ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 73 ฝันไปเสียเถิด
หลังเที่ยง นางเฮ่อค่อยๆ เดินอย่างเนิบนาบออกจากประตูไป ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเอาความชื้นไป และพัดโบกเสียจนกระดิ่งลมบนระเบียงทางเดินสั่นไหวเป็นเสียงติงตังอยู่พักใหญ่
จูสือและจูหลานนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนที่นั่งที่ทอดตัวไปบนระเบียงทางเดิน ข้างกระโปรงของพวกนางมีตะกร้าใบหนึ่งวางอยู่ และมีใบบัวคลุมเอาไว้ มิรู้ว่าในตะกร้าใส่สิ่งใดเอาไว้ และทำให้รอบๆ ตะกร้าเปียกไปหมด
เดิมทีสาวใช้ตัวน้อยทั้งสองนางปีนขึ้นไปบนราวระเบียงและโน้มตัวไปภายนอกของระเบียงทางเดินเพื่อเล่นน้ำฝน เมื่อเห็นนางเฮ่อออกมา จึงได้รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ คนหนึ่งเข้าไปรับกล่องอาหารที่นางเฮ่อถืออยู่ อีกคนหนึ่งถามเสียงเบาว่า “ท่านป้า คุณหนูใหญ่ยอมรับประทานอาหารแล้วหรือยังเจ้าคะ?”
“ให้ห้องครัวเล็กเปลี่ยนอาหารไปหลายอย่างแล้ว” นางเฮ่อขมวดคิ้วแน่น แล้วกล่าวพลางทอดถอนใจ
“ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ของที่ส่งเข้าไปล้วนแต่เป็นของที่คุณหนูชอบทานที่สุด” จูสือรู้สึกได้ว่ากล่องอาหารที่ถืออยู่นั้นมีน้ำหนักพอๆ กับเมื่อตอนยกเข้าไป จึงได้พูดอย่างกลัดกลุ้มว่า “ยามนี้จะเปลี่ยนเป็นสิ่งใดดีเจ้าคะ?”
นางเฮ่ออารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก หากผู้ที่พูดเป็นจูเซวียนและจูเสียน นางจักต้องตำหนิไปยกใหญ่แน่ เพียงแต่บิดาของจูหลานเป็นพ่อบ้านคนหนึ่งในอาณัติของฮูหยินซ่ง โดยปกติแล้วก็เคารพนางเฮ่อเป็นอย่างมาก จึงต้องไว้หน้านางบ้าง พลางกล่าวอย่างราบเรียบว่า “พวกเจ้าดูแลเพียงนำความไปบอกห้องครัวเล็กเป็นพอ ส่วนจะเปลี่ยนเป็นสิ่งใดนั้นเป็นเรื่องของห้องครัว หาใช่เจ้าทำไม่! หรือเจ้าคิดอยากจะไปทำงานที่ห้องครัว จึงได้กลัดกลุ้มแทนพวกเขาขึ้นมา?”
จูหลานหน้าตาเลิ่กลั่ก จูสือและนางเล่นเข้าขากันดี เมื่อเห็นว่าป้าพูดเสียจนนางหงายหลังจึงรีบพูดว่า “เมื่อครู่นี้พวกเราไปเก็บกระจับป่าในสวนมา ของนี่บางเบา ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่จะรับประทานไหมเจ้าคะ?”
นางเฮ่อมองไปยังตระกร้าที่อยู่ข้างหลังพวกนางหนหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วพูดว่า “ของในตะกร้านั่นรึ? ถือเข้ามาอย่างไร เหตุให้ทำเอาระเบียงทางเดินสกปรกถึงเพียงนี้”
“เดิมที่เอาวางไว้ที่ศาลาเจ้าค่ะ แต่เมื่อครู่นี้มีฝนตก” จูสือพูดเสียงเบาว่า “จึงได้ถือขึ้นมาแล้ว….ท่านป้าจะให้พวกเราแกะสักถ้วยส่งขึ้นไปหรือไม่เจ้าคะ?”
“ลองดูเถิด” นางเฮ่อถอนหายใจ แล้วกล่าวอย่างไม่กระปี้กระเปร่าว่า เว่ยฉางอิ๋งร่างกายแข็งแรงมาแต่เล็ก แต่ไรมาไม่เจ็บไม่ป่วย ทั้งนางยังฝึกวรยุทธมานานปี เมื่อใช้พลังงานไปมาก ก็ย่อมเจริญอาหารตามไปด้วย แต่ไรมามีแต่ถูกเตือนว่าอย่าเห็นแก่กิน มียามใดที่ไม่เจริญอาหารเล่า? ยามนี้บอกว่าป่วยแล้ว ความจริงคือเป็นไข้ใจ เพียงแค่คิดไม่ตก ต่อให้เป็นของวิเศษรสเลิศปานใดก็กินไม่ลง มิเช่นนั้นแล้วเว่ยฉางอิ๋งอยากจะรับประทานสิ่งใด บ้านตระกูลเว่ยจะไม่มีหรือ?
สองวันมานี้ เรียกได้ว่านางเฮ่อได้พูดคำพูดที่จะพูดได้ไปจนหมดแล้ว ทว่าไม่ว่าจะสอนสั่งนางอย่างไร เว่ยฉางอิ๋งก็เอาแต่หันหน้าเข้าภายในตั่งนอนเท่านั้น นิ่งเงียบไม่พูดจา บางครานางเฮ่อค่อยๆ ลอบยื่นหัวเข้าไปดูสักหน ก็เห็นว่าระหว่างขนตาของนางมีน้ำตาอาบอยู่….นางเฮ่อทนไม่ไหวจึงร้องไห้ออกมาด้วย
เมื่อวานทั้งวัน เว่ยฉางอิ๋งไม่ยอมดื่มน้ำแม้สักหยก ยามค่ำคืน นางเฮ่อสั่งให้ฉินเกอและเยี่ยนเกอเฝ้าดูนางให้ดี ส่วนตนเองก็ออกไปหาแม่เฒ่าซ่ง เมื่อแม่เฒ่าซ่งรู้ว่าหลานสาวไม่ยอมทานอาหารมาทั้งวัน กล้ามเนื้อที่ใบหน้าก็กระตุกอยู่เป็นนาน แต่ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของนางเฮ่อ นางกลับเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบว่า “นางก็มิใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ที่ทุกเรื่องก็ต้องให้เจ้าจับมือสอนให้ทำ ความทุกข์หนแรกในชีวิตหนุ่มสาว ก็จักต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนสักหน เจ้าอย่าได้คอยไปกล่าวเตือนนาง… ให้นางอยู่เงียบๆ สักพัก และคิดเอาเอง!”
นางเฮ่อปาดน้ำตาต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า “ข้าน้อยเข้าใจถึงความหวังดียิ่งของฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ เพียงแต่หากคุณหนูใหญ่ยอมรับประทานอาหาร หากจะนอนอยู่เฉยๆ สักวันสองวันก็มิเป็นไร ทว่ายามนี้คุณหนูใหญ่ไม่กินไม่ดื่ม… แล้วร่างกายจะรับไหวได้อย่างไรเจ้าคะ?”
แม่เฒ่าซ่งบันดาลโทสะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “คนธรรมดาไม่กินไม่ดื่มวันสองวันก็มิเป็นไร ประสาอะไรกับฉางอิ๋งที่ฝึกวรยุทธมาแต่เล็กและมีร่างกายแข็งแกร่ง?! ข้าบอกไปแล้วอย่างไร ว่าอุปสรรคนี้จักต้องให้นางข้ามผ่านไปด้วยตัวนางเอง! ที่เจ้ามาวันก่อน ฟังไม่ชัดเจนหรืออย่างไร? วันนี้จึงได้มาพูดจาร่ำไรอีก นี่เจ้ากลัวว่าจะไม่ทำร้ายนางอย่างนั้นรึ?!”
“ข้าน้อยแทบจะยอมเอาชีวิตเข้าแลกกับความสุขชั่วชีวิตของคุณหนูใหญ่ แล้วจะไปทำร้ายคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรเจ้าคะ?” นางเฮ่อรีบร้อนคุกเข่าลงแก้ต่าง ทว่าแม่เฒ่าซ่งกลับไม่ต้องการฟังแม้แต่น้อย แล้วเรียกให้บ่าวที่อยู่ซ้ายขวาไล่นางออกไป “ข้าจะสอนสั่งหลานสาวข้าอย่างไร ต้องให้เจ้ามามากความรึ? บอกแล้วอย่างไรว่าครานี้ให้นางพยายามทนผ่านไปด้วยตนเอง เจ้ายิ่งมากเรื่อง จักไม่ให้เจ้าอยู่ในเรือนเสียซวงไปเสียเลย! วันๆ ช่วยงานใดไม่ได้ เอาแต่ทำให้หลานสาวของข้าที่ดีๆ อยู่แท้ๆ ต้องมาเสียคน!”
ด้วยความหวาดกลัวว่าว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะพูดจริงทำจริง และไล่ตนไปจากข้างกายเว่ยฉางอิ๋งจริงๆ ดังนั้นแล้วแม้วันนี้เว่ยฉางอิ๋งยังคงไม่รับประทานอาหารต่อไป แต่นอกจากนางเฮ่อจะอาศัยช่วงเวลายามนางหลับคอยเอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำแตะริมฝีปากที่แห้งแตกให้นางแล้ว แม้แต่ส่งคนไปรายงานอาการของเว่ยฉางอิ๋งต่อแม่เฒ่าซ่งก็ยังไม่กล้า นอกจากนี้นางก็ไม่มีวิธีอื่นใดอีก
ยามนี้ตกลงให้จูสือและจูหลานแกะกระจับป่ามาให้ถ้วยหนึ่งนั้น ก็ด้วยคิดว่าจะพอมีหวังใดบ้างสักน้อยนิด
นางไปคอยกำกับดูแลที่ห้องครัวด้วยตนเอง ให้แม่ครัวพยายามทำอาหารให้มีกลิ่มหอมเตะจมูกและทำให้อยากอาหารมากที่สุด แล้วเอาถือกลับไปที่เรือนเสียซวงใหม่อีกหน ยังมิทันได้เข้าไป ก็เห็นซวงหลี่พาสาวใช้ตัวน้อยสองคนที่คอยปรนนิบัติอยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าซ่งเดินมา ซึ่งแต่ละคนต่างถือของอยู่ในมือ และเดินจากทางเดินเล็กๆ ไม่ไกลนักผ่านมาก
เมื่อเห็นนางเฮ่อ ซวงหลี่รีบเดินให้เร็วขึ้นสองสามก้าว แล้วทักทายว่า “ท่านป้าเฮ่อ!”
“ซวงหลี่?” นางเฮ่อหยุดเดิน แล้วมองของที่พวกนางถืออยู่ในมือ กลับเป็นของประเภทผ้าแพรสีเรียบ เครื่องประดับและอาหาร นางจึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “นี่คือ?”
“ยามนี้คุณหนูใหญ่ตื่นอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ?” ซวงหลี่ถามกลับก่อนประโยคหนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “จวนจิ้งผิงกงทางโน้นได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ป่วย เมื่อครู่นี้จึงได้ส่งของมาเจ้าค่ะ”
เพราะเว่ยฉางอิ๋งไปร่วมงานไว้อาลัยที่จวนจิ้งผิงกงแล้วได้ยินคำครหาเมื่อกลับมาจึงได้ล้มป่วย ยามนี้ล้วนรังเกียจคนในจวนจิ้งผิงกงเป็นอย่างยิ่ง นางเฮ่อจึงได้ยอมหน้าหนา ลากซวงหลี่ออกมาข้างๆ แล้วกระซิบบอกว่า “คุณหนูใหญ่ไม่รับประทานสิ่งใดมาจะสองวันสองคืนแล้ว พูดก็ยังไม่ยอมพูด ด้วยไปได้ยินคำครหาว่าร้ายของพวกปากเปราะในจวนจิ้งผิงกง… ยามนี้หากได้ยินว่าทางนั้นส่งของมา จักไม่เป็นการทำให้คุณหนูใหญ่ยิ่งเป็นทุกข์รึ!”
ซวงหลี่มองดูผ้าแพรที่นางถืออยู่ในมือหนแล้วหนเล่า พลางยิ้มเจื่อนแล้วว่า “ท่านป้าไม่รู้ นี่เป็นฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้รีบนำมาให้คุณหนูใหญ่ดูนะเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินว่าเป็นความต้องการของฮูหยินผู้เฒ่า นางเฮ่อจุกขึ้นมา แล้วคิดว่า ‘บางทีฮูหยินผู้เฒ่าปากบอกว่าจะให้คุณหนูใหญ่ผจญกับปัญหาโดยลำพัง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเอาแต่คิดถึงคุณหนูใหญ่ จึงได้หาข้ออ้างให้ซวงหลี่มาเยี่ยมคุณหนูใหญ่อย่างไรเล่า!’
คิดถึงตรงนี้ นางเฮ่อจึงลอบโล่งใจ กล่าวว่า “ข้าเพิ่งจะกลับมาจากห้องครัว ยังไม่ทันรู้ว่ายามนี้คุณหนูใหญ่หลับหรือตื่น พวกเจ้ารออยู่ข้างนอกสักพักก่อน ข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อย”
“รบกวนท่านป้าแล้ว” แม้ซวงหลี่จะเป็นหัวหน้าสาวใช้ที่อยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า แต่นางก็ยังคงเกรงอกเกรงใจแม่นมที่รักใคร่คุณหนูใหญ่มากที่สุดผู้นี้ ได้ยินคำจึงเอามือปิดปากยิ้ม แล้วพยักหน้าน้อยๆ
นางเฮ่อเอากล่องอาหารส่งให้จูสือผู้หลานสาวซึ่งยืนเฝ้าอยู่นอกประตู สะบัดมือแล้วเข้าไปข้างในและปิดประตูทันที ข้างในเป็นเวรของหานเกอและเจวี๋ยเกอคอยเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นว่านางเฮ่อเข้ามาจึงพยักหน้าน้อยๆ
“คุณหนูใหญ่หลับหรือไม่?” นางเฮ่งกดเสียงให้ต่ำ ถามพลางเดินที่ข้างตั่งดู กลับเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งแม้จะยังนอนตะแคงหันหน้าเข้าผนังและหลับตา แต่ขนตากลับสั่นไหวอยู่น้อยๆ เห็นชัดว่าไม่ได้นอนหลับ นางถอนหายใจคราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เป็นเช่นนี้ ข้างนอกซวงหลี่มา บอกว่า…จวนจิ้งผิงกงทางนั้นรู้ข่าวว่าสองวันนี้คุณหนูไม่สบาย ไม่อาจไปงานไว้อาลัยได้ จึงส่งของเหล่านี้มาเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง นางเฮ่อจึงได้ถามไปอีกครั้ง เมื่อเห็นนางไม่พูดจา จึงได้แต่พูดว่า “เช่นนั้นข้าน้อยจะให้พวกนางเอาของเก็บไว้ที่นี่นะเจ้าคะ?”
แล้วรออีกสักพัก เว่ยฉางอิ๋งก็ยังคงไม่ตอบ นางเฮ่อจนปัญญา จึงลุกขึ้นยืนพลางว่า “ข้าน้อยจักออกไปบอกพวกนาง”
เมื่อออกไปข้างนอก ซวงหลี่ได้ยินคำแล้ว ดวงตาพลันมีแววแห่งความผิดหวัง กล่าวว่า “เช่นนั้นก็มอบของเอาไว้แก่ท่านป้าแล้ว”
นางเฮ่อกำลังจะพยักหน้า ซวงหลี่พลั่นเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านป้าไยจึงไม่เอาของเข้าไปให้คุณหนูใหญ่ดูเล่า? แม้จะบอกว่าเมื่อเอ่ยถึงทางนั้นแล้วคุณหนูใหญ่จะไม่ยอมฟัง แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะยอมเอ่ยปากพูดด้วยเหตุนี้ก็เป็นได้?”
“เรื่องนี้…” นางเฮ่อนิ่งเงียบไป แล้วว่า “แต่คุณหนูใหญ่ได้ฟังแล้วจะไม่ยิ่งเสียใจยิ่งกว่าเดิมหรือ?”
“ยามที่ข้ามา ท่านป้าเฉินสั่งความกับข้ามาเป็นการส่วนตัว บอกว่าหากคุณหนูใหญ่ยังไม่พูดจาอยู่เช่นนี้ เพราะยังปิดใจอยู่จึงได้ล้มป่วยเอาง่ายๆ มิสู้เอาเรื่องทุกข์ใจพูดระบายออกมา กลับดีเสียกว่าเจ้าค่ะ” ซวงหลี่ขยับเข้าไปกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูนางเฮ่อ
นางเฮ่อรักใคร่เว่ยฉางอิ๋งมาแต่ไร เมื่อได้ยินคำก็ลังเลอยู่เกือบเค่อ จึงได้กล่าวว่า “เช่นนั้น…ก็อย่าถือไปมากเกินไป เอาเพียงผ้าแพรในเมือเจ้านี่ เข้าจะเอาไปพูดกับคุณหนูใหญ่ ลองดูสักหน!”
เพราะจวนจิ้งผิงกงกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ผ้าแพรที่ส่งมาจึงล้วนเป็นสีเรียบๆ นางเฮ่อหอบเข้าไปในห้องแล้ววางไว้ข้างๆ เว่ยฉางอิ๋ง คิดสักพัก จึงได้กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “คุณหนูใหญ่หันหลังกลับมาดูผ้าพวกนี้สักหน่อยเถิดเจ้าคะ เป็นของที่จวนจิ้งผิงกงเพิ่งจักส่งมา บอกว่าเพราะคุณหนูไม่สบายจึงได้ส่งมา กว่าครึ่งหนึ่งยังเป็นการชดเชยเรื่องที่คุณชายสิบเสียมารยาทก่อนนี้ด้วย…”
เมื่อได้ยินคำว่าคุณชายสิบ ตัวของเว่ยฉางอิ๋งสั่นขึ้นมาน้อยๆ นางเฮ่อรีบหยุดคำ แล้วจ้องนิ่งไปที่นาง เพียงแต่ว่ารออยู่ครึ่งวัน เว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่พูดจา นางเฮ่อถอนหายใจ แล้วกล่าวต่อไปว่า “ได้ยินมาว่ายามนี้จวนจิ้งผิงกงมีเรื่องใหญ่ หรือจะมีเวลาไปคอยดูแลเรื่องเล็กๆ พวกนี้กัน? ว่ากันตามตรง เป็นพวกเขาเพิกเฉยต่อผู้อื่น แต่กลับไม่กล้าเพิกเฉยต่อคุณหนูใหญ่!”
“ยามนี้พวกเขาไม่สะดวกจะส่งผ้าสีสันสดใส่มา ที่ส่งมาสองสามพับนี่ก็มีสีเรียบเหลือทน เพียงแต่เนื้อผ้านั้นล้วนดีทั้งหมด วันหน้าพอจักเอาไปทำเสื้อสวมทับข้างในให้คุณหนูใหญ่ได้ คุณหนูใหญ่โปรดดูลายเมฆปักนี่ ทั้งบางเบาทั้งอ่อนนุ่ม แต่ไรมามีเพียงฮ่องเต้พระราชทานให้ในวังหลวงเท่านั้นจึงจะมีครอบครองได้เชียว… เห็นได้ว่าครานี้จวนจิ้งผิงกงหวาดกลัวเพียงใด แม้แต่ของหายากเช่นนี้ยังเอาออกมาได้”
นางเฮ่อสัมผัสลูบไล้ผ้าทอชั้นที่อยู่ข้างบนสุดอยู่เกือบเค่อ เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งยังคงไม่สนใจ จึงได้หยิบอีกพับที่อยู่ล่างลงมาออกมา “ผ้าสู่จิ่นสีเขียวใบหญ้าลายนกกระสากับเมฆชิ้นนี้ก็เอามาตัดกระโปรงตัวนอกได้…ยังมีนี่….”
นางกล่าวชมความล้ำเลิศของผ้าทอเหล่านี้ก็เพื่อหวังให้เว่ยฉางอิ๋งเปิดปากพูด หรือหันหน้ากลับมามองสักหนก็ยังดี ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเว่ยฉางอิ๋งก็มิได้มีท่าทีสนใจแม้แต่น้อย นางเฮ่อยิ่งพูดยิ่งทนไม่ไหว จึงถอนหายใจคราหนึ่ง แล้วยัดผ้าทอพวกนั้นเก็บอย่างยุ่งเหยิง รู้สึกว่าความคิดที่เฉินหรูผิงให้ซวงหลี่บอกเล่ามานั้นก็พึ่งพาไม่ได้เท่าใดนัก ไม่สู้เอาของเก็บไปเสียก่อนดีกว่า
ทว่าเมื่อนางเก็บผ้า สายตาของนางเฮ่อชะงักไปทันใด แล้วร้องเสียงหลงว่า “นะ…นี่มันสิ่งใด?!”
เดิมทีเจวี๋ยเกอและหานเกอยืนประสานมือคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินว่าน้ำเสียงของนางเฮ่อผิดปกติจึงมองมา แต่กลับเห็นว่าในกองผ้าสีเรียบๆ นั้น มีผ้าทอสีขาวผืนหนึ่งที่ถูกนางเฮ่อรื้อออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ… ผ้าสีขาวนี้แม้จะดูธรรมดา ทั้งยังสามารถนำไปตัดเป็นเสื้อผ้าประเภทเสื้อทับตัวใน แต่ตอนที่นางเฮ่อจัดเก็บนั้นดึงออกมามากเกินไป จึงดึงพับนี้ออกมา…และได้เห็นว่าผ้าขาวผืนนี้ ความยาวไม่ต้องเอ่ยถึง แต่กลับมีความกว้างเพียงหนึ่งฉื่อกว่าๆ เท่านั้น!
หากเป็นชาวบ้านธรรมดา ผ้ากว้างเพียงหนึ่งฉื่อนั้นแน่นนอนว่าไม่อาจทิ้งให้เสียเปล่าได้ ทว่าสำหรับตระกูลใหญ่นั้น แม้แต่บ่าวที่มีหน้ามีตาสักหน่อย หากจะตัดเสื้อยังต้องใช้ผ้าทั้งพับ แล้วประสาอะไรกับคุณหนูตระกูลใหญ่? บุตรชายท่านจิ้งผิงกงเพิ่งจะเสียชีวิต ต่อให้จวนจิ้งผิงกงระส่ำระสายเพียงใดก็ไม่มีทางอับจน จนถึงขั้นแม้แต่จะส่งของขวัญทั้งทีก็ไม่สามารถเอาผ้าทั้งพับมามอบให้!
เจวี๋ยเกอและหานเกอคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย สีหน้าต่างก็เปลี่ยนไปทันที แล้วยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปาก กล่าวว่า “หรือจะเป็น…?”
นางเฮ่อเย็นวาบไปทั้งหัวใจ ไม่กล้ามองให้ละเอียดอีกครา แล้วรีบเอาผ้าขาวผืนนั้นยัดกลับเข้าไปในกองผ้า ปากก็บอกว่า “ไม่มีสิ่งใด ข้าดูผิดไป” สายตาดุดันของนางกวาดมายังสาวใช้ทั้งสอง เจวี๋ยเกอและหานเกอพากันพยักหน้าให้นางโดยพลันและไม่ส่งเสียงใด
ไม่คิดว่าในขณะที่นางเฮ่อกำลังจะหอบเอาผ้าเหล่านี้ออกไปอย่างรวดเร็ว เว่ยฉางอิ๋งกลับพลิกตัวกลับมาอย่างลำบาก แล้วทับกองผ้าเหล่านั้นเอาไว้ ถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เป็นสิ่งใด?”
นางเฮ่อไม่กล้ามองนาง กล่าวเสียงต่ำไปว่า “คอคุณหนูใหญ่แหบเหลือเกิน ดื่มน้ำสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ?”
“เมื่อครู่นี้เป็นสิ่งใด? เอามาให้ข้าดูสักหน่อย” เว่ยฉางอิ๋งยืนกราน โดยไม่สนใจเรื่องที่นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
…จวนจิ้งผิงกงส่งผ้าแถบแคบๆ สีขาวนี้มา ประจวบเหมาะกับที่วันก่อนเว่ยเกาอั้นด่าทอลบหลู่ลูกผู้พี่ ทำเช่นนี้มีเจตนาใด ยังจะต้องให้พูดอีกหรือ? นี่มันเป็นการบอกให้เว่ยฉางอิ๋งรีบๆ แขวนคอตายไปเสียในเร็ววันชัดๆ!
ในยามนี้ เว่ยฉางอิ๋งมีสภาพเช่นนี้ ต่อให้ตายนางเฮ่อก็ไม่กล้าให้นางดู จึงรีบเอื้อมมือออกไปโยนทิ้ง แล้วรีบพูดกลบเกลื่อนว่า “ผ้าพับหนึ่งมีด้ายรันหลุดออกมา ไม่มีสิ่งใดน่าดูหรอกเจ้าคะ”
ทว่าในเมื่อเว่ยฉางอิ๋งเกิดความสงสัย ก็จะไม่มีทางลบเลือนไปได้โดยง่ายเช่นนี้ ตัวนางทับผ้าอยู่ นางเฮ่อจึงไม่อาจดึงออกมาได้ เว่ยฉางอิ๋งกลับเอื้อมมือไปใต้ตัว ค่อยๆ หยิบผ้าทีละผืนออกมาตรวจดู ผ้าทั้งหมดก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านี้ ผ้าสีขาวผืนนั้นก็เพิ่งจะถูกนางเฮ่อดึงออกมา เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะพลิกขึ้นมาดูไม่กี่หนก็พบว่ามันแคบเสียใจผิดปกติ จึงดึงออกมาดูทันที…
นางเฮ่อห่อปาก อยากจะเอ่ยบางสิ่งแต่ก็พูดไม่ออก.. กลับเห็นเว่ยฉางอิ๋งมองเหม่อไปยังผ้าผืนนั้น พักใหญ่ๆ จึงได้พูดว่า “จวนจิ้งผิงกง…ต่างก็คิดว่า…ข้าควรจะตายเช่นนั้นหรือ?” นางไม่ได้แตะต้องข้าวปลาอาหารและน้ำมาเกือบสองวัน ยามนี้คอแห้งเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่มีเสียงจะพูดออกมา มีแต่เสียงแหบแห้ง ครานี้จึงได้พูดจาติดๆ ขัดๆ น้ำตาเม็ดโตๆ ไหลรินลงมา นางเฮ่อมองจนหัวใจแตกสลายไปหมด
“พวกเขาวางแผนชิงตำแหน่งประมุขมานานแล้ว ก็ย่อมต้องไม่ประสงค์ดีต่อคุณหนูใหญ่อยู่แล้ว” นางเฮ่อสะอื้นพลางเข้าไปกอดนางเอาไว้ พูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า “คุณหนูใหญ่อย่าได้ทำให้พวกมันสมหวังเชียวหนา!”
เว่ยฉางอิ๋งไม่เอ่ยแม้สักคำ นางรวบรวมกำลัง ทีละเล็กทีละน้อย ดึงผ้าขาวผืนนั้นออกมาจนหมด…ผ้าขาวกว้างหนึ่งฉื่อกว่าๆ ยาวราวสามฉื่อ ใช้มาผูกไว้บนคานได้พอดี
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งมองผ้าขาวที่บอกเป็นนัยว่าเมื่อตนเองตายแล้วก็จะกอบกู้ชื่อเสียงให้ตระกูลได้ผืนนั้นอยู่เนิ่นนาน แล้วปิดตาลงทรุดกายลงไปซบในอกของนางเฮ่ออย่างโรยแรง เมื่อโอบเด็กน้อยที่ดื่มนมตนมาจนเติบใหญ่ สัมผัสได้ว่าสองวันมานี้นางผ่ายผอมลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วมองไปยังผ้าขาวสมควรตายที่อยู่ตรงหน้าผืนนั้น ใจของนางเฮ่อดังถูกมีดกรีด พยายามคิดหาคำพูดมาช่วยปลุกปลอบให้คลายทุกข์อย่างสุดกำลัง แต่กลับเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งมิได้ฟังอยู่เลย เกือบเค่อจากนั้นนางโอนๆ เอนๆ ลุกขึ้นมานั่ง กล่าวเสียงต่ำว่า “เจวี๋ยเกอออกไปเอากรรไกรตัดด้ายข้างนอกมา!”
“คุณหนูใหญ่!” นางเฮ่อกรีดร้องขึ้นมา ทว่าเมื่อเจวี๋ยเกอถูกเว่ยฉางอิ๋งมองมาก็กลับไม่กล้าไม่รีบออกไป นางเอากรรไกรกลับมา แล้วหานเกอก็กลับเดินเข้ามา… ทั้งสามคนมองดูเว่ยฉางอิ๋งด้วยความตื่นเต้น เกรงว่าด้วยผ้าขาวผืนนี้จะกระตุ้นให้นางคิดไม่ตกขึ้นมาจริงๆ ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้กรรไกรมาแล้ว นางก็หรี่ตา แล้วคว้าผ้าขาวผืนนั้นมา… และไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาแต่ใด พลันขยับกรรไกรอย่างรวดเร็ว เกิดเสียงดังแควกๆ สองสามหน ตัดผ้าขาวผืนนั้นออกจนไม่เป็นชิ้นดี!
นางเฮ่อตื่นตกใจ จากนั้นจึงมองดูด้วยความยินดียิ่ง “คุณหนูใหญ่ตัดได้ดีเจ้าค่ะ!”
“พวกมันอยากให้ข้าตายรึ?!” ผมที่ปล่อยยาวลงมาของเว่ยฉางอิ๋งสะบัดไปมา ใบหน้าขาวซีดดังกระดาษ เพราะไม่ได้กินไม่ได้ดื่มมาสองวัน จิตใจกลัดกลุ้มจึงได้อ่อนแอโรยแรงลงไปอย่างรวดเร็ว ยามนี้ดูไปแล้วผายผอมลงไปเป็นอย่างมาก แต่ในดวงตากลับมีความเดือดดาลที่สว่างจ้าทว่ากลับเย็นยะเยือกฉายออกมา แล้วกล่าวออกมาทีละคำว่า “ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด…ลำพังแค่คำครหากับผ้าขาวผืนนี้ก็คิดจะให้ข้าตายหรือ?! ฝัน ไป เสีย เถิด!”
นางเหวี่ยงกรรไกรลงไปข้างล่างตั่งอย่างแรง กำมือเข้าจนเล็บปักเข้าไปในฝ่ามือ เลือดสีแดงสดไหลลงมาจากขอบฝ่ามือ และหยดลงมาบนเสื้อทับตัวในสีชาขาว นางเฮ่อเร่งให้เจวี๋ยเกอและหานเกอเอายาทามา เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่รู้สึกถึงสิ่งใด เอาแต่จ้องเขม็งไปยังผ้าขาวที่ตกอยู่บนพื้นผืนนั้น แล้วกล่าวอย่างโกรธแค้นว่า “ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะจัดการให้พวกที่อยากให้ข้าตาย ตายไปให้หมด!!!”
____________________