ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 78 ข่มเหงเกินไป
เมื่อเห็นว่าเสิ่นโจ้วไถ่ถามด้วยสีหน้าจริงจัง เสิ่นจั้งเฟิงก็เก็บรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าไปเสีย มีความเย็นชาอยู่ในที แล้วกล่าวว่า “หรือท่านลุงไม่รู้สึกว่า คนเหล่านั้นข่มเหงกันเกินไป!”
เสิ่นโจ้วขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เจ้าหมายถึงเรื่องที่พวกเขาใช้บุตรสาวสกุลเว่ยมาทำลายหน้าตาของบ้านเราหรือ? แค้นนี้เจ้านึกหรือว่าบ้านเราจะไม่จำเอาไว้? แต่เรื่องสำคัญในยามนี้คือเรื่องที่หนึ่งในการประลองยุทธ์ในงานเลี้ยงประราชทานวันส่งท้ายปีเก่า!” เขาคิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงมีชื่อตั้งแต่อายุยังน้อย ครานี้ถูกผู้คนครหาว่าคู่หมายที่เขาหมั้นไว้ตั้งแต่เล็กยังมิทันได้เข้าบ้านก็มาเสียความบริสุทธิ์แล้ว เมื่อถูกเยาะเย้ยเสียเต็มที่ จนเคืองโกรธอย่างหนัก จึงไม่ยอมฟังคำเย้ยหยันของคนพวกนั้นให้ต้องถอนหมั้นครานี้
เสิ่นโจ้วถอนหายใจ เขาเองก็รู้สึกว่าหลานชายถูกให้ร้ายหนักหนา อีกไม่กี่เดือนก็จักแต่งงานแล้ว กลับมีข่าวออกมาว่าคู่หมายที่หมั้นกันมาแต่เล็กถูกคนร้ายข่มเหงรังแก ถึงในยามปกติเสิ่นจั้งเฟิงจะเป็นคนใจกว้าง แต่เรื่องเช่นนี้สำหรับผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ผู้ใดจักสามารถรับได้ไหว? ยิ่งไปกว่านั้นเสิ่นจั้งเฟิงกำลังอยู่ในวัยที่เลือดลมพลุ่งพล่าน
เพียงเพราะหลานชายก็โมโหเสียจนเลอะเลือน ในเวลาเช่นนี้ควรจักรีบจัดการถอดหมั้นไปเสียโดยเร็วจึงจะถูกต้อง หาไม่แล้วก็จะถูกดึงไปเกี่ยวข้องด้วย เหตุใดกลับจะมาทำตามสัญญาแต่งงานต่อไปเล่า? ยามนี้หากการแต่งงานครานี้ยังดำเนินต่อไปจะมีประโยชน์ใดอีก?
ดังนั้นเขาจึงกล่าวไปอีกว่า “ต้นเหตุที่ผู้คนเหล่านั้นเย้ยหยันแท้จริงแล้วก็ด้วยเพราะบุตรสาวสกุลเว่ย ขอเพียงพวกเราถอนหมั้น แล้วจักเกี่ยวกับบ้านเราเรื่องใด?”
เสิ่งจั้งเฟิงขมวดคิ้วขึ้นมา กล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ท่านอาก็คิดเช่นนี้หรือ? หากเป็นดังนี้ แล้วจะต่างอะไรกับเหล่าคนที่ไม่ไถ่ถามถึงดีชั่วดำขาวพวกนี้?”
เสิ่นโจ้วตะลึงงั้น
แล้วฟังเสิ่นจั้งเฟิงพูดต่อไปว่า “ความผิดอยู่ที่พวกลอบสังหารเหล่านั้น อยู่ที่ผู้บงการอยู่เบื้องหลังตัวจริง ว่าที่ภรรยาของหลานผู้นี้ผิดที่ใด?”
“บุตรสาวสกุลเว่ยนั้นมิได้ผิดที่ใดจริงๆ เพียงแต่เด็กสาวผู้นี้โชคไม่ดี” สีหน้าของเสิ่นโจ้วเริ่มหนักขึ้น แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เรื่องนี้นั้น แน่นอนว่าเป็นตระกูลเสิ่นผิดต่อตระกูลเว่ย ทว่าผิดก็ส่วนผิด แต่ก็ไม่อาจเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่มีต่อตระกูลเว่ย แล้วจักให้เจ้าต้องมาทนรับคำเย้ยหยันของผู้คนไปชั่วชีวิต! ยิ่งไปกว่านั้นแม้เรื่องที่มีชาวบ้านเฟิ่งโจวไปขวางเกี้ยวร้องเรียนจะเป็นการให้ร้ายจริงๆ แต่เรื่องที่เด็กสาวผู้นี้ไปตามนัดหมายแทนน้องชาย และไปอยู่พูดคุยกับเว่ยซินหย่งแห่งจือเปิ่นถังในหุบเขาเพียงลำพังอยู่ครึ่งวันกลับเป็นเรื่องจริง! ในหุบเขาแห่งนั้นหาได้มีเพียงเว่ยซินหย่งนายบ่าว ยังมีพวกโจรโฉดแห่งเขาเฟิ่งฉีด้วย! ลำพังเพียงประเด็นนี้ การถอนหมั้นของพวกเราก็มีหลักฐานอยู่ทนโท่!”
เขากล่าวเตือนไปว่า “หรือที่เจ้าดึงดันจะทำตามสัญญาแต่งงานต่อไปก็เพราะสงสาร บุตรสาวสกุลเว่ยผู้นี้? เจ้าอย่าได้ใจอ่อนทำเรื่องเลอะเลือนไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบเชียว! ภาษิตว่า คำคนกลับผิดเป็นถูก คำว่าร้ายป่นกระดูกได้ ความความอัปยศและเสียงเย้ยหยันที่ภรราซึ่งเป็นเช่นนี้จักนำมาสู่เจ้าในภายภาคหน้านั้น มิใช่สิ่งที่เจ้าจะจินตนาการได้เชียว! ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เจ้าสงสารนาง แล้วเจ้าเคยคิดถึงลูกๆ ของเจ้าในภายภาคหน้าบ้างหรือไม่? เมื่อมีมารดาที่มีชื่อเสียงบ่นบี้ ลูกๆ ของเจ้าในวันหน้าก็จะต้องถูกผู้คนเย้ยหยันรังแก… เจ้าลองคิดดูให้ดีว่าเมื่อมีผลเหล่านี้ตามมา แล้วเจ้าจักมีเรี่ยวแรงเหลือพอไปรับหน้าที่ประมุขตระกูลได้อย่างไร!”
“หากเห็นใจนางจริงๆ การแต่งงานนี้ก็ให้ตระกูลเว่ยเป็นฝ่ายถอนหมั้นเสียก็สิ้นเรื่อง บ้านเราค่อยชดเชยให้ตระกูลเว่ยหรือเด็กสาวผู้นี้ด้วยหนทางอื่นสักครา เรื่องแต่งภรรยาเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต หาได้มีผู้ใดแต่งเข้าบ้านด้วยความเห็นใจสงสารไม่! เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะยอมรับได้หรือ!”
เสิ่นจั้งเฟิงวางตะเกียบงาช้างลง มองอาด้วยสายตานิ่งสงบคราหนึ่งแล้วว่า “หัวหน้าพวกลอบโจมตีเป็นว่าที่ภรรยาของหลานลงมือสังหารต่อหาผู้คน”
“แล้วอย่างไร?” เสิ่นโจ้วกล่าวเย็นชา “เจ้าอย่าคิดว่าเพียงกระบี่ ‘ลู่หู’ หนึ่งเล่ม แล้วเอ่ยอ้างนามของบิดาเจ้าก็จะทำให้เสียงเล่าลือผันเปลี่ยนไปได้! หากคำเล่าลือควบคุมได้ง่ายดังว่า ตระกูลเว่ยเลื่องชื่อด้านบุ๋น กลยุทธเรื่องการกลับดำเป็นขาวนั้นเก่งกาจกว่าพวกเราชาวบู๊ตั้งไม่รู้เท่าใด! ด้วยฝีมือของท่านเว่ยป่านนี้คงจัดการไปได้ตั้งนานแล้ว!”
“ในเมื่อสามารถสังหารหัวหน้าพวกลอบโจมตีบนถนนหลวงต่อหน้าผู้คนได้หากนางหลบหนีมาเพียงลำพัง คิดว่าคงจักไม่มีปัญหาใด” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวราบเรียบ “แต่นางไม่ทำ นางเอาตัวมาบังอยู่ข้างหน้าน้องชายร่วมท้องเว่ยฉางเฟิง สุดท้ายก็ปกป้องเว่ยฉางเฟิงให้ถอยเข้าไปในป่าและเอาชีวิตรอดมาได้! จากนั้นก็ทำเช่นนั้นอีกด้วยการไปตามนัดหมายแทนน้องชาย เดิมทีนางสามารถให้เว่ยฉางเฟิงไปกับคนของเว่ยซินหย่ง แล้วตนก็กลับมารายงานคนในตระกูลที่เฟิ่งโจว ค่อนส่งค่อยไปช่วยเหลือเว่ยฉางเฟิง! หากบอกว่านางไม่ยอมถอยยามอยู่บนถนนหลวง อาจเพราะคิดว่าวรยุทธของตนเก่งกาจพอ เป็นดังโคที่ไม่กลัวเสือมาแต่กำเนิด แต่หลังจากเผชิญกับเรื่องน่าขวัญผวาในป่ามาหลายวัน กลับยังมีความกล้าจะไปตามนัดแทนน้องชาย…ท่านอาคิดว่านางจะไม่รู้หรือไรว่าที่ตนไปครานี้จะต้องลงเอยเช่นไร?”
เสิ่นโจ้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าจักบอกอีกหน บุตรสาวสกุลเว่ยมีคุณธรรมสูงส่งจริงแท้! หากนางมิได้หมั้นหมายกับเจ้า ข้าเองก็ชื่นชมสตรีเช่นนี้อยู่ไม่น้อย… สตรีที่มีความสามารถทั้งยังมีคุณธรรมสูงส่งเช่นนี้ แม้แต่ในซีเหลียงก็ยังพบเห็นได้ไม่มาก แต่แล้วจะอย่างไร? ยามนี้บ้านเราต้องการสะใภ้ที่สามารถช่วยเป็นกำลังสนับสนุนเจ้าได้ หาใช่ฮูหยินที่ยังไม่เข้าประตูบ้านก็ต้องเป็นภาระของเจ้า แล้ววันหน้าก็ยังจะกลายเป็นเหตุผลที่เห็นอยู่ทนโท่และให้ผู้อื่นใช้มาโจมตีเจ้า! ชื่อเสียงของบุตรสาวสกุลเว่ยผู้นี้ย่อยยับจนไม่เหลือชิ้นดี ในเสียงเล่าลือต่างพากันว่านางไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว ต่อให้ชื่นชมในความเสียสละของนางเพียงใด หรือเพราะความเสียสละของนางต่อเว่ยฉางเฟิง เราก็จักต้องทำเช่นเดียวกัน ด้วยการเสียสละเจ้าให้รับนางเข้าบ้านต่อไปรึ?”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ เสิ่นจั้งเฟิงกลับหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “บริสุทธิ? ผุดผ่อง? หากว่าที่ภรรยาของหลานผู้เอาแต่คำนึงถึงชื่อเสียงดีงามและความบริสุทธิ์ของตนเอง จนถึงขั้นที่เมื่อได้เผชิญหน้ากับพวกลอบสังหารก็หลบหนีออกมาเพียงลำพัง ผู้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถูกเย้ยหยันดังที่เป็นอยู่นี้ก็จะมิใช่นางแล้ว แต่สตรีที่บอกว่าบริสุทธิ์ผุดผ่องเช่นนี้…หลานยอมแต่งกับหญิงในหอสำราญ[1] ก็จักไม่มีทางให้นางเข้าบ้านตระกูลเสิ่น!”
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาพลันส่งประกายรุ่มร้อนออกมา เต็มไปด้วยไฟโทสะและปรามาส แล้วพูดออกมาทีละคำว่า “หญิงสาวที่บอกว่าบริสุทธิ์ผุดผ่องพวกนั้นก็เพียงเพราะไม่เคยถูกลอบสังหารเท่านั้น! หากได้เจอแล้ว ก็เกรงว่าหากไม่ก็ถูกสังหารก็คงจักไม่ถูกข่มเหงอยู่บนถนนหลวงไปแล้ว ไม่เป็นภาระแก่พี่น้องที่เป็นชายก็ถือว่าไม่เลวแล้ว มีหรือจะพูดถึงเรื่องไปช่วยผู้อื่นได้? หลานดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าคนเหล่านี้มีสิทธิ์อันใดไปเย้ยหยันเหยียดหยามผู้อื่น!”
“อีกประการ เรื่องเสียหรือไม่เสียความบริสุทธิ์อะไรนั่น… มิใช่เป็นเพียงไปพบเว่ยซินหย่งแทนเว่ยฉางเฟิงหนหนึ่งเท่านั้นหรือ เมื่อนับกันจริงๆ แล้ว เว่ยซินหย่งก็ยังเป็นอาในตระกูลของนาง! ทั้งยังเป็นพวกพ้องของท่านเว่ย แล้วจะทำสิ่งใดกับนางได้? หรือต่อให้ทำ นางก็เป็นผู้ถูกทำร้าย หาได้เป็นนางยินยอมไม่! กลับกลายเป็นว่าด้วยเหตุนี้ก็โยนความผิดไปที่นาง ช่างน่าขันสิ้นดี! หากว่ากันตามหลักการเช่นนี้ หลานก็สามารถเอากระบี่ไปแทงพวกที่วิพากษ์วิจารณ์นางจนตาย แล้วก็โทษว่าเหตุใดเขาจึงมาชนกระบี่ของหลาน ทั้งยังทำให้กระบี่ของหลานเปรอะเปื้อนอีกเช่นนั้นรึ?”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มเยาะ “นางเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ทั้งองครักษ์และสาวใช้ล้วนถูกสังหารจนสิ้นด้วยน้ำมือศัตรู มีเพียงครูฝึกวรยุทธผู้หนึ่งและผู้ช่วยซึ่งเป็นพี่ชายในตระกูลอีกผู้หนึ่ง พยายามปกป้องน้องชายอย่างสุดกำลังให้หนีรอดจากสถานการณ์อันตรายออกมาได้! นี่เป็นความห้าวหาญและเด็ดเดี่ยวเก่งกาจถึงเพียงใด? พวกคนที่พูดจาเกินจริงและเอาแต่เยาะนางอยู่ทั้งวันเหล่านี้ ไม่นับพวกเด็กเล็กสตรีคนชราที่ไม่รู้ความ ว่ากันเพียงพวกผู้ชายที่เป็นหนึ่งในนั้น ยังไม่เอ่ยถึงว่าพวกผู้ชายเหล่านี้แต่ละคนจักมีฝีมือสังหารหัวหน้าพวกคนร้ายต่อหน้าผู้คนหรือไม่ ในยามที่พวกเขาแต่ละคนได้เผชิญหน้ากับความหวาดกลัวระหว่างความเป็นและความตายนั้น จักสามารถไม่รักตัวกลัวตายและปกป้องญาติพี่น้องของตนได้หรือไม่?”
“ไอ้พวกไร้ยางอาย! กลับดำเป็นขาว จับถูกปนผิด ไม่แยกแยะดีชั่ว!”
“ตามคำครหาของพวกไร้ยางอายเหล่านี้ เป็นไปได้ว่าหากเจอกับคนร้าย เมื่อองครักษ์ไม่อาจรับมือได้ก็คงมีแต่ตายสถานเดียว? หากไม่ยืนรอความตายอยู่บนถนนหลวง หรือไม่ก็เมื่อกลับไปถึงบ้านแล้วก็คงจะผูกคอตาย? พวกคนร้ายสังหารได้แต่เพียงองครักษ์และสาวใช้ของตระกูลเว่ย ที่สุดก็ยังมีพวกนายเหลือรอดชีวิตมาได้ ทว่าคนพวกนี้… กลับหวังให้ผู้ที่รอดชีวิตจากเคราะห์ร้ายมาได้ตายตกไปตามกัน เพียงเพราะสิ่งที่เรียกขานกันว่าเป็นบรรทัดฐานของความบริสุทธิ์ซึ่งพวกเขานึกคิดกันไปเอง!”
“โบราณว่ามีเพียงผู้ไร้ข้อด่างพร้อยที่สามารถลบหลู่คนได้ คนเหล่านี้จิตใจเต็มไปด้วยความคิดโสมมชั่วช้า แต่กลับกล้าคิดว่าตนไม่ด่างพร้อยไม่สกปรก แล้วยึดถือเอาหลักการที่พวกเขาคิดไปเองว่ายิ่งใหญ่ ใช้วาจาเป็นดาบมาประหารผู้คนที่พวกเขาคิดว่าเป็นคนผิดเช่นนั้นหรือ?!”
จิตใจของเสิ่นจั้งเฟิงเย็นเฉียบ ในแววตาถึงขึ้นมีแววสังหารปรากฏออกมาอย่างชัดเจน “หากพวกลอบทำร้ายสมควรได้รับโทษประหารเพราะความผิดของพวกมัน พวกที่ได้ทีขี่แพะไล่ชอบซ้ำเติมผู้อื่นนั้น กลับชั่วช้ากว่าพวกลอบทำร้ายเป็นร้อยเท่า! ความจริงแล้วพวกเขาสมควรได้รับโทษให้ตายเป็นหมื่นหน!”
เสิ่นโจ้วมองหลานชายที่ค่อยๆ มีอารมณ์ดือดดาลขึ้นมา แล้วถอนหายใจอีกครา “ข้าก็บอกไปแล้วว่าเด็กสาวผู้นี้มิได้มีสิ่งใดไม่ดี เหมาะสมทั้งวงศ์ตระกูลจิตใจดีงามมีคุณธรรม เพียงแต่หากยามนี้เจ้าแต่งกับนาง ก็จะกลายเป็นตัวถ่วงของเจ้า! ลำพังเพียงเรื่องนี้ เรื่องแต่งงานครานี้ก็จะต้องยกเลิก! พวกเราจักต้องคำนึงถึงเจ้า!”
เสิ่นจั้งเฟิงหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นเขาก็สงบลงได้แล้ว “ท่านอายังคงไม่เข้าใจ! ฉางอิ๋ง…เป็นว่าที่ภรรยาของหลาน!”
เสิ่นโจ้วกำลังจะเอ่ยบางสิ่ง เขาส่ายหัวขัดจังหวะ แล้วพูดต่อว่า “หากนางมิใช่ว่าที่ภรรยาของหลาน เมื่อได้ยินเรื่องนี้ แม้หลานจะรู้สึกเช่นเดิมว่าพวกที่สร้างข่าวลือครหานินทาสมควรได้รับโทษ รู้สึกเช่นเดิมว่านางเคราะห์ร้ายเหลือทน… แต่อย่างมากหลานก็จักแก้ต่างให้นางเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่จะไม่ไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่างไรเสียใต้หล้านี้กว้างใหญ่นัก เรื่องที่ไม่เป็นธรรมไร้คุณธรรมมีมากมายเกินไป หลานเข้าใจดีว่า หาไปยุ่งย่ามได้ไม่”
“แต่ฉางอิ๋งไม่เหมือนกัน! ในนามนั้นนางถือเป็นคนของตระกูลของเราตั้งนานแล้ว แต่เมื่อนางถูกให้ร้ายไม่ได้รับความยุติธรรม บ้านเราก็คิดแต่จะตัดนางทิ้งไปเสีย ไม่คิดแม้จะช่วยนางทวงถามความยุติธรรม ล้างมลทินให้นาง นี่มันเป็นหลักการประเภทใดกัน?”
“คำครหานินทาแม้จักสามารถละลายทองป่นกระดูก แต่นั้นก็เป็นเพียงเพราะใจคนขลาดกลัวไปก่อนเท่านั้น! สกุลเสิ่นสืบทอดมานับร้อยปี เคยผ่านมาสามรัชสมัย! ชื่อเสียงของบ้านเราหาได้อาศัยคนยกย่อปอปั้นออกมา หากแต่ได้มาจากการใช้ดาบใช้กระบี่ฟาดฟันกับพวกตี๋! หรือว่าตระกูลที่สืบทอดมาจนถึงวันนี้ แต่ตระกูลของเรากลับอ่อนแอขี้ขลาดจนถึงขั้นที่ไม่กล้าแม้จะปกป้องสะใภ้ที่หมั้นหมายไว้แล้ว ด้วยหวาดกลัวแค่เพียงเสียงเล่าลือ?” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มเยาะคราหนึ่ง “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหญิงสาวที่ใจกว้างและแข็งแกร่งเช่นฉางอิ๋งนี้เป็นที่ต้องใจของหลานพอดิบพอดี หรือต่อให้นางจะมิใช่หญิงในแบบที่หลานชอบ เพียงเรื่องที่นางเป็นคู่หมั้นของหลานเรื่องเดียว มันผู้ใดถือสิทธ์ใดคิดร้ายให้ร้ายสบประมาทนาง หลานก็จักไม่มีวันทิ้งนางโดยไม่ไยดี! ยามนี้อย่าว่าแต่นางมิได้มีความผิดใด หรือต่อให้มีความผิด สะใภ้ของบ้านเสิ่นของเราก็จักต้องให้บ้านเสิ่นเป็นผู้ดูแลสอนสั่ง มีหรือต้องให้คนนอกมาชี้มือชี้เท้าวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา? ! ชายชาตรีอกสามศอก แม้แต้ภรรยาที่หมั้นหมายกันมาแต่เล็กก็ยังปกป้องไม่ได้ แล้วหลานจักยังมีหน้ายืนหยัดอยู่ในใต้หล้านี้ได้อย่างไร?!”
สีหน้าของเสิ่นโจ้วเปลี่ยนไปหลานหน กระทืบเท้าพลางกล่าวด้วยโทสะว่า “เจ้าจะเข้าใจสิ่งใด? นี่เป็นเวลาที่ต้องมาพูดเรื่องคุณธรรมหรือไร? ตระกูลหลิวนั่น…”
“ตั้งแต่หลานประลองยุทธ์หน้าพระพักตร์ ไม่เคยพ่ายแม้สักหน!” เสิ่นจั้งเฟิงพูดด้วยความทะนงตนว่า “หลิวซีสวินก็เป็นเพียงคนขี้แพ้เท่านั้น! ปีก่อนๆ หลานเอาชนะเขาได้ แล้วเหตุใดปีนี้จะชนะอีกไม่ได้! ต่อให้หลานถดถอยไปหมื่นก้าวและพ่ายแพ้ในหนนี้ นั่นก็เพราะใจหลานไม่แน่วแน่พอ ไม่มานะฝึกวรยุทธเพียงพอ จะเกี่ยวกับสตรีผู้หนึ่งได้อย่างไร? แต่โบราณมาแพ้ชนะล้วนเป็นเรื่องปกติของทหาร แต่ไรมาหลานไม่เคยเหยียดหยัน ไม่รับผิดชอบหรืออำพรางความผิดต่อสิ่งที่หลานพึงรับผิดชอบ ยิ่งไม่มีทางไร้ยางอายโยนความผิดไปให้แก่สตรีที่ไร้ความผิดคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นภรรยาตนเองด้วยเป็นแน่!”
“การแต่งงานนี้ท่านพ่อเป็นผู้กำหนดเอง เหมาะสมด้วยชาติตระกูล ตัวนางหลานเองก็ชอบ แล้วตระกูลเสิ่นและจือเปิ่นถังแห่งตระกูลเว่ยถือสิทธิ์ใดมาใช้กลอุบาย แล้วหลานก็จักต้องไปถอนหมั้นตามที่พวกเขาต้องการ? ข้าเป็นถึงบุตรชายตระกูลเสิ่น ทำการใดมีความคิดอ่านของตนเอง เพียงแค่เสียงเล่าลือก็คิดจะบีบบังคับข้า… เห็นข้าเป็นหุ่นเชิดในกำมือของพวกเขาจริงๆ หรือ?” เขามองไปยังเสิ่นโจ้วด้วยอารมณ์สงบ แต่น้ำเสียงกลับไม่มีท่าทีจะให้ต่อรองสิ่งใด “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ความสามารถหน้าตาและนิสัยใจคอของเว่ยฉางอิ๋ง เมื่อหลานได้ยินเรื่องความกล้าหาญและคุณธรรมของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเป็นยิ่งนัก! ดังนั้นการแต่งงานครานี้ หลานจักแต่งให้ได้!”
“เจ้าสามารถกล่าวว่าจาเช่นนี้ออกมา ดูท่าว่าแผนการของตระกูลหลิวหนนี้ไม่เพียงไม่อาจทำให้จิตใจเจ้าว้าวุ่น แต่กลับทำให้ปณิธานของเจ้ายิ่งแน่วแน่ขึ้น เช่นนี้ ข้าก็กลับวางใจ” เสิ่นโจ้วนิ่งเงียบอยู่เกือบเค่อ แล้วว่า “ทว่า เจ้าก็ต้องให้ข้าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนกล่าวเตือนเจ้าสักคำ… คนเราเมื่อตัดสินใจอะไรลงไปในยามที่อายุยังน้อยหุนหลันพลันแล่น วันหน้าจักต้องไม่มาสำนึกเสียใจ เพราะความจริงแล้วสามีภรรยาจักต้องอยู่กันไปตลอดชีวิต! ยามนี้เจ้ารู้สึกว่าหากมิใช่นางเจ้าจะไม่แต่ง แต่วันหน้าอาจจักต้องเสียใจหนักหนากับสิ่งที่เจ้าทำในวันนี้”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา “หลานรู้เพียงว่า หากครานี้ไม่หาหางเร่งมาเฟิ่งโจวเพื่อขัดขวางท่านอา…หลานจักต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!”
“ความจริงแล้วแม้การที่พวกเราถอนหมั้นจะเป็นการซ้ำเดิมตระกูลเว่ย ทว่าแต่โบราณมาเรื่องนี้ก็เป็นที่รู้กันโดยนัยอยู่แล้ว” เสิ่นโจ่วลองเกลี่ยกล่อมเขาอีกหน “เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องไปคิดว่าหากเจ้าไม่แต่งกับบุตรสาวสกุลเว่ยผู้นี้ แล้วนางจะต้องลงเอยน่าอนาถจนเกินไป ท่านเว่ยและฮูหยินผู้เฒ่ามีหลานสาวแท้ๆ เพียงผู้เดียว จักต้องวางแผนให้กับชีวิตที่เหลือของนางเป็นแน่”
เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะลั่น ในเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความประชดประชัน “ชีวิตที่เหลือนั้นจะเป็นเช่นไร? ต้องถูกบังคับให้ฆ่าตัวตายเพื่อให้ตระกูลได้จารึกเอาไว้ว่าเป็นหญิงที่มีใจเด็ดเดี่ยว หรือว่าต้องไปอยู่ในศาลเจ้าตลอดชีวิตและฝั่งชีวิตในวัยที่งดงามที่สุดเอาไว้ที่นั่น? เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องแบกรับกับการให้ร้ายของพวกคนเขลา ขึ้นชื่อว่าถูกบ้านสามีทอดทิ้ง อาศัยสมบัติติดตัวมหาศาลแต่งกับญาติพี่น้องห่างๆ ในตระกูลที่ยากจนสัตย์ซื่อ และยังต้องถูกคนชี้ชวนดูรึ? หากทุกคนที่ไม่เคยทำความผิดใดเลย แต่กลับต้องเสียสละตนเพื่อคุณธรรมต่างต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ธรรมเนียมปฏิบัติในหล้านี้ช่างน่ากลัวปานใด? หรือเพราะฉางอิ๋งเป็นหญิง นางละทิ้งโอกาสจะหนีเอาตัวรอดเพียงลำพังและรักษาเกียรติยศชื่อเสียงช่วยชีวิตน้องชายสองคน แต่กลับไร้ความชอบทั้งยังมีความผิด?! เป้าหมายดังเดิมที่ฮ่องเต้เซิ่งเสี่ยนจงแต่ยุคโบราณให้คุณค่ากับเกียรติยศชื่อเสียงเป็นที่สุด ก็เพื่อสอนสั่งให้ใต้หล้ามีความสัตย์ซื่อ ให้ผู้คนมีจิตใจดีงาม แต่หากรู้ว่าเพื่อไขว่คว้าเกียรติยศชื่อเสียงซึ่งผู้คนให้การยอมรับ แต่กลับมองข้ามคุณสมบัติอื่นๆ แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงชายหญิงโง่เง่า ที่ใครว่าอย่างไรก็ว่าตามเท่านั้น! พวกเขาหรือจะเข้าใจว่าสิ่งใดคือเกียรติยศชื่อเสียงและคุณธรรมที่แท้จริง?!”
เขาส่ายหัว รอยยิ้มเย็นชาสายตาเย็นเฉียบ “ท่านอาโปรดอภัยที่หลานไม่อาจทำเรื่องเห็นแก่ตัวทอดทิ้งภรรยาที่ไม่มีความผิดใดได้! ท่านเว่ยจักต้องวางแผนให้กับชีวิตที่เหลือของฉางอิ๋ง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องของตระกูลเว่ย แต่ยามนี้ฉางอิ๋งนับว่าเป็นคนของตระกูลเสิ่นของเราแล้วมิใช่หรือ? ในเมื่อเป็นคนของตระกูลเสิ่น ก็ควรจักเป็นบ้านเสิ่นของเราปกป้องนาง! แต่มิใช่รู้อยู่เต็มอกว่านางถูกคนวางแผนให้ร้ายและลบหลู่อย่างไม่เป็นธรรม แต่กลับหวาดกลัวแค่เพียงเสียงเล่าลือจนต้องรีบร้อนลนลานทอดทิ้งนาง! ของประดับที่มักวางอยู่บนโต๊ะ เพราะมองเห็นอยู่ทุกวี่วัน จึงตัดใจทำลายหรือโยนทิ้งไปไม่ได้ง่ายๆ สิ่งของยังเป็นเช่นนี้ ประสาอะไรกับภรรยาที่ผูกพันกันมาแต่เล็ก?!”
“คำครหานินทา หลานจะแบกรับแทนนางเอง! หลานกลับอยากจะดูนัก ในใต้หล้านี้ ถูกผิดกลับกันไปหมดแล้วจริงหรือ หญิงที่มีคุณธรรมยิ่งใหญ่ชัดแจ้งถึงเพียงนี้ จักไม่อาจได้รับการสรรเสริญมีชื่อดีงามอยู่ในใต้หล้านี้ แต่กลับถูกกล่าวโทษและลบหลู่เช่นนั้นหรือ?! แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น หลานก็จะไม่มีวันทอดทิ้งภรรยาที่ได้หมั้นหมายกันไว้เด็ดขาด!”
เสิ่นโจ้วบันดาลโทสะขึ้นมา “หากว่ากันดังนี้พวกเราล้วนเป็นพวกกลับดำเป็นขาว จับถูกปนผิด ไม่แยกแยะดีชั่ว มีเพียงเจ้าที่มีคุณธรรมสูงส่งเช่นนั้นรึ! หากเจ้าไม่ใช่หลานชายข้า เจ้าคิดหรือว่าข้าจะไปสนใจว่าเจ้าจะแต่งกับภรรยาเช่นไร หรือข้าจักวิ่งวุ่นไปมานับพันลี้เช่นนี้?!”
“ท่านอาทำเพื่อหลาน” ความเดือดดาลของเสิ่นจั้งเฟิงพลันหายไปสิ้น พลางกล่าวและคราวะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อเจ้ารู้ถึงความลำบากใจของข้า…” แท้จริงแล้ว เสิ่นโจ้วพิจารณาเรื่องนานาเพื่อหลานชายผู้นี้ด้วยใจจริง เมื่อเห็นเขามีท่าทีคล้ายว่าอ่อนลงบ้าง เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงช้าลง คิดจักกล่าวเตือนเขาต่อไป
ไม่คิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงยิ้มจนเผยให้เห็นฟัน แล้วเตือนว่า “ท่านอา เพียงแต่ว่ากระบี่ ‘ลู่หู’ นั้นได้มอบให้ฉางอิ๋งในนามของท่านพ่อไปแล้ว ยามนี้ท่านเว่ยคงให้คนแจ้งข่าวนี้ไปทั่วเฟิ่งโจวแล้ว ดังเช่นที่หลานว่าไว้ก่อนนี้ เป็นที่แน่นอนแล้วว่าสัญญาแต่งงานยังดำเนินต่อไป ไม่ว่ายามนี้ท่านอาจะกล่าวเตือนหลานอีกเพียงใด…ไม้ก็กลายเป็นเรือไปแล้ว จักกล่าวสิ่งใดอีก?”
เสิ่นโจ้วมองเขา… ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะซัดเขาอย่างไรจึงจะดี!!!
________________________
[1] หอสำราญ เป็นสถานบันเทิงในยุคโบราณ มีการแสดงต่างๆ รวมทั้งเป็นซ่องโสเภณีด้วย