ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 77 อาหลาน
“เหลวไหล! เหลวไหลสิ้นดี! นี่มันเหลวไหลที่สุด!” หากเสิ่นจั้งเฟิงเพียงแค่ประกาศตัวว่าเป็นหลานเขยตระกูลเว่ยก็ใช่ว่าจะไม่อาจแก้ไขได้ ดีชั่ว เรื่องแต่งงานของเขาต้องว่าตามคำเสิ่นเซวียนเท่านั้น อย่างมากก็เพียงผิดใจกับตระกูลเว่ยบ้าง ดีชั่วการถอนหมั้นอย่างไรก็ต้องผิดใจกับตระกูลเว่ยอยู่แล้ว… แต่กระบี่ ‘ลู่หู’ นั้นได้มอบให้แก่เว่ยฉางอิ๋งในนามของเสิ่นเซวียนไปแล้ว เฟิ่งโจวและเมืองหลวงห่างกันพันลี้ ต่อให้รู้ชัดว่าเสิ่นจั้งเฟิงปั้นแต่งความเท็จขึ้นมา แต่ในหนึ่งยามสามเค่อนี้ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเขาพูดส่งเดช ทั้งตระกูลเว่ยก็มิใช่ตระกูลที่จักเมินเชยได้ตามอำเภอใจ ต่อให้เสิ่นโจ้วไร้ยางอายเพียงใด ในสภาพการณ์ที่ดูแล้วเหมือนกับว่าพี่ใหญ่เห็นดีเห็นงามกับการแต่งงานของหลานชายไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่อาจจะพูดเรื่องถอนหมั้นอะไรเช่นนั้นได้อีก…
ยิ่งไปกว่านั้นเสิ่นจั้งเฟิงมาถึงช้ากว่าเสิ่นโจ้ว จากความเข้าใจของเสิ่นโจ้วที่มีต่อหลานชายผู้นี้ ต่อให้ไม่สนสิ่งใด ยังคงแข็งขืนจะถอนหมั้นต่อไป คาดกว่าเสิ่นจั้งเฟิงก็จักต้องบอกไปทันใดว่าเสิ่นเซวียนตัดสินใจใหม่แล้ว จึงได้ส่งเขาตามมาภายหลัง…เช่นนั้นแล้ว การที่เด็กคนนี้มาล่าช้ากว่าตนเพียงก้าวเดียวจักต้องไม่ใช่เพราะตามมาไม่ทัน แต่เป็นเพราะเขาจงใจชัดๆ!
ปัญหาก็คือทั้งที่เสิ่นโจ้วจะรู้แผนการของเขาอยู่เช่นนี้แต่กลับจนปัญญา…หรือจักยังสามารถบอกตระกูลเว่ยว่า ‘พวกเราตระกูลเสิ่นตัดสินใจถอนหมั้นแล้ว ข้ารับคำสั่งของพี่ชายและพี่สะใภ้เดินทางมาเพื่อขอหยกประดับรูปใบไม้ล้อมดอกไม้ชิ้นนั้นคืนเป็นการเฉพาะ เพียงแค่เจ้าเด็กเสิ่นจั้งเฟิงผู้นี้ไม่เห็นด้วย ยามนี้เขาเหิมเกริมยิ่งนัก ขโมยเอากระบี่ของบิดามามอบให้แก่คู่หมั้น จงใจสร้างความเท็จว่าตระกูลเสิ่นไม่ต้องการถอนหมั้น หากพวกท่านไม่เชื่อ สามารถส่งคนไปตรวจสอบความจริงกับพี่ใหญ่พี่สะใภ้ของข้าที่เมืองหลวงได้’ อย่างนั้นหรือ?
…แม้รุ่ยอวี่ถังจะอ่อนอำนาจลงบ้างชั่วขณะ แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล!
อย่าว่าแต่เสิ่นโจ้วเลย ต่อให้ตัวเสิ่นเซวียนเองมาอยู่ที่นี่ก็ไม่กล้าจะรังแกตระกูลเว่ยเช่นนี้! เดิมทีนั้นแต้มพรหมจรรย์บนข้อมือของเว่ยฉางอิ๋งมิได้จางหายไป และต้องมาถอนหมั้นในสถานการณ์เช่นนี้ก็นับว่าพวกตนเป็นฝ่ายผิดอยู่บ้าง เสิ่นจั้งเฟิงทำการเช่นนี้ไปแล้ว นอกเสียจากว่าคิดจะก่อความแค้นกับตระกูลเว่ยไปอย่างน้อยหลายชั่วคน หาไม่แล้ว… อย่างไรเสิ่นโจ้วก็รู้สึกว่าในสถานการณ์เช่นนี้หากเขายังจะเอ่ยเรื่องถอนหมั้นออกไป เขาก็ยังไม่หน้าหนาจนถึงขั้นนั้น
เสิ่นโจ้วที่ในใจกระอักเลือดสดออกมาไม่หยุดหย่อน ทำเอาสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและต้องอาศัยข้ออ้างว่าเป็นห่วงร่างกายของหลานชาย มากลบเกลื่อนเว่ยฮ่วน จนต้องให้บ้านเว่ยจัดเตรียมเรือนให้พวกเขาอาหลานสำหรับพักรอ
เสิ่นจั้งเฟิงอาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าเพิ่งจะออกจากห้องอาบน้ำ เสิ่นโจ้วก็เข้าไปรับอย่างเกรี้ยวกราดคับอก ด้วยการยกเท้าขึ้นมาถีบเขาหนหนึ่งจนเขาเซออกไป แล้วด่าทอดังสายฟ้าผ่า “เรื่องแต่งงานสำคัญนัก บิดามารดาเป็นผู้กำหนด! ท่านพ่อท่านแม่เจ้าล้วนตัดสินใจให้ข้ามาถอนหมั้นแล้ว แล้วเจ้าตามเอากระบี่ ‘ลู่หู’ มามอบคุณหนูตระกูลเว่ยในนามของบิดาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?! ฮ้า!”
“ยามนี้ท่านอากำลังโกรธ ยังขาดสติ” เสิ่นจั้งเฟิงถูกเขาถีบแต่ก็กลับไม่ได้สะทกสะท้านใดๆ หลังจากที่ลุกขึ้นมาอย่างมั่นคงแล้ว ก็กล่าวด้วยสีหน้าปกติว่า “ท่านลองคิดถึงสถานการณ์ในยามนี้ดูหรือไม่?”
“หือ?” เสิ่นโจ้วขมวดคิ้ว และกลับเก็บโทสะไปในทันใด
…ผู้สืบสกุลในบ้านใหญ่ของตระกูลเสิ่นกำลังรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ลำพังเพียงท่านราชครูเสิ่นเซวียนผู้เดียว ทั้งจากภริยาและอนุก็มีบุตรชายถึงหกคน รวมบุตรของเสิ่นโจ้ว ทั้งหมดก็มีคุณชายแปดคน สี่คนในจำนวนนั้นล้วนเป็นบุตรของบ้านใหญ่ เพราะตระกูลเสิ่นและตระกูลหลิวต้องต่อสู้กับพวกตี๋และหรงมานานปี ไม่อาจย่ามใจได้ ไม่เหมือนกับพวกตระกูลเว่ยสองสามตระกูลนี้ ซึ่งตำแหน่งประมุขนั้นสืบทอดกันมาโดยสายเลือด เว้นเสียแต่ว่าประมุขไร้บุตรชายเท่านั้น
กฎเกณฑ์ที่มีมาแต่ไรของตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงและตระกูลหลิวแห่งตงหูล้วนคือ ขอเพียงเป็นพี่น้องในตระกูล ไม่เกี่ยวว่าจักเป็นบุตรบ้านใหญ่ จากอนุ หรือเป็นญาติใกล้ไกล ขอเพียงมีความสามารถเหนือผู้อื่น ก็ล้วนมีความเป็นได้ว่าจะได้สืบทอดตำแหน่งประมุข ดังนี้แล้วจึงกล่าวได้ว่า หลิวซีสวินซึ่งได้รับการบ่มเพาะจากตระกูลหลิวแห่งตงหูมาอย่างเต็มกำลังในยามนี้ ก็มิใช่พี่น้องในสายหลัก แต่เพราะความสามารถของเขาโดดเด่น ตระกูลหลิวจึงคอยสอนสั่งและสนับสนุนเขามาโดยตลอดด้วยมองว่าเขาเป็นตัวเลือกที่จะรับตำแหน่งประมุขคนต่อไป
ทว่าแม้เสิ่นจั้งเฟิงจะเป็นหนึ่งในบุตรชายบ้านใหญ่ในรุ่นนี้ แต่เขาอยู่ในลำดับที่สาม บนหัวเขานั้นยังคงพี่ชายคนโตซึ่งเป็นบุตรคนโตของบ้านใหญ่และพี่รองซึ่งเป็นบุตรชายของอนุ ซึ่งทั้งสองคนล้วนถูกส่งตัวมาที่ซีเหลียงเพื่อสู้รับกับพวกตี๋ตั้งแต่ยังมิทันถึงวัยเกล้าผม ใช้ดาบใช้ทวนกรำศึกอยู่ในสนามรบขัดเกลาตนเองจนเป็นที่ประจักถึงความองอาจห้าวหาญและจัดเจนในการรบ
บรรดาน้องชายที่อยู่ถัดจากเขา ก็มีหลายคนที่ได้รับการยกย่องว่ามีสติปัญญาล้ำเลิศ ร่ำเรียนเป็นผลสัมฤทธิ์ หากพิจารณาดูแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงนั้นอยู่ที่เมืองหลวงตลอดเวลา ไม่เคยไปที่ซีเหลียงเลย ยังไม่เคยรู้ว่าจักอดทนกรำศึกในสนามรบได้มากน้อยเพียงใด การประลองต่อหน้าพระพักตร์นั้นด้วยถูกเลือกให้ไปและไม่อาจเพิกเฉยต่อความบันเทิงของฮ่องเต้ได้ และข้อห้ามต่างๆ ในราชสำนักก็เคร่งครัดนัก ไม่อาจแสดงฝีมือของตนออกมาได้อย่างเต็มที่ การที่เขาได้รับการยอมรับนั้นแม้จะกดหลิวซีสวินลงจนมิด แต่กลับยังห่างไกลกับพี่ชายทั้งสองคนมากนัก
ในเรื่องของยุทธศาสตร์ เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางแล้ว…ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นชื่อเรื่องการให้รางวัลและลงทันฑ์ไปตามพระทัย จะว่าไป หากกล่าวถึงเรื่องการรบเพียงบนกระดาษ หรือจะเทียบได้กับการเข้ารบในสนามรบจริงๆ? แม้กระทั่งด้านบุ๋น จนถึงวันนี้เขาก็ยังมิเคยเขียนบทความประเภทกลอนเพลงโต้สดออกมาได้เลย…ในเรื่องนี้แล้ว เสิ่นจั้งเฟิงยังเทียบไม่ได้กับหลานสาวตัวน้อยของเขา เสิ่นซูเหยียน ที่อายุเพียงน้อยๆ ก็ได้ฉายาว่าเทพธิดากวีน้อยแล้ว…
เขาอายุยังมิทันถึงวัยสวมหมวกก็ได้รับแต่งตั้งจากในตระกูลให้เป็นประมุขคนต่อไป หาใช่เพราะเขาแข็งแกร่งกว่าพี่น้องในทุกเรื่อง แต่ด้วยคุณลักษณะสองประการที่ล้ำเลิศกว่าพี่น้องทุกคนในตระกูล หนึ่งคือความใจกว้างโอบอ้อมอารี สองคือสายตาที่มองการไกล
แม้แต่เสิ่นโจ้วที่อายุเกือบจะครึ่งร้อยแล้ว ตั้งแต่ในช่วงเวลาที่เสิ่นจั้งเฟิงเข้าพิธีเกล้าผม เขาก็ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่าการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของตนเองนั้นห่างไกลกับหลานชายเป็นอย่างมาก
เมื่อได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงพูดมาในยามนี้ เสิ่นโจ้วก็สงบลงไปทันใด และไม่ทุบตีด่าทอหลานชายอีก แล้วลงนั่งที่ที่นั่งทั้งสองที่ซึ่งอยู่ข้างหน้าต่าง… ก่อนหน้านี้เสิ่นโจ้วได้สั่งให้บ่าวไพร่ออกไปแล้ว เพื่อมิให้มีคนมาพบเห็นเข้าว่าเสิ่นจั้งเฟิงถูกทุบตี หลานชายที่โตถึงเพียงนี้แล้ว อีกทั้งคนในตระกูลยังฝากความหวังอันยิ่งใหญ่เอาไว้กับเขา ต่อให้มีเพียงบ่าวที่เชื่อใจได้พบเห็นก็ยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และจักต้องคอยระวังด้านนอกเอาไว้ด้วย อย่าให้บ้านตระกูลเว่ยมาลอบแอบฟังเอาได้
อาหลานลงนั่ง เสิ่นโจ้วเอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “หรือว่าสถานการณ์ในวันสองวันนี้มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นพี่ใหญ่จึงได้เปลี่ยนใจ ยอมให้เจ้าแต่งงานกับบุตรสาวตระกูลเว่ยต่อไปรึ?”
ในขณะนี้ เสิ่นโจ้วรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย คิดในใจว่ากระบี่ ‘ลู่หู’ เป็นของรักของห่วงของเสิ่นเซวียนผู้พี่ชาย แม้ตนเองซึ่งเป็นมือเป็นเท้าเพียงผู้เดียวก็ยังไม่ยอมมอบให้ แม้บางครั้งเสิ่นจั้งเฟิงจะเคยขัดคำสั่งของผู้ใหญ่ แต่กลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยครั้งนัก ของรักของห่วงของผู้ใหญ่เช่นกระบี่ ‘ลู่หู’ นี้ หลานชายผู้นี้ก็หาใช่คนที่ไม่รู้จักว่าสิ่งใดควรไม่ควร แล้วจักไปเอามาส่งเดชได้อย่างไร?
อย่าได้เป็นเพราะตนเพิ่งออกจากเมืองหลวงมา แล้วเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น หรือสถานการณ์เปลี่ยนแปลงฉับพลัน ยามนี้กลับต้องการให้การแต่งงานกระชับสัมพันธ์กับตระกูลเว่ยดำเนินต่อไป? เพียงแต่ต่อให้บุตรสาวตระกูลเว่ยผู้นี้ยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ แต่ชื่อเสียงกลับเสื่อมเสียไปจนสิ้นแล้ว ช่างเป็นการไม่ยุติธรรมกับเสิ่นจั้งเฟิง… ก็ไม่น่าเล่าพี่ใหญ่จึงได้ยอมสละ ‘ลู่หู’ ออกมา เพื่อช่วยเหลือว่าที่ลูกสะใภ้ให้กลับจากอัปลักษณ์เป็นงดงาม ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์นางในไปในอีกทิศทางหนึ่ง
อย่างไรเสียต่อให้ ‘ลู่หู’ จักเป็นของรักของห่วงของเสิ่นเซวียนปานใด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางจะเทียบกับเสิ่นจั้งเฟิงได้
ทว่า…
เสิ่นจั้งเฟิงกระแอมไอเบาๆ หนหนึ่ง พลางชี้ไปที่เอวของตน แล้วว่า “ท่านอาไม่รู้ เพราะท่านพ่อไม่อนุญาตให้หลานมาเฟิ่งโจว หลานต้องใช้ตราเข้าราชสำนักไปขอลาพักจากฮ่องเต้ ยืมม้าหลวงมาสองตัว แล้วออกเดินทางทันที และเพราะต้องเร่งร้อนออกจากเมืองหลวง เงินทองในตัวมีไม่เพียงพอ ยังต้องเอาหยกประดับที่พกติดตัวไปจำนำไว้แถบใกล้ๆ เมืองหลวง จึงเตรียมของจนพร้อมเดินทางมาได้ แต่เพราะกังวลว่าท่านพ่อจะส่งคนใน ‘จี๋หลี’ มาจับข้า ตลอดทางจึงนอนกลางดินกินกลางทราย จึงได้เข้ามาถึงที่พักกลางทางได้อย่างง่ายดาย… ส่วนเรื่องว่าในระยะนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงเป็นเช่นไรนั้น หลานก็ไม่รู้เลย!”
สีหน้าของเสิ่นโจ้วเปลี่ยนไปทันใด แล้วร้องออกมาว่า “แล้วที่เจ้าว่าสถานการณ์…?”
“หลานหมายความว่า ยามนี้สัญญาแต่งงานได้ดำเนินต่อไปเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจะมีโทสะเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ยามนี้แม้จะตีหลานให้ตาย ก็ไม่อาจ…” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวถึงตรงนี้ เสิ่นโจ้วก็แทบจะล้มประดาตาย!
เขาถลกแขนเสื้อขึ้นมาด้วยโทสะอย่างไม่อาจยั้งได้ แล้วกำมือจนกระดูกลั่นกร๊อบแกร๊บ… ไม่ใช่เขาผู้เป็นอาจะไม่เอ็นดูหลานชายผู้นี้ แต่หลานชายเยี่ยงนี้…หลานชายเยี่ยงนี้จะไม่ให้ตีได้อย่างไรกัน!
น่าเสียดายก็แต่ ในเวลากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเช่นนี้ เด็กรับใช้ข้างนอกกลับพลันร้องบอกมาจากนอกหน้าต่างว่า “แม่นมข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ามาขอรับ บอกว่าคุณชายสามเดินทางมาลำบาก ทั้งยังตากฝน จึงได้ส่งสุรามาให้คลายหนาวเป็นการพิเศษขอรับ”
เสิ่นโจ้วหน้าเขียวคล้ำ แล้วเก็บหมัดที่เหลืออีกเพียงหนึ่งชุ่น[1]ก็จะทุบไปที่หัวของเด็กคนนี้ ท่ามกลางสายตายินดีปรีดิ์เปรมของเสิ่นจั้งเฟิง จากนั้นก็จัดแจงเสื้อผ้าของตนสักหน่อยด้วยความรวดเร็ว แล้วกล่าวอย่างกลัดกลุ้มว่า “เป็นแม่นมเฉินรึ? รีบเชิญ!”
พักหนึ่งจากนั้น เฉินหรูผิงก็ถือกล่องอาหารเข้าประตูมาด้วยตนเอง แล้วยิ้มให้กับคนทั้งสองเป็นการคารวะ พลางยื่นกล่องอาหารออกไป เอ่ยปากถามเป็นอันดับแรกว่าร่างกายของเสิ่นจั้งเฟิงเป็นเช่นไรบ้าง ต้องการเชิญหมอมาตรวจดูหรือไม่ เสิ่นจั้งเฟิงย่อมต้องกล่าวคำขอบคุณและปฏิเสธไปด้วยความเกรงใจ เฉินหรูผิงมิได้อยู่ที่นี่ต่อ เมื่อถ่ายทอดคำทักทายปราศรัยและความห่วงไยของแม่เฒ่าซ่ง และบอกว่าคืนนี้เว่ยฮ่วนจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกเขาที่เดินทางมาไกล จากนั้นก็อำลาและจากไป…
ที่ทั้งสองถูกขัดจังหวะครานี้ ขณะที่เฉินหรูผิงสอบถามไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มือของนางก็จัดวางสุราและอาหารไว้บนโต๊ะของพวกเขาอาหลานอย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังรินสุราไว้ให้พวกเขาคนละจอก ว่ากันว่า ตีกลองศึกหนแรกฮึกเหิม หนสองถดถอย หนสามเหือดแห้ง หลังจากกล่าวคำตามมารยาทกับเฉินหรูผิงสักพัก และมีอาหารและสุราวางอยู่ตรงหน้าเต็มไปหมด เสิ่นโจ้วก็ไม่มีแก่ใจจะลงไม้ลงมือแล้ว พลางกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ดื่มสุราสักสองจอกอบอุ่นร่างกายก่อนเถิด”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มและให้เขาดื่มก่อน เสิ่นโจ้วพลันเอื้อมไปหยิบจอกสุราตรงหน้าตนขึ้นมาจิบคำหนึ่ง พลางหรี่ตา แค่นเสียงกล่าวว่า “เด็กดี วันนี้เจ้าประจบผู้ใหญ่ตระกูลเว่ยทั้งสองท่านเสียปิติยินดีไม่เบา สุราซวงหลางนี้ เพราะมีกรรมวิธียุ่งยากทั้งวัตถุดิบที่ใช้ก็ต้องคัดสรรมาอย่างดี ตลอดมาจึงไม่ได้ทำออกมามากนัก ภายหลังจึงกลายเป็นว่าแม้แต่กรรมวิธีก็ยังไม่มีการถ่ายทอดแล้ว ยามนี้สุราชนิดนี้ที่แต่ละตระกูลเก็บรักษาเอาไว้จึงมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย และล้วนถือว่าเป็นของล้ำค่า แม้แต่บิดาเจ้าก็จักมีแต่ยามที่ยินดีปรีดาเป็นที่สุดจึงจะเอามารินลิ้มรสสักจอก ยามนี้แค่เพียงให้เจ้าอบอุ่นร่างกาย ตระกูลเว่ยถึงกลับเอาออกมาให้หนึ่งไห!”
“หากท่านอาชอบ หลานก็จักดื่มเพียงจอกนี้ ส่วนทั้งไหนี้ยกให้ท่านอาเป็นอย่างไร?” เสิ่นจั้งเฟิงฟังแล้วยิ้มพลางกล่าวออกมา
เสิ่นโจ้วแค่นเสียงหัวเราะออกมาหนหนึ่ง แล้วจิบไปอีกคำ ทันใดนั้นก็กล่าวว่า”บิดาเจ้าไม่แม้อนุญาตให้เจ้ามาเฟิ่งโจว แล้วเจ้าไปเอากระบี่ ‘ลู่หู’ ออกมาจากห้องหนังสือของเขาได้อย่างไร? ต่อให้จะหลอกคนอื่นออกมาได้ แต่คนเฝ้าประตูก็จะไม่ยอมให้เจ้าเอาไปหรอกกระมัง?”
‘ลู่หู’ เป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง แม้จะสวมเสื้อผ้าที่มีขนาดกว้างเพียงใดก็ไม่อาจซุกซ่อนเอาไว้ได้…หาไม่แล้ว ความคิดต้องการ ‘ลู่หู’ ของเสิ่นโจ้วก็มิได้มีมาเพียงปีสองปี จนใจที่เสิ่นเซวียนไม่ยอมให้เสียที แม้ภายนอกนั้นเสิ่นโจ้วจะมีรูปลักษณ์หยาบกระด้างแต่ยามเขาทำการใดกลับให้ค่ากับความสุขุมรอบคอบยิ่ง และด้วยเพราะอายุอานามก็ปูนนี้แล้ว แต่ก็หาใช่ว่าจักไม่เคยมีนอกลู่นอกทางกับพี่ชายแท้ๆ ของตนมาก่อน กระบี่เล่มนี้วางอยู่ในห้องหนังสือตลอดเวลา และมี ‘จี๋หลี’ คอยเฝ้าอยู่ คิดอยากจะขโมยเอามาดื้อๆ ล้วนเป็นไปไม่ได้
ยังไม่นับเรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงกลับเอามาอยู่ในมือได้อย่างง่ายดาย แต่นี่เขายังนำมันมาด้วยจนถึงที่เฟิ่งโจว แล้วมามอบให้แก่คู่หมายของตนในนามของเสิ่นเซวียนอีก…
เมื่อสงบสติอารมณ์ลง คำถามที่เสิ่นโจ้วคิดคำนึงถึงที่สุดก็คือเรื่องนี้ว่า… ข้าคอยคิดมาตลอดหลายปีนี้ก็ยังเอามาไม่ได้ ไยเจ้าเด็กคนนี้จึงทำได้?
“หลานขอให้จั้งหนิงและซูเหยียนช่วย” ในดวงตาของเสิ่นจั้งเฟิงเผยความเปรมปรีดิ์ออกมา กระแอมเบาๆ แล้วว่า “จั้งหนิงใส่ทำนองเพลงให้กับกลอนบทหนึ่งที่ซูเหยียนเพิ่งจะเขียนออกมา อาศัยจังหวะตอนที่ท่านพ่อว่างเว้นจากกิจต่างๆ แล้วเข้าไปในห้องหนังสือพร้อมด้วยซูเหยียนเพื่อบรรเลงให้ท่านพ่อฟัง”
เสิ่นโจ้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “จากนั้นก็เอากระบี่ซ่อนไว้ใต้ฉินและนำออกมารึ? นี่คงไม่ใช่กระมัง! ในเมื่อพี่ใหญ่ก็อยู่ในห้องหนังสือด้วย จักไม่พบเห็นได้อย่างไรกัน?”
“ก่อนหน้านั้นหลานได้สั่งให้คนทำกระบี่ที่เหมือนกับ ‘ลู่หู’ ออกมาเล่มหนึ่ง ทั้งตัวกระบี่และฝักกระบี่ให้จั้งหนิงเก็บเอาไว้ใต้ฉินและนำเข้าไป… จั้งหนิงหรือจะแต่งทำนองเพลงเป็น? ยิ่งไม่ต้องบอกว่าฝีมือฉินของนางนั้นยิ่งย่ำแย่เสียกว่าการแต่งทำนองเพลงเสียอีก ท่านพ่อฟังเสียจนปวดหัวนักหนาแต่ก็ใจไม่แข็งพอจะต่อว่านาง ทำได้เพียงพยายามดูเอกสารเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ยามที่ท่านพ่อดูเอกสาร กระบี่เล่มนี้ก็อยู่ข้างกายท่านพ่อพอดี จั้งหนิงอาศัยโอกาสให้ซูเหยียนดีดฉินแทนนางสองสามหน แล้วตนเองลุกขึ้นสับเปลี่ยนเสีย จากนั้น…”
เสิ่นโจ้วกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “แล้วเด็กรับใช้ในห้องหนังสือเล่า?”
“ซูเหยียนบอกว่านางเพียงอยากให้ท่านพ่อฟังก่อน จึงได้ยืนกรานให้ท่านพ่อไล่เด็กรับใช้ออกไปเสีย” เสิ่นจั้งเฟิงลูบคางครั้งแล้วครั้งเล่า พูดพลางยิ้มว่า “ท่านพ่อรักใคร่พวกนางมาโดยตลอด ย่อมไม่ถือสากับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้”
“…” ด้วยประการฉะนี้ เจ้าหลานชายที่ไม่ได้ทำให้วางใจผู้นี้ นอกจากวางแผนการขโมยกระบี่ล้ำค่าของรักของห่วงของบิดาแล้ว ยังถึงกับลากน้องสาวร่วมท้องเสิ่นจั้งหนิงที่อายุเพิ่งจะสิบสามปีและหลานสาวเสิ่นซูเหยียนอายุเพียงสามขวบมาเกี่ยวข้องด้วยหรือนี่? ตามที่เขาว่ามา หรือว่าจนยามนี้เสิ่นเซวียนก็ยังมิทันรู้ตัว…ว่า ‘ลู่หู’ แสนรักของเขา ถูกลูกชายลูกสาวอกตัญญูเหล่านี้สับเปลี่ยนไปแล้ว?
เสิ่นโจ้วยอมรับว่าเพื่อกระบี่เล่มนี้แล้ว เขาเคยคิดนอกลู่นอกทางมาไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งหน แต่ทุกคราก็ล้วนรู้สึกว่าตนละเมิดธรรมเนียมของบุตรหลานของตระกูลสูงศักดิ์เป็นอย่างยิ่ง ทว่าต่อให้เขาไร้ยางอายเพียงใดก็ไม่เคยมีความคิดจะใช้หลานสาวตัวน้อยหรือกระทั่งหลานปู่ที่คนหนึ่งอายุสิบสามปีอีกคนหนึ่งสามขวบ… บอกว่าเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงได้กระบี่มาแล้ว จากนั้นก็เข้าไปขอลาพักกับฮ่องเต้และยืมม้า อาศัยเงินที่ใช้หยกประดับกายไปจำนำมาใช้เดินทางมาจนถึงเฟิ่งโจว แต่กลับไม่รู้ว่าหลานสาวและหลานปู่ที่ช่วยเขาขโมยกระบี่มาป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้างแล้ว…
เขาคิดอยู่เป็นนานแล้วรู้สึกว่าตนเทียบไม่ติดเลยจริงๆ พลางยกจอกสุราขึ้นซดอย่างแรง แล้วเงยหน้าดื่มจนหมดจอกในคราเดียว!
เสิ่นจั้งเฟิงคงดูความกลัดกลุ้มใจของอาตนออก จึงได้อธิบายไปว่า “เดิมทีข้าวางแผนว่าจะทำการผู้เดียว ทว่าหลังจากที่ทำฝักเปล่าซึ่งจะใช้สับเปลี่ยนกับ ‘ลู่หู’ เสร็จและนำกลับบ้าน กลับถูกพวกนางเห็นเข้าพอดี จั้งหนิงซุกซนนัก จักต้องขอผสมโรงด้วยให้จงได้ หากข้าไม่ให้พวกนางทำ นางก็จะเปิดโปงข้าต่อหน้าท่านแม่ เช่นนั้นแล้ว…”
หลานสาวและหลานปู่ที่ข้าเลี้ยงมาก็ไม่เลวเลยนี่? เสิ่นโจ้วยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาโดยพลัน…
อาที่แสนเจ็บปวดใจรู้สึกโมโหโกรธามาจากขั้วหัวใจ ดังนั้นแล้วเสิ่นโจ้วจึงได้แค่นเสียงหึอย่างเย็นเยือกออกมาคราหนึ่ง กล่าวเย็นชาว่า “เอาล่ะ เช่นนั้นยามนี้มาว่ากันเรื่องเหตุใดเจ้าจักต้องแต่งงานกับบุตรสาวบ้านเว่ยที่ชื่อเสียงย่อยยับผู้นี้ให้จงได้? ในยามนี้เด็กสาวผู้นี้งดงามไม่เบาดังว่า แต่เจ้าก็เพียงเคยเห็นนางคราหนึ่งตั้งแต่นางยังอยู่ในผ้าอ้อมนี่? อย่าได้บอกข้าว่าสิบกว่าปีก่อนที่เคยเห็นตั้งแต่อยู่ในผ้าอ้อมนั้นเจ้ายังจำได้ถึงยามนี้! อีกประการหากเจ้าชอบหญิงรูปโฉมงดงาม ในบ้านจะไม่มีให้เจ้าหรือไร!”
เห็นเสิ่นจั้งเฟิงเอาแต่หัวเราะไม่พูดจา เสิ่นโจ้วจึงสูดหายใจลึก กล่าวเสียงหนักว่า “ข่าวคราวจากในวังนั้นยืนยันมาแล้ว ว่าในการประลองยุทธในงานเลี้ยงพระราชทานคืนวันส่งท้ายปีเก่า ผู้ที่ได้สามอันดับแรกล้วนได้เลื่อนขั้นเป็นกรณีพิเศษ และได้อภิสิทธิ์ในการออกรบ แม้จะมีเพียงสามอันดับ ทว่าทั้งรางวัลและสิทธิประโยชน์ของผู้ที่ได้ที่หนึ่งกลับห่างไกลกับที่สองและที่สามยิ่งนัก ยามนี้คาดว่าตระกูลหลิวจักต้องวางแผนนานัปการเพื่อช่วยให้หลิวซีสวินได้เป็นที่หนึ่ง เจ้าไม่คอยเตรียมตัวการประลองยุทธครานี้อยู่ที่เมืองหลวงแต่กลับวิ่งมาขัดขวางการถอนหมั้นที่เฟิ่งโจว… เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่าหลายปีมานี้ด้วยท่านเว่ยลาออกจากราชการทำให้กำลังอำนาจของรุ่ยอวี่ถังถดถอยลงไป แม้ว่าท่านเว่ยยังอยู่ ทว่า…”
อย่างไรเสีย ยามนี้ก็ยังอยู่ในบ้านตระกูลเว่ย แม้จะมีคนที่วางใจเฝ้าอยู่ภายนอก เสิ่นโจ้วก็ยังคงรู้สึกว่าหากพูดถึงตระกูลเว่ยในเรื่องร้ายมากเกินไปก็จักไม่เป็นการสมควร จึงได้หยุดปากเสีย แล้วถามไปทีละคำว่า “เจ้ายืนกรานจะแต่งงานกับบุตรสาวสกุลเว่ยผู้นี้ ด้วยเหตุผลใดกันแน่?!”
____________________________
[1] ชุ่น เป็นหน่วยวัดความยาวแบบจีน มีความยาวประมาณ 1 นิ้ว