ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 74 คนผู้นั้น
…หลังจากที่เว่ยฉางอิ๋งปลงตกแล้วเพียงหนึ่งวัน คนบ้านเสิ่นก็มาถึง
ไม่กินไม่ดื่มมาสองวันสองคืน หัวใจก็เป็นเช่นขี้เถามอด หลังจากที่ตระหนักรู้แล้วก็มีเวลาพักผ่านเพียงหนึ่งวัน แม้จะบอกว่าอายุยังน้อยอยู่ ทั้งตระกูลเว่ยก็ร่ำรวยมั่งคั่ง ของบำรุงต่างๆ ที่ควรมีก็มีทั้งหมด ทว่าเวลาสั้นเกินไป เช้าวันนี้ เมื่อตื่นนอนมาแล้วอาบน้ำเรียบร้อย เว่ยฉางอิ๋งก็มานั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เห็นว่าบนสองแก้มที่มีไอน้ำเกาะอยู่นั้นมีสีแดงระเรื่อขึ้นมาเพราะอาบน้ำร้อน แต่ก็ต่างกับความงามเมื่อก่อนนี้อยู่ชั้นหนึ่ง
ดังดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ นานเพียงใดก็ยังงดงามอยู่ แต่กลับขาดความงดงามตามธรรมชาติไปบ้างสักหน่อย มีความอิดโรยออกมาให้เห็น ให้ความรู้สึกดังผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง
นางเฮ่อถอนหายใจอยู่ในใจ กล่าวว่า “หรือจะลงเครื่องสำอางสักหน่อยเจ้าคะ?”
“ท่านย่าบอกหรือว่าวันนี้ให้ข้าออกไปด้วย? เว่ยฉางอิ๋งจ้องเงาตนเองในกระจกอยู่เป็นนาน แล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ
มีคนตระกูลเสิ่นมา… คราวนี้ต่างกับคราวก่อน ไม่ว่าจะถอนหมั้นหรือยังยึดตามสัญญาแต่งงานเดิม อย่างไรก็ไม่มีทางพูดคุยจบภายในวันหรือสองวัน อีกประการเว่ยเจิ้งหย่าเพิ่งจะเสียชีวิต แม้คนบ้านเสิ่นจะมาถึงเฟิ่งโจวแล้ว อย่างไรก็จักต้องไปไว้อาลัย เมื่อนับๆ ดูแล้ว คนที่มาครานี้อย่างน้อยก็ต้องอยู่วันสองวัน
ยามนี้ตนเองอิดโรยถึงเพียงนี้ อดจะทำให้พวกเขาคาดเดากันไปส่งเดชไม่ได้ แม่เฒ่าซ่งคงไม่ให้ตนเองไปคารวะในวันนี้ รอสักสองวันนางคงจักสามารถพักฟื้นจนสีหน้ากลับมาได้พอสมควรแล้ว พอถึงเวลานั้นค่อยไปพบจักพอมีหน้ามีต่างบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นสองวันมานี้มีฝนตกอยู่ตลอด จนถึงยามนี้ก็ยังไม่หยุด คนที่เดินทางมาต้องลุยดินโคลน ทั้งรถทั้งม้าต่างเดินทางอย่างลำบาก วันแรกนี้เกรงว่าจะมีแต่ทักทายปราศรัยกันตามมารยาทสักพักก็จักต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว
จากนั้นก็จักเป็นงานเลี้ยงตอนรับ ซึ่งการมาเจรจาเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ตระกูลเสิ่นไม่มีทางส่งสตรีในตระกูลมาเป็นแน่ ต่อให้ชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋งถูกร่ำลือออกไปอย่างไม่ดีงามยิ่งกว่านี้ นางก็ไม่อาจวิ่งโร่ไปร่วมงานเลี้ยงเช่นพวกนางบำเรอในบ้าน ดังนั้นวันนี้จึงไม่ค่อยจักเป็นไปได้ว่าต้องให้เว่ยฉางอิ๋งออกหน้าไปพบ
“วานนี้ซวงหลี่มาบอกให้วันนี้คุณหนูใหญ่เตรียมตัวเอาไว้ก่อนเจ้าค่ะ” นางเฮ่อกล่าวเสียงเบา “คาดว่าบ้านเสิ่นอาจจะเอ่ยถึงคุณหนูกระมังเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วว่า “เช่นนั้นก็ลงเครื่องสำอางสักหน่อยเถิด”
งานศพของเว่ยเจิ้งหย่ายังคงดำเนินอยู่ แม้จะเป็นคนละจวนกัน แต่อย่างไรก็เป็นผู้ใหญ่ในตระกูล เว่ยฉางอิ๋งไม่ควรแต่งกายสีฉูดฉาด ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ไม่มีงานศพ สีหน้านางยามนี้ซีดขาว หากลงเครื่องสำอางมากเกินไป สวมเสื้อผ้าสีสดเกินไป ยิ่งจักทำให้รู้ว่าต้องการกลบเกลื่อนความอิดโรยของตน
นางเฮ่อและพวกของฉินเกอหารือกัน ช่วยกันเลือกเสื้อส้างหรูตัวสั้นแขนกว้างสีงาช้างเข้มแขนปักลายกิ่งก้านดอกเหมย กระโปรงหลิวซานเนื้อบางเบาสีกะปิอ่อน คาดด้วยผ้าคาดเอวปักลายค้างคาวต่อปีกห้าตัว เสื้อและกระโปรงเรียบง่ายจับคู่กับผ้าคล้องแขนแบบถักมีลายดอกไม้สีทองและขาว บนมวยผมสองมวยทรงปีกหงส์[1]ปักปิ่นคู่เข้าหากันด้วยปิ่นหยกสีมันแพะรูปนกหลวน[2]คาบลูกแก้วมีพู่ห้อยระย้าลงมา ตรงกลางศีรษะประดับด้วยที่ปักผมรูปดอกซานฉา[3]ประดับไข่มุก เพราะเว่ยฉางอิ๋งมีผิวพรรณผุดผ่องเนียนละเอียดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่ต้องลงแป้งเพิ่ม เพียงแค่ลงสีแดงที่แก้มบางๆ ชั้นหนึ่งลงไปเท่านั้น
จูสือคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ในระหว่างที่คอยส่งและรับของต่างๆ อยู่นั้น นางออกความเห็นว่าควรจะติดลายดอกเหมยสีสดไว้ที่หว่างคิ้ว หลังจากติดเรียบร้อย แล้วให้นางเฮ่อพิจารณาดู ปรากฏว่าก็ได้ถูกเลือกมาใช้งานจริงๆ
…เช่นนี้ไปจนถึงกลางยามซื่อ[4] จูเสียนจึงได้ยกชายกระโปรงวิ่งเข้าเรือนเสียซวงมารายงานว่า เว่ยเซิ่งเหนียนกำลังต้อนรับคนบ้านตระกูลเสิ่นเข้ามาทางประตูใหญ่แล้ว
นางเฮ่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งคล้ายกำลังนั่งอ่านหนังสือด้วยใจจดจ่ออยู่หลังโต๊ะตัวเตี้ย แต่มือที่กำลังจะพลิกหน้าหนังสือกลับพลันชะงักลง นางเฮ่อจึงเข้าใจในทันใด แล้วเอ่ยสอบถามแทนนางไปว่า “ผู้ที่มาเป็นผู้ใด? เป็นเซียงหนิงปั๋วหรือไม่?”
“เป็นเซียงหนิงปั๋วเจ้าค่ะ” จูเสียนพยักหน้าแล้วว่า “สองวันมานี้มีฝนตก จนยามนี้ก็ยังไม่หยุด ผู้ที่มาคงจักขี่ม้ามา ล้วนสวมงอบและเสื้อฟาง ตอนที่ข้าน้อยไปถึงคนทั้งกลุ่มกำลังถอดเสื้อฟางและงอบอยู่ที่ใต้กันสาดเจ้าค่ะ พ่อบ้านที่อยู่ข้างหน้าบอกข้าน้อยว่าไม่ให้เข้าไปใกล้นัก จักได้ไม่ถูกพบเห็น ได้ยินนายท่านสามขานเรียกยามเชิญเข้าไปจึงได้รู้เจ้าค่ะ”
“เซียงหนิงปั๋วเป็นคนไม่เข้มงวด คราวก่อนก็ประทับใจคุณหนูใหญ่เสียอย่างยิ่ง” นางเฮ่อสั่งให้พวกจูเสียนและฉินเกอออกไปเพื่อจักได้ปลอบประโลมนางเพียงลำพัง
เมื่อถูกดูออกว่าจิตใจกำลังสับสน เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่มีแก่ใจจักแสร้งทำเป็นอ่านหนังสืออีก นางปิดหนังสือลง เอามือปิดปาก กล่าวว่า “จะประทับใจข้าหรือไม่ไม่สำคัญ อย่างไร…ท่านย่าก็พูดแล้วว่า ถ้าบ้านเสิ่นไม่ต้องการ ก็บอกพวกเขากลับไปว่าข้าติดโรคก็พอแล้ว” ก่อนนี้เพราะนางไม่ได้ดื่มน้ำมาสองวันสองคืน คอจึงแห้งอย่างรุนแรง จนยามนี้ยังคงมีเสียงพร่าอยู่บ้าง พูดเสียงสูงๆ ยังไม่ได้
คำอธิบายเงียบๆ นี้ เมื่อฟังอยู่ในหูของนางเฮ่อแล้วรู้สึกได้ถึงความเศร้าสร้อย
นางเฮ่อนิ่งเหม่อ พลางฝืนยิ้มแล้วว่า “นะ…ในเมื่อบ้านเสิ่นส่งเซียงหนิงปั๋วผู้นี้มาจักการเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ คิดว่าจักต้องเป็นคนปราดเปรื่อง ไม่เชื่อคำของพวกคนต่ำช้าที่ให้ร้ายคุณหนูใหญ่เป็นแน่เจ้าค่ะ อย่างไรเรื่องแต่งงานนี้ก็เป็นท่านประมุขและท่านประมุขเสิ่นตกลงกันด้วยตนเอง คุณหนูใหญ่ก็ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ ตระกูลเสิ่นก็เป็นหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล แล้วจักทำเรื่องเช่นการถอนหมั้นได้อย่างไร?”
ตลอดมานางเฮ่อล้วนไม่สนับสนุนให้เว่ยฉางอิ๋งฝึกวรยุทธ์ มาตรฐานของคุณหนูตระกูลใหญ่ในใจนางก็จะต้องเป็นเช่นซ่งไจ้สุ่ยเช่นนั้น ที่ทั้งอ่อนหวานรู้จักกาลเทศะ เรียบร้อยเป็นกุลสตรี ยิ่งไปกว่านั้นนางเฮ่อยังคิดว่า เสิ่นจั้งเฟิงมีชาติกำเนิดที่ทัดเทียมกับเว่ยฉางอิ๋ง ทั้งยังมีความสามารถ เรื่องแต่งงานครานี้ ชายองอาจหญิงงดงาม คู่ควรกันดังกิ่งทองใบหยก เรียกได้ว่าเป็นคู่สวรรค์สร้าง
หากต้องมีอันเป็นไปด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่ง ก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง
เช่นนั้น แม้เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งล้วนเตรียมการถอนหมั้นเอาไว้แล้วหากเกิดเรื่องไม่เข้าทีขึ้น แต่นางเฮ่อก็ยังคงหวังว่าบ้านเสิ่นจะสามารถสืบสวนดูให้ถี่ถ้วน และคืนความบริสุทธิ์ให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง และให้การแต่งงานครานี้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น
นางเฮ่อรู้ว่าหากเว่ยฉางอิ๋งถอนหมั้นครานี้ แม้จะมีเรื่องเจ็บป่วยเป็นข้ออ้าง ข้างนอกนั้นก็ยากจะหลบเลี่ยงไม่ให้มีการดาดเดาในแง่ร้ายไปได้ เช่นว่าเรื่องที่ชาวบ้านที่มาขวางเกี้ยวร้องทุกข์ในเมืองหลวงพูดนั้นเป็นเรื่องจริง… เช่นนี้แล้วหากเว่ยฉางอิ๋งแต่งงานกับผู้อื่น อย่าว่าแต่ให้มีฐานะใกล้เคียงกับเสิ่นจั้งเฟิงเลย ต่อให้เป็นชายหนุ่มในตระกูลเลื่องชื่อต่างๆ ที่มีความทะเยอทะยานสักหน่อยก็ยังจะไม่ยอมแต่งกับนาง
ในเมื่อไม่แต่งกับชาวบ้านทั่วไป เว่ยฉางอิ๋งจึงทำได้เพียงเลือกเอาจากพี่น้องยากจนจากตระกูลในสายที่ห่างไปไกลสักหน่อย… สามีเช่นนี้เมื่อเทียบกับเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว ไม่ว่าจะดูกันเรื่องชาติกำเนิด เรื่องความสามารถ หรือเรื่องความก้าวหน้าในอนาคตแล้ว จะต่ำต้อยกว่ากันเพียงใด?
เว่ยฉางอิ๋งในสายตาของนางคือคุณหนูตระกูลใหญ่ที่สูงส่งที่สุดดีที่สุด แม้ซ่งไจ้สุ่ยอาจจะอ่อนโยนเป็นกุลสตรีมากกว่าเว่ยฉางอิ๋ง แต่คุณหนูตระกูลซ่งมีหรือจะงดงามร่าเริงเช่นคุณหนูใหญ่ที่นางเลี้ยงมาจนโต? ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าคุณหนูใหญ่มีร่างกายแข็งแรง คุณหนูซ่งผู้แสนบอบบางยิ่งไม่มีทางเทียบนางได้!
คุณหนูใหญ่ผู้เป็นอย่างที่กล่าวมานั้น เสิ่นจั้งเฟิงซึ่งเป็นประมุขคนต่อไปที่ตระกูลเสิ่นได้กำหนดเป็นการภายในเอาไว้แล้ว จึงคู่ควรกับนางพอดิบพอดี ส่วนญาติห่างๆ เหล่านั้น… แม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่ได้ถือสา เพียงนางเฮ่อคิดๆ ดู ภายในใจก็ยังรู้สึกน้อยใจแทนคุณหนูบ้านตน
ความรู้สึกนี้ของนางเฮ่อ เว่ยฉางอิ๋งก็ฟังออก เพียงแต่ยิ้มอย่างผิดหวังว่า “จะใส่ร้ายหรือไม่ใส่ร้าย… ดีชั่วอย่างไรข้างนอกต่างก็พากันพูดไปเช่นนั้นแล้ว เรื่องเช่นนี้มีหรือจะพูดให้ชัดเจนได้? อีกประการ ต่อให้ตระกูลเสิ่นห่วงหน้าตาและยังคงรับข้าเข้าบ้าน แล้วภายหลังกลับทำเย็นชารังเกียจรังงอนข้า มิสู้ไม่แต่งเสียดีกว่า!”
“ในเมื่อคุณหนูใหญ่แต่งเข้าอย่างออกหน้าออกตา ตระกูลเสิ่นยังจักกล้าทำสิ่งใดกับคุณหนูหรือเจ้าคะ?” นางเฮ่อพูดออกไปโดยไม่ทันคิด เพียงแต่แค่คิดว่าระยะทางจากเมืองหลวงถึงเฟิ่งโจวแสนห่างไกล อีกทั้งตระกูลเสิ่นก็ยังเป็นหนึ่งในตระกูลสูงศักดิ์เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องคอยระมัดระวังอำนาจของตระกูลเว่ยมากนัก นางจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในใจ
เว่ยฉางอิ๋งหมุนสร้อยข้อมือมรกตที่ข้อมือ ในใจรู้สึกสับสนจนยากเอ่ย ยามนางยังเล็กมาก จำไม่ได้ว่าได้ยินใครเคยหยอกล้อบอกตนว่าเสิ่นจั้งเฟิงคู่หมั้นของนางเป็นบุตรชายของนายทัพ ฝึกวรยุทธ์มาแต่เล็ก จักต้องมีฝีมือเยี่ยมเป็นแน่ คู่หมั้นที่อ่อนแอปวกเปียกเช่นเว่ยฉางอิ๋ง หลังจากแต่งออกไป เกรงว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะสามารถผลักนางจนล้มลงไปได้ด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียว รอจนออกเรือนไปแล้วเกรงว่าจักต้องลำบากไม่เบาทีเดียว
ครานั้นเว่ยฉางอิ๋งจำได้ลางเลือน รู้เพียงแต่ว่าคนที่เรียกว่าคู่หมั้นก็คือผู้ที่ต่อไปต้องอยู่ด้วยและต้องใช้ชีวิตด้วยกัน จะต้องอยู่ด้วยกันทั้งวัน… ทว่าคนผู้นั้นร้ายกาจถึงเพียงนั้น แค่เพียงนิ้วเดียวก็สามารถจัดการตนได้โดยที่ตนไม่ทันรับมือ แล้วจากวันนั้นจักต้องถูกตีสักกี่หน? นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเสียจริงๆ!
เมื่อนึกย้อนกลับมา คำพูดนี้เป็นผู้ใดกล่าวนางเองก็ลืมไปแล้ว แต่กลับจำคำพูดนี้ได้อย่างแม่นยำนัก นางรบเร้าท่านย่าและท่านแม่อยากเอาเป็นเอาตายอยู่หลายวัน จึงทำให้พวกนางรับปากเชิญอาจารย์มาสอนนาง
สิบกว่าปีมานี้นางร่ำเรียนและฝึกฝนอย่างยากลำบาก เริ่มแรกนั้นเพียงแค่มิให้ต้องถูกเสิ่นจั้งเฟิงรังแกในภายภาคหน้า แต่ภายหลังนางรู้สึกว่าตนเองเก่งกาจยิ่งขึ้นทุกวัน จึงรู้สึกว่าตนเองสามารถหันกลับมาเป็นฝ่ายรังแกเสิ่นจั้งเฟิงได้…
ไม่ว่าจะเพื่อปกป้องตนเองก็ดี หรือว่าอาศัยวรยุทธ์วางอำนาจบาตรใหญ่ก็ช่าง นางไม่เหมือนซ่งไจ้สุ่ย นางไม่เคยคิดจะล้มเลิกสัญญาแต่งงาน
บางทีอาจเป็นเพราะเสิ่นจั้งเฟิงไม่เหมือนกับตำหนักตะวันออกในยามนี้ จากข่าวคราวที่เล่าลือมาจากเมืองหลวง เขาเป็นผู้ที่มีความสามารถจริงๆ อาจเป็นเพราะเรื่องแต่งงานครั้งนี้กำหนดเอาไว้เสียตั้งนานแล้ว จึงทำให้นางรู้ว่าตนเองมีคู่หมั้นมาตั้งแต่อายุสามสี่ขวบ เมื่อเติบใหญ่ก็ต้องออกเรือนไป… เมื่อคิดได้ดังนี้นานวันเข้าจึงเกิดความเคยชิน นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าตนเองจะต้องแต่งเข้าบ้านตระกูลเสิ่น
โดยสรุปแล้ว ตลอดสิบกว่าปีมานี้ ไม่ว่าจะมองว่าเป็นศัตรูหรือมองว่าเป็นสามีที่ตนฝันใฝ่ถึง ตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากคนร่วมสายเลือดเดียวกันแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงเป็นเพียงผู้เดียวที่นางคอยคำนึงถึงอยู่ไม่ลืม… นางนึกมาโดยตลอดว่าชาตินี้ตนเองถูกกำหนดให้เป็นภรรยาของคนผู้นี้ ไม่ว่าเขาจะดีหรือร้ายกับตน ไม่ว่าวันหน้าทั้งสองคนจะรักใคร่กันหรือห้ำหั่นกัน สัญญาที่ประมุขทั้งสองตระกูลได้ทำไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อนก็ได้กำหนดทุกสิ่งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
เดิมทีปีหน้านางก็จะได้เห็นผู้ที่ตนเตรียมตัวป้องกันเอาไว้สิบกว่าปีและเฝ้าคอยคำนึงถึงมาสิบกว่าปีผู้นี้แล้ว… แต่ตอนนี้ ทุกสิ่งล้วนเป็นดังลมพัดโหมฝนกระหน่ำ
นางอาจไม่ได้แต่งออก หรือต่อให้แต่งออกไป ด้วยข่าวลือนานาที่เกิดขึ้นก่อนแต่งงาน จึงกลับมิรู้ว่าอีกฝ่ายจะมองนางเช่นไร และจะปฏิบัติต่อนางเช่นไร?
เช่นนั้นแล้ว ไม่สู้ ไม่แต่งไปเสียเลยดีกว่า…
แต่สิบกว่าปีที่เตรียมตัวและคอยคำนึงถึง แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเหลือทน แต่ก็ยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาเช่นกัน แล้วประสาอะไรกับคนหนึ่งคน?
และคนผู้นั้นยังเป็นคนที่นางคิดมาตลอดสิบกว่าปีมานี้ว่าจะเป็นสามีของนาง
เว่ยฉางอิ๋งออกแรงขบริมฝีปากหนแล้วหนเล่า ตอบกลับไปด้วยเสียงงึมๆ งำๆ… หลังจากเรื่องของคนในจวนจิ้งผิงกง และผ้าสีขาวผืนนั้น นางก็ตระหนักแล้วว่ายามนี้ตนตกอยู่ในสภาพเช่นไร… แม้แต่คนในตระกูลยังหวังให้นางตาย เมื่อนางตายไปแล้ว ก็จักพิสูจน์ได้ว่าชื่อเสียงของตระกูลเว่ยยังคงสะอาดบริสุทธิ์ พวกสตรีล้วนยังคงยอมตายเพื่อรักษาความบริสุทธิ์…
ไม่แน่ว่าเมื่อนางตายแล้ว คนตระกูลเว่ยเหล่านั้น อาจจะยังพากันเล่าลือเรื่องแต้มพรหมจรรย์บนแขนนางออกไป เพื่อเป็นการพิสูจน์ความเด็ดเดี่ยวของสตรีตระกูลเว่ย ‘พวกเจ้าดูเอาเถิด แม้ความบริสุทธิ์ยังคงอยู่ แต่เพราะต้องไปอยู่ในป่ามาสองวัน แล้วถูกผู้คนคาดเดาไปในทางร้าย สตรีผู้นี้ก็ยังฆ่าตัวตาย… ช่างเป็นผู้ที่เคร่งครัดในธรรมเนียมของตระกูลเรื่องความบริสุทธิ์ผุดผ่องมากมายถึงเพียงนี้!”’
แต่ว่า…
เรื่องใดนางจะต้องตาย?! แรกเริ่มนั้นนางเป็นทุกข์ ด้วยการให้ร้ายใส่ความ ด้วยคำครหานินทา ด้วยความรังเกียจและหมางเหมินของพวกลูกผู้น้อง ด้วยความเข้าใจผิดและเสียงก่นด่าของเว่ยเกาอั้น… นางเป็นทุกข์เสียจนไม่อยากกินไม่อยากดื่ม เป็นความน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่มีทางจะไปแก้ต่าง ไม่มีทางจะไปพิสูจน์กับผู้ใดได้!
แต่หลังจากเห็นผ้าขาวผืนนั้นแล้ว ความเคียดแค้นจากการถูกข่มเหงรังแกซึ่งสั่งสมมานานของเว่ยฉางอิ๋งก็พลันระเบิดออกจนหมดในทันใด!
แม้การออกนอกเมืองไปส่งนั้นเป็นสิ่งที่นางร้องขอเอง แต่ทั้งไปกลับก็ล้วนนั่งในรถม้า ทั้งยังมีหมวกคลุมหน้า ไม่มีที่ใดที่ผิดธรรมเนียมผิดจารีตเลยแม้แต่น้อย! อีกประการ เมื่อย้อนนึกกลับไปยามนี้ วันนั้นเคราะห์ดีที่นางขอตามไปด้วย! เมื่อนางไป เจียงเจิงซึ่งรับหน้าที่สอนสั่งนางมาตั้งแต่เมื่อสิบสองปีก่อนจึงได้ไปด้วย… แม้จะบอกว่าเป็นเว่ยซินหย่งช่วยพวกนางเอาไว้ แต่หากไม่มีผู้คร่ำหวอดในยุทธภพเช่นเจียงเจิง หากตัวเว่ยฉางอิ๋งไร้ความสามารถจะต่อสู้ คนทั้งกลุ่มมีหรือจะยื้อเอาไว้ได้จนถึงยามที่กองหนุนของเว่ยซินหย่งตามมาทัน?!
เรื่องที่นางตีเว่ยฉางเฟิงจนสลบและปลอมตัวไปตามนัดหมายแทนน้องชาย… หากให้โอกาสกับเว่ยฉางอิ๋งอีกหน นางก็ไม่มีทางเอาแต่ห่วงความปลอดภัยและชื่อเสียงของตน แล้วปล่อยให้น้องชายเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยเด็ดขาด!
แล้วนางผิดที่ใด?
ถือดีเยี่ยงไร คนเหล่านี้ต้องการรักษาธรรมเนียมและชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลซึ่งแสนจะเลื่อนลอยไร้แก่นสาร เพื่อให้พวกเจ้าได้หน้าได้ตา ก็จักต้องให้ข้าตายเสียให้ได้?!
พวกเข้าอยากให้ข้าตาย ข้าก็จะไม่ยอมตาย! ไม่เพียงไม่ตาย… ทุกคนที่อยากให้ข้าตาย ข้าก็จะจัดการให้พวกเจ้าตายไปเสียก่อนด้วยมือของข้าเอง!
…ดังนั้น ยามนี้หาใช่เวลาจะมาเจ็บปวดด้วยเรื่องแต่งงานครานี้ไม่
เว่ยฉางอิ๋งกำหมัดปิดปากตนเอาไว้ เนิ่นนาน นางจึงกล่าวเสียงเบาว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นผู้ตัดสินใจ ข้าน้อมรับการจัดการของท่านปู่และท่านย่า”
ในขณะที่นางกำลังพูดอยู่ ฉินเกอก็เคาะประตู “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ซวงจูมาเชิญให้คุณหนูไปเจ้าค่ะ”
… ครานี้ก็คือจะให้ไปพบกับคนบ้านเสิ่น?
เว่ยฉางอิ๋งทั้งสะดุ้ง ทั้งตื่นตระหนก!
_______________________
[1] มวยผมทรงปีกหงส์ คือ ทรงผมที่ม้วนเป็นสองมวย และมีปลายค่อนข้างแหลม
[2] นกหลวน คือ นกฟีนิกซ์
[3] ดอกซานฉา คือ ดอกคาร์มีเสีย
[4] กลางยามซื่อ คือ เวลาประมาณ 10.00 น.