเว่ยฉางอิ๋งได้ เมื่อโมโหจนร้อนรนก็ยกเท้าขึ้นมาถีบเว่ยฉางอิ๋ง ทางหนึ่งถีบ ทางหนึ่งก็ตะโกนเสียงดังว่า “เป็นเพราะเจ้า! หากท่านพ่อไม่ออกปากพูดแทนเจ้า แล้วชาวหรงพวกนั้นจะมาสังหารท่านพ่อได้อย่างไร?! หากไม่เป็นเช่นนี้ แล้วแม่ข้าจะตายได้อย่างไร! ยามนี้ข้าไม่มีท่านพ่อท่านแม่แล้ว แม่ใหญ่ก็นอนอยู่บนตั่งไม่กินไม่ดื่ม…ทั้งหมดนี่ล้วนเพราะเจ้าเป็นคนทำ! เจ้ายังมีหน้ามาพิธีไว้อาลัยที่บ้านเราอีก! ข้าได้ยินคนพูดกันว่าเจ้าเสียความบริสุทธิ์ไปในป่าตั้งนานแล้วไม่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว! เจ้ามันเป็นหญิงคาวโลกีย์เจ้าไยจึงมีหน้า…”
เสียงตะโกนของเขาหยุดชะงักลงกลางคัน เพราะเว่ยฉางอิ๋งพลันปล่อยมือที่จับแขนเขาเอาไว้ แต่กลับตบหน้าเขาไปอย่างแรง!
หนนี้ เว่ยฉางอิ๋งตบไปหนักเอาการ ตัวทั้งตัวของเว่ยเกาอั้นถูกตบเสียจนเซออกไปสองสามก้าว และไปชนเข้ากับเสาบนทางเดินจึงสามารถยืนได้มั่นคง แก้มฝั่งหนึ่งของเขานูนบวมขึ้นมา มุมปากมีรอยเลือดเล็กๆ ไหลออกมา… เขาถูกตบอย่างปัจจุบันทันด่วนไปฉาดหนึ่งจนมึนไปหมดและงงงันอยู่ครึ่งเค่อเต็มๆ จากนั้นเว่ยเกาอั้นจึงลนลานตามเอาเสียงของตนเองคืนมาได้ “จะ…เจ้า นังคนชั่วไร้ยางอายถึงขนาดกล้าตีข้ารึ? เจ้ายังมีหน้ามาตีข้าเช่นนั้นรึ?”
“ที่ตบไปนั้น ตบเจ้า ลูกคนถ่อย!” นางเฮ่อโกรธเสียจนสั่นไปทั้งตัวมาตั้งนานแล้ว ครานี้ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้า ว่าแล้วง้างมือขึ้น ตบหน้าเขาไปอย่างจังสี่ห้าครั้ง… เดิมทีเมื่อนางเฮ่อมาที่เรือนเสียซงนั้นก็คอยสอนสั่งสาวใช้ทั้งโตและเด็กที่คอยปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋ง สิบกว่าปีมานี้เรื่องตีคนนั้นตีมาจนเคยมือนานแล้ว ฝ่ามือที่ตบหน้าชุดนี้ตบไปอย่างเคยคุ้นลื่นไหลหาใดเปรียบ รุนแรงเฉียบขาดกระทั่งเว่ยโฉงพี่น้องมองจนขวัญผวา เกือบจะร้องออกไปว่า ‘ดี’ คำหนึ่ง แต่เมื่อคำพูดมาที่ริมฝีปากจึงได้สติแล้วรีบยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากเอาไว้!
“ฉินเกอ เยี่ยนเกอ ดีชั่วอย่างไรคุณชายสิบก็อายุได้เก้าปีแล้ว วันนี้บิดามารดาถูกพวกหรงสังหารไปทั้งคู่ ทั้งดินแดนแถบทะเลก็เป็นทุกข์ คุณชายสิบไม่คิดจะเฝ้าโล่งศพของบิดามารดาในโถงพิธี กลับแอบวิ่งหนีออกมาเล่น… คุณหนูใหญ่สอนสั่งเขาเรื่องความกตัญญู แต่เขากลับมาทุบตีเตะต่อย ทั้งยังพูดจาให้ร้ายอย่างร้ายกาจ…หากมิใช่เพราะยามนี้ ฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงร่างกายอ่อนแอ จักต้องขอให้ฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงชำระความให้เป็นแน่!” นางเฮ่ออยากจะตบปากของเว่ยเกาอั้นให้ยับเยินเพื่อคลายความแค้นเสียเหลือเกิน แต่นางก็รู้ดีว่านั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงตบหน้าเว่ยเกาอั้นไปไม่กี่หนพอหอมปากหอมคอให้เขาพูดไม่ได้ไปชั่วขณะ แล้วสั่งความเสียงหนักไปว่า “พวกเจ้านำเขาไปส่งให้ฮูหยินเสียก่อน ให้ฮูหยินสอนสั่งเขาแทนฮูหยินบุตรท่านจิ้งผงกง! ในงานศพของบิดามาราด ในตระกูลไม่เคยมีบ้านใดเสียมารยาท แต่นี่เป็นบุตรชายแท้ๆ กลับไม่กัตญญูเช่นนี้ ถือเป็นการละเมิดธรรมเนียมประเพณีของตระกูลเว่ยเป็นที่สุด!”
เว่ยโฉงพี่น้องสบตากันคราหนึ่ง รู้ซึ้งอยู่ภายในใจว่าที่นางเฮ่อทำเช่นนี้ ไม่เพียงเป็นการปกปิดเรื่องที่ทั้งเว่ยฉางอิ๋งและตัวนางเองตีเว่ยเกาอั้น ยังเป็นการเตรียมการเอาไว้เมื่อเว่ยเกาอั้นหายดีแล้วยังคิดการจะพูดความจริงใดออกมาอีก ปิดปากเว่ยเกาอั้นเอาไว้ให้สนิทด้วยการคาดโทษเขาไปตามจริงว่าไม่กตัญญูในประเด็นที่เขาวิ่งออกมาระหว่างการเฝ้าโลงศพ… เช่นนั้น หากวันหน้าเขาพูดสิ่งใดออกมาก็จะไม่มีคนเชื่อแล้ว… รวมทั้งคำให้ร้ายเว่ยฉางอิ๋งว่าไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็จะถูกคนนึกว่าเป็นการแก้แค้นที่ลูกผู้พี่ผู้นี้สั่งสอนตนว่าไม่กตัญญูเท่านั้น
ทว่าเว่ยโฉงพี่น้องก็มิได้เห็นใจน้องชายร่วมสกุลผู้นี้ เว่ยเกาอั้นคิดไปเองว่าตนเป็นผู้รับเคราะห์ แต่สิ่งที่เขารู้มานั้นมีที่ใดเล่าที่เป็นความจริง! ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเว่ยฮ่วนให้ความสำคัญกับพี่ชายของเว่ยโฉงพี่น้อง การลอบทำร้ายคราวก่อนเว่ยชิงนั้นมีเก้าส่วนตายหนึ่งส่วนรอด โชคยังดีที่ยังมีชีวิตอยู่ พี่สาวน้องสาวสองคนนี้มีเว่ยชิงเป็นพี่ชายคนโตเพียงคนเดียว ส่วนบิดาของพวกนางก็ไม่มีตำแหน่งการงานใด อนาคตของทั้งชั่วชีวิตล้วนต้องอาศัยพี่ชายผู้นี้ หากครานั้นเว่ยชิงตายขึ้นมาจริงๆ แม้เว่ยฮ่วนจะเห็นแก่เว่ยชิงและมาดูแลพวกนาง แต่มีหรือจะดีเท่ามีพี่ชายร่วมท้องอยู่เล่า?
เว่ยเกาอั้นสาปแช่งให้เว่ยฉางอิ๋งตายไปเสียในป่า… เว่ยชิงนั้นอยู่กับเว่ยฉางอิ๋ง หากเว่ยฉางอิ๋งตายแล้ว แม้เว่ยชิงจะปลอดภัยกลับมา แล้วแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งจะละเว้นเขาหรือ? แม้เว่ยฮ่วนจะชื่นชมความสามารถของเขา แต่อย่างไรก็จักต้องเหลือหนามปักอยู่ในอกกระมัง? บทลงเอยที่ดีที่สุดสำหรับเขาก็คงไม่พ้นต้องอนาคตพังทลาย!
ด้วยเรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ส่วนตัวและพี่ชายร่วมท้องที่มีเพียงผู้เดียว ดังนั้นเว่ยโฉงพี่น้องจึงได้มองเหตุการณ์นี้อย่างราบเรียบ นอกจากจะมิได้แสดงสีหน้าว่าทนไม่ได้ที่เว่ยเกาอั้นอายุยังน้อยแล้วต้องถูกตีเช่นนี้ แต่กลับกล่าวไปประโยคหนึ่งเบาๆ และอ่อนโยนว่า “วันนี้น้องเกาอั้นไม่กตัญญูจริงๆ มิน่าเล่าพี่ฉางอิ๋งจึงได้โกรธเสียจนต้องลงมือ น้องชายร่วมสกุลผู้นี้ยังเล็กนักไม่รู้ความ พูดเหตุผลก็ไม่ยอมฟัง ที่ท่านพี่สอนสั่งก็เพราะหวังดีต่อเขา ตอนนี้น้องชายยังไม่รู้ วันหน้าก็จักเข้าใจเอง”
พี่สาวสามคนล้วนบอกว่าเว่ยเกาอั้นแอบหนีจากโถงพิธีศพออกมาเที่ยวเล่น เช่นนั้นเขาก็เพียงออกมาเที่ยวเล่นได้เท่านั้นแล้ว
…เพียงแต่น้ำใจของเว่ยโฉงพี่น้องนี้ เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่นางพลั้งมือตบหน้าเว่ยเกาอั้นไปตามสัญชาตญาณ เว่ยฉางอิ๋งก็สั่นขึ้นมาทั้งตัว! ความรู้สึกโกรธแค้น ถูกรังแกและถูกลบหลู่ที่อยากจะอธิบายได้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าประเดี๋ยวก็เย็นเฉียบไปทั้งตัว ประเดี๋ยวก็มีไฟโทสะแผดเผาเสียจนรุ่มร้อนไปทั่วกายจนยากจะทนไหว ภายในความเย็นเฉียบและรุ่มร้อนเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกแต่เพียงว่าสติสัมปชัญญะของนางเลือนรางไปหมด รู้สึกคล้ายกำลังดำดิ่งลงไปในที่ที่ทั้งไกลทั้งลึกหาที่สุดไมได้ ที่นั่นว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดอยู่เลย ไม่อาจกล่าวออกมาได้ว่าสงบสบายใจ…
บนระเบียบทางเดินแห่งนั้น นางเฮ่อให้ฉินเกอและเยี่ยนเกอลากเว่ยเกาอั้นไปส่งให้แก่ฮูหยิน เมื่อนางหันหน้ากลับมาแล้วพบว่าเว่ยฉางอิ๋งมีท่าทีไม่ปกติ จึงได้เข้ามาทั้งเขย่าตัวทั้งสอบถามนาง ตนเองก็ตกใจเสียจนร่ำไห้เสียงดังออกมา แต่กลับเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งพลันหันหลังกลับ แล้วมุ่งหน้าเดินไปทางเรือนที่มีรถม้าจอดอยู่
นางเฮ่อเพิ่งจะโล่งใจ แต่กลับสังเกตเห็นฝีเท้าของเว่ยฉางอิ๋งนั้นบางเบาเลื่อนลอย ผิดกับคนที่ร่ำเรียนวรยุทธมานานปี กลับดูคล้ายกับคนอ่อนแอที่ป่วนมานานและพร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อเช่นนั้น…
…ตลอดทางกลับมา ได้นางเฮ่อคอยสวดภาวนาให้สวรรค์คุ้มครองและคอยอยู่ข้างๆ ด้วยอาการประหวั่นพรั่นพรึงจนมาถึงรุ่ยอวี่ถัง และเว่ยฉางอิ๋งก็ล้มป่วยติดต่อกันหลายคืน
นางเอาแต่นอนซมอยู่บนตั่ง ดูเหมือนตื่นก็ไม่ตื่นหลับก็ไม่หลับ หากจะบอกว่าโศกเศร้าเสียใจเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่รู้เช่นกัน หากจะบอกว่าโกรธเกรี้ยวจนเกินไปก็กลับไม่มีสักคนที่นางคิดล้างแค้น … เพียงคิดว่าหากนอนหลับไปเช่นนี้แล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลยก็กลับสบายใจดี
ฮูหยินซ่งช่วยงานอยู่ที่จวนจิ้งผิงกง ส่วนรุ่ยอวี่ถังทางนี้นั้นประการแรกด้วยโทสะของแม่เฒ่าซ่งยังมิทันจางหาย ประการที่สองเพราะนางเป็นผู้อาวุโส ไม่จำเป็นต้องไปร่วมพิธีไว้อาลัยที่จิ้งผิงกงด้วยตนเอง เพียงให้เฉินหรูผิงไปดูนางเสี่ยวหลิวพอเป็นพิธีสักครา ทั้งฮูหยินซ่งและนางเผยล้วนไม่อยู่บ้าน แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นแม่เฒ่าซ่งดูแลบ้านไปวันสองวันเป็นการชั่วคราว
ตลอดมาแม่เฒ่าซ่งทะนุถนอมรักใคร่เว่ยฉางอิ๋งประหนึ่งลูกนัยน์ตา กลับกลัวเสียอีกว่าจะยังรักไม่พอ ยามนี้กลับต้องมาได้ยินว่าหลานสาวแสนรักถูกรังแกที่จวนจิ้งผงกง ยิ่งไปกว่านั้นยังล้มหมอนนอนเสื่อด้วยเหตุนี้… นางเฮ่อนึกว่าแม่เฒ่าซ่งจะต้องโมโหโกรธายกใหญ่เป็นแน่ และจะต้องจักการทั้งจวนจิ้งผิงกงให้เห็นดีในทันใด!
ทว่า หลังจากที่ได้ฟังนางเฮ่ออธิบายด้วยเสียงสะอื้นพร้อมการปั้นเสริมเติมแต่งลงไปอีก ดวงตาของฮูหยินซ่งก็ค่อยๆ มีหยดประกายวิววับขึ้นมา… เพียงแต่กลับมิได้มีท่าทีจะไปตามเอาความเด็กในตระกูลที่ปากคอเราะร้ายสองคนนั้น ยิ่งมิได้มีท่าทีจะจัดการเว่ยเกาอั้นด้วย หากแต่ค่อยๆ เอาผ้าเช็ดหน้ามาทาบที่หางตาสองสามหนเพื่อซับหยดน้ำวิบวับให้หายไปอย่างเงียบๆ แล้วกล่าวราบเรียบว่า “เรื่องนี้… ข้ารู้แล้ว คำโบราณว่าปากคนยาวกว่าปากกา สมัยนั้นแม้แต่กษัตริย์ก็ยังทำสิ่งใดไม่ได้ แล้วประสาอะไรกับบ้านเรา? ต่อให้ตีคนพวกนั้นจนตายไปหมด แล้วผู้อื่นจะไม่พูดหรือ? ผู้อื่นไม่กล้าเอ่ยต่อหน้าเจ้า ก็ไปว่ากันลับหลัง และยิ่งพูดกันเลวร้ายทั้งไร้ยากอายกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่า…หรือจักต้องเอาคนพวกนั้นมาฆ่าทิ้งเสียให้หมด?”
นางเฮ่อตะลึงเหม่อ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ เพราะนางเป็นคนให้นมเว่ยฉางอิ๋ง ตลอดมาเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งจึงนับว่าพอมีหน้ามีตาอยู่บ้าง ครานี้จึงได้ถามกลับไปด้วยความไม่ยอมใจว่า “หรือว่าคุณหนูใหญ่ถูกรังแกแล้วก็จบเพียงเท่านี้เจ้าคะ?”
เมื่อกล่าวออกไป เฉินหรูผิงที่ยืนอยู่ข้างหลังแม่เฒ่าซ่งก็พลันส่งสายตามาตำหนิและตักเตือนหนหนึ่ง
จากนั้นนางเฮ่อจึงได้ตระหนักขึ้นมาว่าคำพูดของตนนั้นเกินเลยเกินไป ต่อให้เป็นฮู่หยินซ่งอยู่ที่นี่ ก็มีเพียงในยามที่ไม่มีคนเท่านั้นจึงจักกล้ากล่าวเช่นนี้!
เพียงแต่ดวงตาของแม่เฒ่าซ่งเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบอยู่เกือบเค่อ แต่กลับมิได้ทำสิ่งใด หากแต่เอ่ยไปเบาๆ ว่า “เจ้าไม่เข้าใจ อีกสามวันคนบ้านเสิ่นก็จะมาถึงแล้ว แม้ฉางอิ๋งจะไม่ต้อง…” หากบ้านเสิ่นมีท่าทีไม่ดี ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็จะต้องยกเลิกเรื่องแต่งงานครานี้เสีย เพื่อมิให้เมื่อหลานสาวแต่วออกไป แล้วถูกรังแกและลบหลู่อย่างหนัก… เรื่องนี้แม้ว่าเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งล้วนมีความเห็นตรงกัน แต่ยามนี้คนบ้านเสิ่นยังไม่มาถึง เรื่องแต่งงานครานี้จะแต่งได้สำเร็จหรือไม่ล้วนยังพูดไม่ได้ และแน่นอนว่าไม่อาจแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปด้วย
ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงเหม่อลอยไปสักพัก แล้วเอ่ยคำออกไปทีละคำเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องนี้ว่า “เสียงลือในเฟิ่งโจวยังมิได้รุนแรงเช่นในเมืองหลวง! ในเฟิ่งโจวฉางอิ๋งก็ยังมีผู้ใหญ่คอยปกป้อง หากเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นในยามนี้นางยังรับไม่ไหว แล้ววันหน้าจะไปเมืองหลวงได้อย่างไร?”
เมื่อให้นางเฮ่อไปแล้ว เฉินหรูผิงก็เขามาเปิดแขนเสื้อของแม่เฒ่าซ่งออกอย่างเงียบๆ แต่เมื่อเห็นว่าบนข้อมือที่ผ่ายผอมของฮูหยินผู้เฒ่ามีรอยหยิกที่มีเลือดไหลซิบๆ ชัดเจน นี่เป็นรอยหยิกตัวเอง เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าฟังนางเฮ่อเล่าถึงสิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งต้องไปประสบมาที่จวนจิ้งผิงกง
เฉินหรูผิงหยิบเอายาป้ายมาทาให้ฮูหยินผู้เฒ่า กล่าวเสียงต่ำๆ ว่า “ก่อนคุณหนูใหญ่จะไป ฮูหยินผู้เฒ่าก็มิใช่… รู้อยู่แล้วว่าจักต้องเป็นเช่นนี้หรือเจ้าคำ? เหตุใด…เหตุใดยังทำให้ตนเองบาดเจ็บเล่าเจ้าคะ?”
“รู้ก็ส่วนรู้ ว่าเมื่อเด็กคนนี้ไปไว้อาลัยก็จักต้องได้ยินวาจาฟังไม่ได้ที่เขาวิพากษ์วิจารณ์นาง แต่เมื่อได้มาฟังนางเฮ่อเล่าว่าคนพวกนั้นกล้ามาลบหลู่ให้ร้ายหลานสาวคนเดียวของข้า แล้วข้าจะไม่ปวดใจจนยากทนไหวหรือ?” ดวงตาของแม่เฒ่าซ่งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่กลับอดทนกล่าวว่า “แต่นี่ไม่อาจให้นางเฮ่อมองออก แม้นางเฮ่อจะมีนิสัยใจร้อนไปสักหน่อย แต่ความภักดีนั้นไม่มีปัญหาใด อีกทั้งตลอดมานางก็เอาใจฉางอิ๋งอย่างไม่แยกแยะดำขาว ข้ากลัวว่าเมื่อนางเห็นข้าหวั่นไหว แล้วจะคอยรบเร้าใหข้าออกหน้าลงมือ…เมื่อนางรบเร้าหลายหนเข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะไปจัดการจริงๆ”
“คนพวกนี้ทำกับฉางอิ๋งเช่นนี้ ข้าย่อมไม่ละเว้นพวกมันแน่! แต่ไม่ใช่ตอนนี้ หากการแต่งงานกับบ้านเสิ่นครานี้ยังต้องแต่งอยู่… แล้วไม่ให้นางได้ลองฟังคำเหล่านั้นในเฟิ่งโจวเสียก่อน หรือจะให้ข้าตบแต่งหลานสาวออกเรือนอย่างยิ่งใหญ่ไปก่อน แล้วภายหลังก็มาได้ยินข่าวว่านางเกิดเรื่องขึ้นที่เมืองหลวงเพราะทนรับไม่ได้เล่า?!”
แม่เฒ่าซ่งอูมมือแล้วบังใบหน้าไว้ กล่าวพึมพำว่า “แม้กระทั่งอวี่เวยข้าก็ยังสั่งให้นางไปช่วยงานที่จวนจิ้งผิงกง สองสามวันนี้ไม่ต้องกลับมาแล้ว ก็เพื่อให้เด็กคนนี้ผ่านเรื่องนี้ไปตามลำพัง… ต่อให้ไม่ไปเมืองหลวง วันหน้าข้าก็ไม่อาจจะคอยจับตาดูนางเอาไว้ตลอดชีวิต ให้นางได้ถูกขัดเกลาในตอนนี้ และทนทรมานจากความเจ็บปวดของลูกธนูนับหมื่นที่แทงทะลุหัวใจไปให้ได้ วันหน้าจักไม่มีผู้ใดเอาลูกไม้เช่นนี้มาคุกคามนางได้อีก… เว่ยเจิ้งหย่าก็ตายไปแล้ว ข้าหรือจะยอมให้เขาใช้ความเท็จนี้มาควบคุมฉางอิ๋งไปตลอดชาติ?!”
______________________