ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 75 เขามาแล้ว
นอกจากคนที่มาบอกข่าวที่เรือนเสียซวงจะเปลี่ยนจากซวงหลี่มาเป็นซวงจูแล้ว และครานี้ขาดซ่งไจ้เถียนไปผู้หนึ่ง มิเช่นนั้นการเข้าคารวะหนนี้ก็จักเหมือนกับคราวก่อนไม่มีผิด
เรือนด้านหลังยังคงเงียบงันเช่นเดิม ที่นั่งของเว่ยฮ่วน แม่เฒ่าซ่ง และยังมีเซียงหนิงปั๋วหรือเสิ่นโจ้วก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
เว่ยฉางอิ๋งมีท่าทีสำรวมเช่นคราวก่อน เพียงแต่ฝีเท้าที่ก้าวเข้าไปภายในกลับมีบางสิ่งไม่เหมือนคราวก่อน… นางเดินช้าลงกว่าเดิม แต่ละก้าวล้วนมั่นคงนัก มั่นคงเสียจนเกือบจะถึงขั้นจงใจ นี่ไม่เพียงแค่เพราะร่างกายยังไม่ฟื้นคืนดังเดิม แต่ยังเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกตื่นเต้นที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อต้องมาพบกับคนบ้านเสิ่นในสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งยังมีความตื้นตันและคาดหวังแฝงอยู่ภายในด้วย
แน่นอนว่า ความรู้สึกที่มีมากที่สุดคือ กังวลใจ
เมื่อคารวะผู้ที่ควรคารวะภายในห้องแล้ว ครานี้ไม่มีซ่งไจ้เถียนให้ต้องแนะนำ แม่เฒ่าซ่งจึงเรียกนางมายืนข้างๆ รอจนนางยืนเข้าที่แล้ว ก็ได้ให้เซียงหนิงปั๋วเสิ่นโจ้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจว่า “เด็กคนนี้ผมลงกว่าคราก่อนมาก… น่าสงสารเสียจริงๆ!”
แม้จะรู้ว่าส่วนใหญ่เป็นเพียงคำกล่าวตามมารยาท แต่เว่ยฉางอิ๋งฟังแล้วก็พลันคัดจมูกขึ้นมา ดวงตาก็เคืองจนยากจะทนไหว
นางพยายามสะกดเอาไว้เต็มแรง แล้วก้มหน้ายืน ไม่ส่งเสียงใด
เว่ยฮ่วนตอบคำด้วยน้ำเสียงที่หนักเช่นกัน “คนภายนอกเบาปัญญา ทั้งยังมีคนจงใจพัดให้ไฟยิ่งโหม ให้ร้ายผู้บริสุทธิ์!”
“ท่านจิ่งเฉิงโฮ่วทำการครานี้ แม้โดยนามแล้วจะทำเพราะคำนึงถึงท่านเว่ย แต่กลับไม่เหมาะควรเลยจริงๆ…” แม้เสิ่นโจ้วจะพูดจาเช่นเดิม ยังคงมีเสียงกังวานคล้ายระฆัง เขากล่าวเงียบๆ ว่า “เป็นถึงเสนาบดีฝ่ายปกครองแท้ๆ แต่กลับเบาปัญญาเช่นนี้ ช่างน่าหัวเราะยิ่งนัก!”
“อาจเพราะเขามีไหวพริบมากเกินไปก็เป็นได้” เว่ยฮ่วนกล่าวอย่างเป็นนัยแล้วยิ้มจางๆ
เสิ่นโจ้วนิ่งเงียบ แล้วว่า “ท่านเว่ยกล่าวได้ถูกต้องยิ่ง เพียงแต่ไหวพริบแม้จะสามารถแก้ไขเรื่องเฉพาะหน้าได้ แต่ก็เกิดจากความเร่งร้อนเกินไป…”
บทสนทนาของพวกเขานี้ แม่เฒ่าซ่งมิได้เอ่ยแทรก เพียงแต่ยกถ้วยน้ำชาตรงหน้าขึ้นมาแล้วค่อยๆ ดื่มเท่านั้น เมื่อวางลง น้ำชาในแก้วก็เหลือเพียงครึ่งถ้วยแล้ว เมื่อเห็นดังนั้น สาวใช้ซวงหลี่จึงได้แอบดึงเว่ยฉางอิ๋งที่กำลังก้มหน้านิ่งเงียบอยู่ให้มองไปที่ถ้วยน้ำชานั้น
เว่ยฉางอิ๋งจึงเข้าใจขึ้นมาโดยพลัน ยามนี้แม้จิตใจนางยังไม่สงบ แต่ก็ยังสามารถรินน้ำชาเติมให้ท่านย่าได้ นางจึงดึงแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย แล้วยกกาน้ำชาขึ้น เอาปากกาน้ำชาจ่อที่ถ้วยชา… ในกามีน้ำชาอยู่เต็ม จึงใช้ปลายนิ้วมือกดไปที่ฝากาเบาๆ และมีน้ำชาไหลออกมา
ทว่า…
ถ้วยชาใบไม่ใหญ่ยังไม่ทันถูกเติมจนเต็ม โดยไม่มีวี่แววใด จู่ๆ มือของเว่ยฉางอิ๋งข้างที่อยู่ชิดกับแม่เฒ่าซ่งและซวงหลี่ก็ถูกผลักอย่างแรงหนหนึ่ง!
แรงที่ผลักมาคราวนี้ทั้งมาอย่างฉับพลันและรุนแรง เว่ยฉางอิ๋งไม่ทันได้ตั้งตัวแต่อย่างใด นางทำกาน้ำชาหลุดมือออกไปยังไม่พอ ในชาในกาพลันสาดโดนแขนเสื้อทั้งสองข้างของนางจนเปียกไปหมด กระทั่งแม่เฒ่าซ่งยังพลอยโดนน้ำกระเซ็นมาถูกกระโปรงหลัวฉวินจีบกว้างจนเปียก!
เหตุการณ์ที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นที่ทำให้เว่ยฮ่วนและเสิ่นโจ้วหยุดการสนทนาลงพลัน และหันกลับมามองด้วยความประหลาดใจ!
แม่เฒ่าซ่งมีท่าทีสงสารหลานสาวเป็นอย่างมาก ไม่ทันได้ขอขมาเสิ่นโจ้ว ก็รีบลุกขึ้นยืน แล้วเข้าไปประคองแขนหลานสาว ถามว่า “เป็นเช่นไร เป็นเช่นไร? โดนน้ำร้อนลวกหรือไม่?”
คงเพราะนางร้อนใจเกินไป ด้วยอยากตรวจดูบาดแผลของหลานหลานสาวที่ใต้แขนเสื้อซึ่งเปียกไปหมด ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหลงลืมไปว่าในห้องโถงยังมีเสิ่นโจ้วและพวกบ่าวของเขาอยู่ด้วย ไม่รอให้เว่ยฉางอิ๋งตอบความ มือของนางก็ปรี่เข้าไปเปิดแขนเสื้อของเว่ยฉางอิ๋งขึ้น… ใต้แขนเสื้อที่มีไอร้อนผ่าว ก็คือลำแขนงามดังหยกที่ขาวผุดผ่องปานหิมะ ประเด็นสำคัญคือแต้มพรหมจรรย์สีแดงสดบนข้อมือ ที่ยังคงแจ่มชัดและสะดุดตา ชัดเจนดังเช่นแต้มดอกเหมยที่หว่างคิ้วของเว่ยฉางอิ๋งในวันนี้ที่ยิ่งขับให้ผิวพรรณยิ่งดูขาวผุดผ่องยิ่งขึ้น
แม่เฒ่าซ่งยังคงมีอาการตื่นตระหนกอยู่เป็นนาน คล้ายจะพูดกับตัวเอง บางทีก็คล้ายจะพูดให้คนในโถงฟัง พูดย้ำไปย้ำมาว่า “เจ็บหรือไม่? หือ? เจ็บหรือไม่?” ระหว่างพูด ฮูหยินผู้เฒ่าก็หยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดที่แต้มพรหมจรรย์ เหมือนจักกังวลว่าน้ำชาที่ยังเหลืออยู่จะทำหลานสาวบาดเจ็บมากยิ่งขึ้นไปอีก…
หนึ่งหน สองหน สามหน…
ฮูหยินผู้เฒ่าเช็ดแรงมาก เมื่อเอาผ้าออก ผิวที่เดิมทีขาวเนียนดังหิมะก็กลับเป็นสีแดงขึ้นมา
แต่แต้มพรหมจรรย์นั้นยังคงมีสีสดดังเดิม
…แน่นอนว่ามิใช่เพิ่งจะแต้มขึ้นมาเร็วๆ นี้
บรรดาคุณหนูในตระกูลใหญ่ จะมีผู้ใหญ่แต้มให้ตั้งแต่เล็ก หลังจากนั้นจนกระทั่งออกเรือนก็จะคอยหมั่นตรวจดูเสมอ เพื่อมิให้เกิดเหตุผิดพลาดที่ไม่ยอมให้พวกผู้ใหญ่ล่วงรู้ และถือเป็นการเตือนพวกนางให้รักษาจารีตประเพณี ไม่กล้าทำเรื่องลบหลู่ธรรมเนียมของตระกูล
นี่เป็นแต้มพรหมจรรย์ของจริง ซึ่งแต้มให้นางตั้งแต่เป็นทารก โดนน้ำไม่เลือน แม้เนิ่นนานสียังแจ่มชัด มีเพียงหลังคืนแต่งงาน ผลัดความเป็นเด็กของหญิงสาวออกไปและกลายมาเป็นฮูหยิน จึงจะค่อยๆ เลือนหายไป
เว่ยฉางอิ๋งก้มหน้าลง มองมันอย่างช้าๆ ฟังคำปลอบประโลมเสียงอ่อนโยนของท่านย่า แล้วค่อยๆ ดึงแขนเสื้อของตนลง ยามนั้นเองจึงได้หันไปคราวะเสิ่นโจ้ว… แม่เฒ่าซ่งและเสิ่นโจ้วพูดสิ่งใดนางล้วนฟังไม่ถนัด ในใจมีเสียงทอดถอนใจอย่างลมพัดแผ่วเบาว่า ‘ที่แท้ ที่ท่านย่ารีบเรียกตนมาในยามนี้… ก็เพื่อกาน้ำชากานี้ หรือพูดได้ว่า เป็นการบอกกล่าวต่อเสิ่นโจ้วทั้งโดยอ้อมและโดยตรง ว่าตนเองยังคงบริสุทธิ์อยู่เช่นนั้นรึ?’
…ไม่เกี่ยวกับว่างานแต่งหนนี้จะสำเร็จหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลเว่ยก็จะไม่ยอมให้นางต้องแบกรับชื่อเสียงว่าไม่บริสุทธิ์
ดังนั้นแต้มสีแดงบนแขนของเว่ยฉางอิ๋งก็จะต้องทำให้เสิ่นโจ้ว ทำให้บ่าวไพร่ที่ติดตามเขามา และทุกคนในห้องโถงนี้ได้เห็นด้วยตา ยิ่งไปกว่านั้นเพิ่งมาก็จักต้องได้เห็นในทันใด
ตระกูลเว่ยไม่แต่งงานครานี้ไม่เป็นไร ทว่ากลับไม่อาจปล่อยให้เสิ่นโจ้วคิดว่าเว่ยฉางอิ๋งถูกข่มเหงจริงๆ!
ตระกูลเสิ่นไม่อาจแน่ใจว่าเว่ยฉางอิ๋งถูกข่มเหงจริงหรือไม่ อย่างไรก็จะต้องเกิดความเคลือบแคลงใจ หากถอนหมั้นเพราะเหตุนี้ก็จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่ยามนี้เสิ่นโจ้วได้เห็นแต้มพรหมจรรย์ของแท้อย่างชัดเจนแล้ว เช่นนั้นหากถอนหมั้นในสถานการณ์เช่นนี้ เท่ากับเป็นการทำให้ตระกูลเสิ่นไม่ต้องหนักใจ ทั้งยังเป็นการคำนึงถึงตระกูลเสิ่นด้วย… ดังนี้แล้วต่อให้ถอนหมั้น ตระกูลเสิ่นก็จะต้องรู้สึกติดค้างตระกูลเว่ย
แม้เสิ่นโจ้วจะเป็นชายแต่ก็เป็นผู้อาวุโส ทั้งยังอยู่ต่อหน้าเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่ง…เมื่อครู่นี้ทุกคนต่างเห็นชัดเจนว่าน้ำชาร้อนมากเพราะเพิ่งชงมาใหม่ แม่เฒ่าซ่งรักใคร่ทะนุถนอมหลานสาวเพียงคนเดียว จึงรีบตรวจดูข้อมือที่อาจจะถูกน้ำร้อนลวก โดยไม่ทันห่วงว่ากำลังอยู่ต่อหน้าแขก ก็นับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล…ซึ่งเจตนาที่แผงอยู่ภายนั้นคาดเดาได้ไม่ยาก ทว่าต่อให้เปิดออกมาก็หาต้องหวั่นเกรงว่าจะมีคนคิดเล็กคิดน้อย… เพราะแขนเสื้อเป็นฮูหยินผู้เฒ่าดึงขึ้น หาใช่เว่ยฉางอิ๋ง ผู้ใหญ่สงสารเด็ก ทำการเร่งร้อนไปสักหน่อย ก็ด้วยความรักที่มีต่อหลาน เหตุผลนี้ก็เข้าใจได้
ทุกสิ่งจึงออกมาสมบูรณ์แบบ
ในเวลาแรกที่เสิ่นโจ้วมาถึง ตระกูลเว่ยก็ใช้วิธีเช่นนี้พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าความบริสุทธิ์ของเว่ยฉางอิ๋งยังคงอยู่ ต่อจากนี้…สัญญาแต่งงานจะยังคงมีต่อไปหรือไม่ แล้วจักปฏิบัติต่อตระกูลเว่ยด้วยท่าทีเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับตระกูลเสิ่นแล้ว
ดีชั่วอย่างไร ตระกูลเว่ยก็แสดงให้เห็นชัดแจ้งแล้วว่า… เว่ยฉางอิ๋งนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่อง เรื่องที่ภายนอกว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่บริสุทธิ์ล้วนเป็นเพียงการสร้างข่าวลือ
หากตระกูลเสิ่นยังคงชักช้า อย่างไรก็จักต้องเป็นฝ่ายผิดอยู่บางส่วน
เว่ยฉางอิ๋งไม่คัดค้านวิธีเช่นนี้ และไม่ได้ยอมรับว่าจำเป็นต้องทำ ความบริสุทธิ์ที่นางมีเป็นเรื่องจริง ตระกูลเว่ยไม่จำเป็นต้องเสียเปรียบเพราะเรื่องนี้ ทว่าแม้จะเข้าใจเช่นนี้ก็กลับไม่อาจหยุดความเศร้าโศกในใจของนางได้… จักมีหญิงสาวสักกี่คนที่ก่อนแต่งงาน แล้วจำเป็นต้องคอยพะวงเรื่องพิสูจน์ให้บ้านสามีได้เห็นว่าตนบริสุทธิ์?
เพียงแค่ทำเช่นนี้ นางก็รู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยลงไปอีกโดยไม่มีสาเหตุแล้ว…
เรื่องแต่งงานหนนี้ ไม่อาจดำเนินต่อไป…จริงๆ เช่นนั้นหรือ?
ซวงหลี่ประคองแขนของนางขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวล แล้วลอบออกแรงกดไปคราหนึ่ง เป็นการบอกว่านางควรจะพูดอะไรสักหน่อย ปากก็กล่าวด้วยเสียงไม่สูงไม่ต่ำว่า “วันสองวันมานี้คุณหนูใหญ่ค่อนข้างเพลีย ข้าน้อยประคองคุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ…”
เว่ยฉางอิ๋งได้สติคืนมา พยายามรักษาอาการให้อยู่ในท่าสำรวม แล้วก้มตัวลงเป็นการขอตัวให้ตนออกไปจัดการกับเสื้อผ้าและหน้าตาสักหน่อย
แม่เฒ่าซ่งเองก็กล่าวขอขมาเสิ่นโจ้ว เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงว่า “เจ้าออกไปกับข้า ข้าก็ต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน”
เมื่อออกจากประตู แม่เฒ่าซ่งกุมมือหลานสาวเอาไว้แน่น คล้ายต้องการพูดบางสิ่ง แต่กลับชะงักเอาไว้ จากนั้นเกือบเค่อจึงได้เอ่ยเสียงต่ำออกมา “ร้อนหรือไม่? เจ็บหรือไม่?”
“ไม่ร้อน ไม่เจ็บเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งส่ายหัว นางมิได้กล่าวเท็จ น้ำชากานั้นแม้จะร้อน แต่กลับไม่ถึงขั้นลวกมือ… แม่เฒ่าซ่งเพียงต้องการโอกาสที่จะเปิดแขนเสื้อของหลานสาวอย่างเปิดเผย แล้วจักให้เว่ยฉางอิ๋งถูกน้ำร้อนลวกจริงๆ ได้อย่างไร? ส่วนเรื่องที่แม่เฒ่าซ่งออกแรงเช็ดแขนนางสองสามหนนั้น… ด้วยเว่ยฉางอิ๋งเข้าใจเจตนาของท่านย่าอย่างแจ่มแจ้ง จึงยิ่งทำให้ไม่รู้สึกว่าเจ็บ
สิ่งที่นางเห็น คือการใคร่ครวญวางแผนและความรักใคร่อย่างเต็มเปี่ยมที่ฮูหยินผู้เฒ่าทุ่มเทให้หลานๆ มาโดยตลอดอย่างไม่เคยเบื่อหน่าย…
“กลับไปก่อนเถิด” แม่เฒ่าซ่งมองดูท่าทีของหลานสาว ว่านางรู้ความแล้วหลังจากปลงตก แต่กลับยังคงเจ็บปวดอยู่ภายในใจจนยากเอ่ยคำ เด็กที่เป็นเช่นนี้ การแต่งงานที่ดีงามเช่นนี้ เหตุใดจึงต้องถูกทำร้ายจนถึงเพียงนี้ด้วย? หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ นางคงอดจะยุยงให้เว่ยฮ่วนลงมือให้เร็วกว่านี้ไม่ได้ รวมทั้งจัดการพวกที่ได้ชื่อว่าวางแผนทำร้ายคนบ้านใหญ่ และส่งเว่ยเจิ้งหย่าไปให้พ้นๆ เสียตั้งนานแล้ว
แต่ยามนี้ทุกสิ่งล้วนสายเกินไปเสียแล้ว…
ทำได้เพียง… ฟังสวรรค์บัญชาเท่านั้น!
ย่าหลานทั้งสองคนมีเรื่องกลัดกลุ้มอยู่ภายใจจนยากเอ่ยคำ พากันยืนนิ่งอยู่บนระเบียบทางเดินภายนอกโถงอยู่เกือบเค่อ จึงค่อยแยกย้ายกันกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของตน แต่กลับได้ยินเสียงเอะอะดังมากจากข้างหน้า
ฮูหยินผู้เฒ่าให้เว่ยฉางอิ๋งกลับไปที่เรือนเสียซวงก่อน ตนเองขมวดคิ้วแล้วถามบ่าวที่อยู่ซ้ายขวาว่า “ข้างหน้าเกิดเรื่องใดขึ้น? มิเห็นหรือว่าเซียงหนิงปั๋วกำลังอยู่ข้างใน?” นางคะเนในใจว่าผู้ที่สามารถมาทำเสียงเอะอะในยามนี้คงจะมีความเกี่ยวข้องกับจวนจิ้งผิงกงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้… แต่ต่อให้ทางจวนนั้นเกิดเรื่องใหญ่โตเพียงใด มีหรือจะเทียบได้กับเรื่องสัญญาแต่งงานของหลานสาวตนจะดำเนินต่อไปหรือไม่?
ฮูหยินผู้เฒ่าคิดคำนวณในใจ ไม่ว่าคนที่มาจะเป็นผู้ใด มาด้วยสาเหตุใด ขอเพียงเกี่ยวพันกับจวนจิ้งผิงกง นางจักไม่ไต่ถามแยกแยะใดๆ ทั้งสิ้น แต่จักจัดการไปเสีย ค่อยว่ากันทีหลัง!
ไม่คิดว่าสาวใช้ที่ให้ไปสอบถามเรื่องราวเพิ่งจะยกชายกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งไปที่ระเบียงทางเดินด้านข้างเพียงสิบกว่าก้าว ในประตูทรงโค้งวงพระจันทร์ข้างหน้านั้น พลันมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
คนที่อยู่ข้างหน้านั้นสวมงอบ สวมชุดจิ่นเผาตัวยาวสีแดงสด รองเท้ายาวสีเขียวครามลายเมฆมงคล พื้นรองเท้าหนา บนรองเท้ายาวมีรอยดินโคลนเปรอะเปื้อน ที่ชายเสื้อตัวยาวและปลายแขนเสื้อยิ่งมีรอยเปียกอยู่หลายแห่ง ในรุ่ยอวี่ถังปูพื้นด้วยอิฐ ดังนั้นรอยดินโคลนนี้จึงมีเพียงไปโดนจากภายนอกมา ดูจากตำแหน่งรอยเปื้อนแล้วเห็นชัดว่าจักต้องขี่ม้าบนทางที่เป็นดินในระยะทางที่ไม่สั้นเลย
คนผู้นี้รีบร้อนเข้ามา จังหวะการก้าวเท้ารุนแรงดุดัน แตกต่างกับคนปกติเป็นอย่างมาก งอบที่เขาสวมนั้นใช้ตอนอยู่บนหลังมา เพราะมีความกว้างเป็นอย่างมาก แม้ตัวเขาจะสูงใหญ่ แต่งอบก็กลับปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง จากมุมของแม่เฒ่าซ่งที่มองไป เห็นเพียงริมฝีปากบางที่ปิดสนิทซึ่งอยู่ใต้งอบลงมาเท่านั้น จากการแต่งกายจนถึงรูปร่าง จนถึงบุคลิกท่าทาง จนถึงสิ่งที่ลอบมองเห็นใต้งอบนี้ ล้วนไม่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง ทำให้แม่เฒ่าซ่งทั้งรู้สึกตื่นตระหนกและมีโทสะ… แม้แต่เว่ยฉางเฟิงยังไม่เคยบุ่มบ่ามบุกเข้ามาในเรือนหลังเช่นนี้! คนผู้นี้เป็นผู้ใดกัน?! บังอาจบุกเข้ามาอย่างไร้สาเหตุ แท้จริงแล้วมีวัตถุประสงใด? แล้วพวกองครักษ์ไยปล่อยให้เขาเข้ามา?!
ฮูหยินผู้เฒ่าบันดาลโทสะเสียจนควันออกหู เมื่อมองออกไปกลับเห็นว่าข้างหลังคนนี้ผู้มีองครักษ์ตั้งแต่ที่ลานหน้าจวนจนถึงที่เรือนหลังเดินตามมา ในนั้นยังมีพ่อบ้านแม่บ้านและบ่าวไพร่ที่รับใช้เป็นประจำอีกหลายคน เรียกได้ว่าเป็นขบวนยิ่งใหญ่เอาการ แต่ว่าคนเหล่านี้…ทั้งพ่อบ้านแม่บ้านและบ่าวไพร่ล้วนมีสีหน้าจนใจเต็มกลืน พวกองครักษ์ล้วนเอามือทาบไว้บนมีด แต่กลับมีท่าทีลูบหน้าปะจมูก หามีผู้ใดกล้าลงมือไม่
เมื่อมองเห็นสายตาตื่นตระหนกและโกรธเกรี้ยวของฮูหยินผู้เฒ่ามองมา แม่บ้านผู้ดูแลนอกเรือนผู้หนึ่งหัวไว จึงรีบสาวเท้ารวบสามก้าวเป็นสองก้าว วิ่งมาข้างหน้าสองสามก้าวแล้วบอกว่า “รายงานฮูหยินผู้เฒ่า…”
ยังมิทันสิ้นเสียงของแม่บ้านผู้นี้ คนชุดแดงผู้นั้นถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง แล้วพลันหยุดเดิน เมื่อเขาหยุด คนอื่นๆ ก็พากันหยุดเดินโดยไม่ทันรู้ตัว เมื่อเห็นแม่เฒ่าซ่ง ต่างก็หันหน้ามามองกัน แต่เห็นคนชุดแดงผู้นั้นหาได้สนใจสิ่งใดไม่ ยังคงเอื้อมมือไปปลดงอบบนศีรษะออกท่ามกลางฝนในฤดูใบไม้ร่วงที่ตกลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา
คนผู้นี้เป็นเพียงเด็กหนุ่มในวัยที่ยังมิได้สวมหมวก สองคิ้วเอียงชี้ขึ้น ดวงตาลึกล้ำสว่างใส…สว่างใสเสียจนเมื่อปลดงอบลง แม้แต่แม่เฒ่าซ่งยังรู้สึกว่าในดวงตาทั้งคู่นี้มีพลังอำนาจรุนแรงที่ประเดประดังออกมา ไม่เพียงแค่ดวงหน้าที่หล่อเหลาเร่งเร้าใจ ท่าทางการยืนของเขาก็เห็นชัดว่าผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน เพียงแค่หยุดเดินก็ยืนตรงสง่าดังท่อนทวน! มีความเฉียบคมที่โดดเด่นเกินคนแสดงออกมาในทุกท่วงที!
ความเฉียบคมนี้ทำให้สภาพทุลักทุเลด้วยอาภรณ์และรองเท้าที่เปรอะเปื้อนโคลนถูกกดลงไปเสียสิ้น แม้แต่ความหล่อเหลาที่พลุ่งพล่านลุกโชนในตัวเขา ยังไม่ทำให้คนประทับใจได้เท่ากับความเฉียบคมเช่นนี้
ในยามนี้ ตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่เลื่องชื่อทั้งหลาย ล้วนพากันให้คุณค่ากับราศีที่อบอวลอ่อนละมุนทว่าสง่างาม ต่างนับหน้าถือตาความความสง่าเย้ายวนใจที่สูงส่งบริสุทธิ์เกินคน ประหนึ่งผู้สูงส่งที่เร้นกายอยู่ท่ามกลางหุบเขา ใต้ลำน้ำหนีจากทางโลก ดังเช่นเว่ยเจิ้งหง ดังเช่นเว่ยซินหย่ง แม่เฒ่าซ่งเห็นพี่น้องในตระกูลที่เป็นเช่นเว่ยเจิ้งหงมาจนเจนตาแล้ว ทว่ายังเพิ่งจะได้เห็นคนรุ่นหลังที่มีความเฉียบคมแจ่มชัดเช่นนี้เป็นหนแรก ยิ่งไปกว่านั้นความเฉียบคมแจ่มชัดนี้ยังสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำ สมเหตุสมผลและไม่อาจจะปิดบังได้เลยแม้แต่น้อย ถึงกับหลงลืมไถ่ถามเขา ได้แต่ยืนนิ่งเหม่อมองดูเขา
เมื่อชายหนุ่มชุดแดงเห็นนางมองมา ยังคงมิได้มีอาการสะทกสะท้านใดๆ เขาเอางอบส่งให้เด็กหนุ่มชุดเขียวครามคนหนึ่งที่ตามมาข้างหลังติดๆ ซึ่งดูท่าว่าจะเป็นเด็กรับใช้ถือเอาไว้ จัดเสื้อผ้าเล็กน้อย จากนั้นจึงประสานมือโค้งตัวลงต่ำคาราวะแม่เฒ่าซ่งที่อยู่บนระเบียงทางเดิน แล้วกล่าวเสียงกังวานว่า “หลานเขยเสิ่นจั้งเฟิง คราวะท่านย่า!”
แม่เฒ่าซ่งผู้หลักแหลมแยบยล เมื่อครู่นี้เพิ่งจะตกตะลึงกับความเฉียบคมของเด็กหนุ่มแปลกหน้า แล้วมาได้ยินคำว่า ‘หลานเขย’ และได้ยินอีกว่า ‘เสิ่นจั้งเฟิง’ เมื่อมองไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงลานระเบียงเนื้อตัวเต็มไปด้วยดินโคลนแต่กลับหันมาคารวะตน นางก็ถึงกับรู้สึกวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม
เขาก้มตัวในท่าคาราวะอยู่เป็นนาน แม่เฒ่าซ่งจึงเพิ่งจะพึมพำออกมาอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเองว่า “เสิ่นจั้งเฟิง?”
เป็นเฉินหรูผิงที่ดึงแขนเสื้อแม่เฒ่าซ่งเพื่อบอกเป็นนัยว่านางยังมิทันได้รับคารวะเสิ่นจั้งเฟิง แม่เฒ่าซ่งจึงเพิ่งจะพ่นลมหายใจออกมา แล้วกล่าวอย่างกึ่งร้องไห้กึ่งหัวเราะว่า “เด็กดี จะ…เจ้าลุกขึ้นก่อน!” แล้วโพล่งถามไปทันใดว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?”
…มิน่าเล่า เขาจึงสามารถบุกจากลานด้านหน้ารุ่ยอวี่ถังมาจนถึงเรือนหลังได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ คนตั้งมากมายตามหลังเขามาแต่กลับไม่มีผู้ใดกล้ามารั้งเขาเอาไว้ แขกสูงศักดิ์ที่เป็นทั้งหลานเขย และยังเป็นคู่หมั้นของเว่ยฉางอิ๋ง…ผู้ใดจักหาญกล้าลงมือกับเขาเล่า?
เหตุที่ไม่กล้าลงมือ ลำพังเพียงท่าทีสง่างามเฉียบคมในตัวของเสิ่นจั้งเฟิง นอกจากจะทำให้บรรดาคนเฝ้าประตูในแต่ละชั้นยอมหลีกทางและเดินตามมาคอยดูเผื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดแล้ว จักทำสิ่งใดได้อีก?
__________________________