ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 79 ลมหนาว
กระบี่ถูกชักออกจากฝัก เพียงวาดกระบี่ไปคราหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งก็รู้ทันทีว่าเป็นกระบี่ที่ยาวสามฉื่อ ตามหลักการแล้ว มันต้องหนักสามจิน[1]ยี่สิบเหลี่ยง[2]
กระบี่นี้ล้ำค่ามหาศาล
ปลายด้ามทำจากทองคำ หล่อเป็นรูปอักษรหรูอี้ ภายในกระบี่ตันไม่เป็นโพร่ง ไร้พู่ห้อย แสดงถึงฐานะความเป็นกระบี่ฝ่ายบู๊อย่างชัดแจ้ง ต่างกับกระบี่ที่ใช้ประดับไว้ที่เอวของคนฝ่ายบุ๋น…นี่เป็นอาวุธกระบี่ที่สามารถนำมาใช้สังหารศัตรูได้จริง ด้ามกระบี่ทำจากงาช้าง มีสายหนังพันรอบอยู่ภายนอก ประดับด้วยไข่มุกที่เปล่งแสงได้ กระบังกันมือทำจากทองคำ สลักเป็นภาพทิวทัศน์แม่น้ำและภูเขา ฝักทำจากไม้ต้นก้านเหลือง ไม่แต่งแต้มสีสัน ไร้ลายประดับ แต่บนฝักกระบี่นั้นกลับอาศัยหยกสีเลือดสดทอประกายที่ฝังเรียงกันออกมาเป็นนามของกระบี่ ขับพลังอำนาจของนามแห่งกระบี่ออกมาว่า…
ลู่หู (สังหารตามใจ)!
เว่ยฉางอิ๋งมองเพียงคราแรกก็รู้ได้โดยพลันว่าหยกสีเลือดบนฝักกระบี่นี้ จักต้องเป็นหยกสีเลือดที่มาจากหยกชิ้นเดียวกับปิ่นหยกคู่สีเลือดที่ฮูหยินซูเคยมอบให้กับตน คาดว่าคงเป็นเศษหยกที่ตัดเหลือออกมาเมื่อตอนที่ทำปิ่นคู่นั้นให้กับตน เพราะอย่างไรเสียสำหรับตระกูลสูงศักดิ์แล้ว หยกสีเลือดที่พบเห็นในดินแดนตี๋นั้นมีจำนวนน้อยยิ่งนัก
ลำพังเพียงรูปลักษณ์ภายนอก กระบี่เล่มนี้ก็สามารถทำให้คนที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบี่ต่างพากันให้ราคาเท่าทองพันชั่งแล้ว
ว่าที่พ่อสามีของตนผู้นี้เป็นถึงหนึ่งในเสาหลักของต้าเว่ย เป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง หย่งติ้งโฮ่ว เป็นราชครูผู้สูงศักดิ์ และเป็นผู้ปกครองตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง! กระบี่ล้ำค่าซึ่งเป็นของรักของหวงของบุคคลเช่นนี้ แม้มิใช่กระบี่เลื่องชื่อในตำนานมาแต่ครั้งโบราณเช่นกระบี่ ‘กานเจี้ยง’ หรือกระบี่ ‘หมัวเหยีย’ ทว่าตัวของมันเองก็มีความโดดเด่นเหนือผู้ใด
เว่ยฉางอิ๋งฝึกวรยุทธ์มานานปี มีความชำนาญเพลงดาบเป็นที่สุด ทว่าโดยมากแล้วผู้ฝึกวรยุทธ์ล้วนมีสัญชาตญาณที่จะเกิดความสนใจในอาวุธนานาชนิดที่มีความพิเศษในตัวเองอยู่แล้ว
ขึ้นชื่อว่าเป็นกระบี่แสนรักของเสิ่นเซวียน ประมุขแห่งตระกูลเสิ่นซึ่งเป็นตระกูลฝ่ายบู๊แล้ว… เพียงแค่คิดถึงฉายานี้ก็เพียงพอจะทำให้สองตาของนางลุกวาว แล้วหยิบมันขึ้นมาหวดวาดไปมาอยู่เป็นนานอย่างรักใคร่จนวางไม่ลงเสียที ว่าแล้วจึงเพิ่งจักค่อยๆชะลอหยุดลงไปตามความคาดหวังของพวกนางเฮ่อที่รู้สึกสงสัยอยู่เนิ่นนานแล้ว! หลังจากเสียงดังควากเบาๆ กระบี่ลู่หูก็ออกมากจากฝักเพียงหนึ่งชุ่นกว่าๆ
แม้จะเป็นยามกลางวัน แสงสว่างวาบของกระบี่ที่เย็นยะเยือกดังแสงจันทร์ หนาวเหน็บดังเดือนที่สามในฤดูใบไม้ร่วง ยังคงฉายแสงจ้าเจิดจรัส ลำแสงของกระบี่ที่กว้างเพียงหนึ่งชุ่น กลับยังทำให้รู้สึกแสบตา
เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจลึก กำกระบี่เอาไว้แน่นแล้วบอกกับสาวใช้ที่อยู่ข้างกายว่า “ถอยห่างออกสักหน่อย!”
นางเฮ่อรีบพาพวกบ่าวใช้ไปหลบที่มุมห้อง เห็นว่าข้อมือของเว่ยฉางอิ๋งสั่นไหวเบาๆ แล้วพลันมีแสงวาบดังแสงจันทร์สาดส่องออกมา เมื่อมองกลับไปอีกครั้ง กระบี่ชิงเฟิงยาวสามฉื่อก็ออกมาจากฝักจนหมด แล้ววางตัวในแนวนอนอยู่ข้างหน้าหน้าอกของเว่ยฉางอิ๋ง แสงจากตัวกระบี่คล้ายนิ่งคล้ายขยับ ประหนึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ตัวกระบี่มีลายเมฆสลับซับซ้อนสลักอยู่ ดังเช่นสีของลำน้ำที่ใส่กระจ่างแสนอ่อนโยน ทว่ากลับมีความเฉียบคมที่ไม่มีสิ่งใดทัดทานไร้ผู้ใดจะมาขวางได้!
…ภาพที่เห็นนี้ ต่อให้ในสายตาของผู้ไม่สันทันเรื่องกระบี่แล้ว ก็ยังอดจะกล่าวคำชมมาจากส่วนลึกในใจประโยคหนึ่งไม่ได้ว่า ‘กระบี่ชั้นเลิศ!’
“ได้ยินมาว่านี้เป็นของรักของหวงของท่านราชครู วันนี้นำมามอบให้คุณหนูใหญ่ เห็นได้ว่าท่านราชครูเอ็นดูคุณหนูมากมายนักนะเจ้าคะ!” นางเฮ่อไม่เพียงไม่สันทัดเรื่องกระบี่ ยิ่งไปกว่านั้นมิได้มีความสนใจเรื่องกระบี่แม้แต่น้อย แม้กระบี่ลู่หูจะล้ำเลิศเพียงใด แต่หากมิใช่กระบี่ที่เสิ่นเซวียนให้เสิ่นจั้งเฟิงนำมามอบให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง ที่เฟิ่งโจวด้วยตนเอง นางก็คร้านจักมองแม้สักหน
ทว่าด้วยเหตุที่นางเป็นห่วงเป็นไยเว่ยฉางอิ๋ง ยามนี้ไม่ว่านางเฮ่อจะมองกระบี่เล่มนี้อย่างไรก็รู้สึกรื่นหูรื่นตา ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ดีไปเสียหมด ไม่รู้เรื่องอาวุธเลยแม้แต่น้อยแล้วจะอย่างไรเล่า? อย่างไรก็ตาม ยามนี้นางเฮ่อก็เห็นว่ากระบี่ที่ดีที่สุดนับแต่อดีตจนถึงเวลานี้ก็คือกระบี่ลู่หู่เล่มนี้! ไม่มีเล่มอื่นใดอีก
อย่างไรเสีย หากเป็นก่อนที่เสิ่นจั้งเฟิงจะประกาศตนต่อธารกำนัลว่าเป็นบุตรเขยของตระกูลเว่ย นางเฮ่อก็ยังคงไม่ค่อยแน่ใจ แต่ในยามนี้เมื่อกระบี่ลู่หูถูกนำมาส่งที่เรือนเสียซวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว… เช่นนั้นก็มั่นอกมั่นใจได้จริงๆ เสียที!
ต้องรู้เสียก่อนว่า…
กระบี่เล่มนี้ยังมิทันส่งมาถึงเรือนเสียซวง ในเมืองเฟิ่งโจวต่างก็พากันรู้แล้วว่าเสิ่นเซวียนหนึ่งในเสาหลักของต้าเว่ย ทั้งยังมีตำแหน่งหย่งติ้งโฮ่ว ราชครู และประมุขตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง ชื่นชมสะใภ้สามที่ยังไม่ได้เข้าบ้านผู้นี้เสียอย่างยิ่ง กระทั่งหลังจากมีข่าวลือจากทางเมืองหลวงที่ชี้ชัดว่าความบริสุทธิ์ของเว่ยฉางอิ๋งมัวหมอง ก็ได้ส่งเซียงหนิงปั๋วซึ่งเป็นน้องชายร่วมท้องและเสิ่นจั้งเฟิงคู่หมั้นของเว่ยฉางอิ๋ง ควบมาเร็วทั้งวันทั้งคืนเร่งให้ถึงเฟิ่งโจว เพื่อนำกระบี่แสนรักนามลู่หูมามอบให้แก่ว่าที่ลูกสะใภ้ เพื่อเป็นการแสดงท่าทีของตน!
และในเวลาเดียวกัน เว่ยซือกู่นักเขียนเรืองนามในเขตทะเลอีกผู้หนึ่งของตระกูลเว่ยนอกจากเว่ยเจิ้งหย่า ก็ได้เขียนกวีสรรเสริญฉันทลักษณ์สี่และหกตัวอักษรด้วยตนเอง แต่ละคำในบทกวีล้ำเลิศงดงามดังมวลบุปผา สิ่งสำคัญคือ ด้วยชื่อเสียงของเว่ยซือกู่ เมื่อบทกวีนี้เผยแพร่ออกไป ก็จักต้องมีการถ่ายทอดออกไปทั่วทั้งเฟิ่งโจว และแพร่ออกไปยังที่ไกลๆ ด้วยพ่อค้าเร่ที่เดินทางผ่านมาและจากที่พักริมทาง…
ในบทกวีสรรเสริญที่เว่ยซือกู่เขียนพู่กันด้วยตนเองนั้นมีใจความสำคัญ ขอ สรรเสริญการยึดมั่นในสัญญา ยึดมั่นในคุณธรรม และแยกแยะผิดถูกของตระกูลเสิ่นเป็นที่ยิ่ง โดยเฉพาะชี้ชัดไปว่าสำนึกในน้ำใจของเสิ่นเซวียนที่สั่งให้บุตรชายเดินทางพันลี้นำกระบี่มามอบให้… แน่นอนว่าเว่ยซือกู่ไม่ลืมจะอาศัยโอกาสนี้เน้นย้ำเรื่องวีรกรรมอันห้าวหาญเกรียงไกรของเว่ยฉางอิ๋ง ที่สังหารหัวหน้าพวกลอบทำร้ายเพื่อช่วยเหลือน้องชายร่วมท้อง พร้อมกับปกป้องลูกผู้น้องจนเอาชีวิตรอดมาได้ ยกย่องให้นางเป็นวีรสตรีผู้ต่อต้านพวกชนกลุ่มน้อย… บทกวีทั้งบทไม่ลืมที่จะคอยย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาถึงความไร้ยางอายของพวกหรง ความเจ็บปวดเป็นที่สุดที่เว่ยเจิ้งหย่าซึ่งเป็นผู้รับเคราะห์อีกคนของตระกูลเว่ยที่ต้องมาจบชีวิตลงในวันก่อร่างสร้างตัว รู้สึกเศร้าเสียดายในความเบาปัญญาของผู้คนในแคว้นที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในทางมิควร ท้ายสุด ลงท้ายด้วยการมองการไกลถึงอนาคตใจภายภาคหน้าและอำนวยพรให้ต้าเว่ยนับวันยิ่งเจริญรุ่งเรือง และให้ชายแดนกลับมามีความสงบสุขในเร็ววัน
เลือกสรรถ้อยคำงดงาม ทุกตัวอักษรไพเราะหมดจนดังมุก และมีความหมายล้ำลึกในทุกตัวอักษร… อย่างไรเสีย ไม่ว่าผู้อื่นจะเชื่อหรือไม่ว่าการที่พวกหรงแฝงตัวเข้ามาในเฟิ่งโจวทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมดขึ้น ความจริงที่ตระกูลเว่ยเชื่ออย่างแม่นมั่นก็ได้ถูกพรรณนาไว้ในบทสรรเสริญบทนี้จนหมดสิ้นทุกประการแล้ว
บทความที่ดีและสำคัญเช่นนี้ ไม่อาจไม่นำมาแบ่งปันกับแขกที่มาเยือนจากแดนไกลได้
ในงานเลี้ยงตอนรับในคืนวันนี้ เว่ยฮ่วนสั่งให้หลานชายเว่ยฉางเฟิงที่มาในงานด้วยลุกขึ้นอ่านบทความของเว่ยซือกู่ที่หมึกยังไม่ทันแห้งบทนี้ เพื่อเป็นการแสดงการขอบคุณเสิ่นโจ้วอย่างจริงใจอีกคราหนึ่ง “พวกหรงไร้ยางอาย สังหารไม่สำเร็จ กลับใช้คำให้ร้ายไร้แก่นสารทำลายชื่อเสียงของสตรีตระกูลสูงศักดิ์! สิ่งที่น่าแค้นใจยิ่งกว่าคือหนทางแสนยาวไกล จึงมีผู้คนในแคว้นหลงเชื่อวาจาเหลวไหลนี้! แม้นว่าผู้บริสุทธิ์ยังคงบริสุทธิ์ ผู้ขุ่นมัวยังคงขุ่นมัว ทว่าหลานสาวอายุยังน้อยบอบบาง ทั้งอยู่แต่ในจวนมาเนิ่นนาน ไม่อาจทนฟังได้! กลับต้องให้ตานเซียวและจั้งเฟิงจากแดนไกลพันลี้ เดินทางมาช่วยเหลือ!”
แล้วกล่าวว่า “ขอใช้สุราจอกนี้ อวยพรให้พวกเราสองตระกูลมีผู้สืบสกุลสืบไป
มีความสุขและมั่งคั่งตลอดกาล!”
ความรู้สึกในอกของเสิ่นโจ้วที่เพิ่งจะแอบไปทุบตีหลานชายมาอย่างลับๆ นั้นยากเกินจะบรรยาย ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้และในเวลานี้ เขาก็ทำได้เพียงยกจอกสุราขึ้นมาคราวะด้วยสีหน้าเปรมปรีดิ์ “โดยนามแล้วหลานสาวของท่านเว่ยถือเป็นสะใภ้ของสกุลเสิ่นมาตั้งนานแล้ว เมื่อถูกคำครหาให้ร้าย พวกเราตระกูลเสิ่นหรือจะนั่งดูดายได้? เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องภายในของตระกูลเสิ่นอยู่แล้ว จักกล่าวว่ามาช่วยเหลือได้อย่างไร? คำกล่าวนี้ท่านเว่ยกล่าวหนักเกินไป จึงขอใช้สุราจอกนี้อวยพรให้ตระกูลเว่ยเปรมปรีดิ์ เป็นสุขมั่งคังยืนนาน!”
“ดื่ม!”
“ดื่ม!”
ทั้งสองคนต่างยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้าและดื่มสุราจนหมดจอก บรรยากาศภายในงานครึกครื้นและเป็นมิตร ประหนึ่งคำในบทสรรเสริญได้แทรกลึกเข้าไปภายใจผู้คนแล้ว
ในสภาพการเช่นนี้ ตระกูลเสิ่นจะกล่าวคำว่าถอนหมั้นสองคำนี้ออกมาอีกได้อย่างไร?
ดังนั้นแล้วในยามนี้ นางเฮ่อแม้แต่หลับฝันก็ยังหัวเราะออกเสียงออกมา!
เว่ยฉางอิ๋งมิได้ตอบความของนางเฮ่อ นางกำกระบี่ พลางวาดกระบี่ไปสองสามหน แต่กลับรู้สึกว่าในห้องช่างหนาวเหน็บยิ่งนัก ยื่นนิ้วมือออกไปดีดที่ตัวกระบี่ ได้ยินเพียงเสียงก้องกังวานเย็นเฉียบ แสงวาบจากใบมีดเฉียบคมเจิดจ้า…ในขณะที่นางรู้สึกพึงพอใจในกระบี่เล่มนี้เหลือล้น พลันมีความหนึ่งโพล่งขึ้นมาในใจ “วันนั้น เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงปลดงอบออก… เป็นจริงว่าความเฉียบคมที่พรั่งพรูออกมานั้น… กลับเป็นเช่น… เป็นเช่นกระบี่ลู่หูเล่มนี้!”
ใบหน้าของนางแดงขึ้นมาทันใด พลันพลิกมือส่งกระบี่กลับเข้าไปในฝักเสียงดังควับ แล้วว่า “พื้นที่ในห้องเล็กนัก รู้สึกอึดอัด… รกจนฝนหยุดแล้ว ค่อยไปลองมือที่ในสวนดีกว่า”
ว่าพลางนำกระบี่ยาววางกลับไปในถุงผ้าดิ้นทองที่บรรจุกระบี่มา เก็บเข้าไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็กลับเกิดความรู้สึกตัดใจไม่ลงและลูบคลำไปมา… นางเฮ่อจึงได้หัวเราะว่า“เวลานี้กระบี่เล่มนี้ก็เป็นของคุณหนูใหญ่แล้ว คุณหนูใหญ่อยากชมอยากสัมผัส ก็มิใช่ว่าทำได้ดังใจหรอกหรือเจ้าคะ? เหตุใดยังต้องคอยพะวงถึงและตัดใจไม่ลงเช่นนี้ กลับทำเหมือนมันจะบินหนีไปเช่นนั้น!”
เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งพลันยิ่งแดงก่ำขึ้นเสียกว่าเก่า พลางคิดอย่างกระอักกระอ่วนใจว่า ‘เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งจักรู้สึกว่าลักษณะท่าทีของเสิ่นจั้งเฟิงเหมือนกระบี่เล่มนี้ยิ่งนัก นี่เป็นเพราะสิ่งใด?’ จึงรีบเก็บมือกลับไปเสียโดยพลัน แสร้งทำเป็นว่าไม่มีเรื่องเช่นนั้นและกล่าวว่า “ท่านอาเก็บไปเสียก่อนเถิด ข้า…อืม คงเพราะเมื่อครู่ร่ายกระบี่อยู่พักหนึ่ง ครานี้จึงรู้สึกร้อนขึ้นมา”
ระหว่างพูดนั้น นางรู้สึกว่าใบหน้าคลายจะยิ่งจะแดงขึ้นมาอีก เพื่อพิสูจน์คำพูดของตน นางถึงกับยกแขนเสื้อขึ้นมาพักโบกสองสามหน
นางเฮ่อรับถุงผ้าปักนั้นมา… นางเป็นห่วงเว่ยฉางอิ๋งอย่างมาก เมื่อได้ยินคำจึงเร่งสั่งกับฉินเกอว่า “คุณหนูรู้สึกร้อน ไปเปิดหน้าต่างออกสักหน่อย”
… แต่การไม่ยอมเสียหน้ากลับทำร้ายคนอย่างเหลือแสน!
เวลานี้เข้าสู่กลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว และหลายวันมานี้ก็มีฝนตกอยู่ตลอดเวลา คนภายนอกล้วนเปลี่ยนมาสวมเสื้อบุผ้าสองชั้นกันแล้ว เว่ยฉางอิ๋งอยู่ภายในห้องที่ประตูหน้าต่างปิดสนิท จึงสวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ เท่านั้น แต่เพราะนางกลัวว่าจะถูกมองออกว่าเห็นกระบี่ลู่หูแล้วคิดถึงเสิ่นจั้งเฟิง จึงได้กล่าวอ้างเหตุผลไปลอยๆ แต่นางเฮ่อกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง ทำให้นางลงจากหลังเสือไม่ได้ จนต้องตากลมหนาวที่พัดเข้ามาอยู่พักใหญ่ๆ … ซึ่งความจริงแล้ว นางยังมิทันฟื้นตัวจากอาการอิดโรยอ่อนแรงจากการไม่กินไม่ดื่มมาสองวันสองคืนที่นางมีมาก่อนหน้านี้ หลังจากจิตใจถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักจนตรอมใจ เมื่อมาตากลมเช่นนี้ พอตกเย็นนางจึงมีอาการไอขึ้นมา
เมื่อนางเฮ่อส่งท่านหมอจี้ไปแล้ว นางก็ตำหนิตนเองอย่างหนัก “ไยจึงไม่เตือนคุณหนูให้ปิดหน้าต่างเสียให้เร็วๆ เล่า? อากาศเช่นนี้ และเสื้อผ้าของคุณหนูใหญ่ก็บางเบาเพียงเท่านั้น จักมาตากลมอยู่ครึ่งชั่วยามเต็มๆ ได้อย่างไร?”
เว่ยฉางอิ๋งนอนอยู่บนตั่งนอนด้วยลมหายใจอ่อนไร้เรี่ยวแรง บนหน้าผากมีผ้าชุบน้ำวางอยู่ เมื่อได้ยินคำที่นางกล่าวออกมาเหมือนจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา นางเป็นตุ๊กแกกินปูนร้อนท้อง ด้วยเกรงวาหากตากลมเพียงชั่วครู่แล้วจักถูกดูออกว่านางกำลังกลบเกลื่อนบางสิ่ง จึงได้แข็งใจฝืนทนตากลมหนาวในฤดูใบไม้ร่วง กระทั่งทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงได้ปิดหน้าต่าง… ในขณะที่จิตใจของนางไม่สงบเช่นนี้จึงมิได้สนใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด มีหรือจะรู้ว่านางตากลมอยู่ครึ่งชั่วยามแล้ว?
ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนี้ หากไม่ไอก็นับว่าแปลกแล้ว!
เคราะห์ดีที่เป็นเพียงลมหนาวที่แผ่วเบา ท่านหมอจี้จึงได้สั่งเพียงยาต้มผ่อนคลายประสาทให้ ให้ห้องครัวต้มน้ำขิงเข้มๆ มา บอกว่าให้ดื่มน้ำขิงเสียก่อนแล้วค่อยดื่มยาต้มคลายประสาท นอนหลับสักตื่น พอตื่นขึ้นก็จะทุเลาลงแล้ว
ปรากฏว่า วันต่อมาอาการไอกลับหายไปจริงๆ เว่ยฉางอิ๋งจึงได้รีบเปลี่ยนมาใส่เสื้อบุผ้าซับข้างใน เมื่อวานนี้ต้องลมหนาวเสียจนเข็ดขยาดแล้ว เมื่อถึงเวลาหลังเที่ยงซึ่งเป็นเวลาที่ต้องไปคารวะท่านย่า ยามนางออกจากประตูและต้องลมฤดูใบไม้ผลิเพียงครู่เดียว คิดไปคิดมายังคงไม่วางใจ จึงได้กลับเข้าประตูมาให้ฉินเกอค้นเอาเสื้อคลุมกันลมตัวหนึ่งออกมาจากหีบเสื้อผ้าและสวมทับเข้าไป
เมื่อไปถึงเรือนของแม่เฒ่าซ่ง เพิ่งจะเดินผ่านประตูวงโค้งพระจันทร์ ก็เห็นลูกผู้น้องเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนทั้งสองคนยืนอยู่ข้างหน้าสาวกำลังรออยู่ที่ทางเดิน คล้ายกับกำลังรอให้คนเข้าไปรายงานท่านย่า
นี่เป็นหนแรกที่ลูกผู้พี่และลูกผู้น้องทั้งหมดได้พบหน้ากันหลังจากที่ไปร่วมงานไว้อาลัยที่จวนจิ้งผิงกง เพราะหลายวันก่อนเว่ยฉางอิ๋งได้ขออนุญาตลาฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเหตุผลว่าร่างกายไม่พร้อม…ซึ่งเรื่องที่ร่างกายนางไม่พร้อมนี้ ก็ใช่ว่าจะมิได้เกี่ยวข้องกับลูกผู้น้องทั้งสองนาง ต้องมาพบหน้ากันในยามนี้ ทั้งสามคนจึงมีอาการตกตะลึงกันเล็กน้อย
เว่ยฉางอิ๋งนั้นยังดี ดีชั่วอย่างไรกระทั่งผ้าขาวผืนนั้นนางก็ยังตัดไปแล้ว เมื่อเคยผ่านความรู้สึกที่ต้องยอมสู้จนตัวตายมาแล้ว ใจคนเราก็ยอมจะเปิดกว้างมากขึ้น บวกกับยามนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว บ้านเสิ่นไม่เพียงไม่ถอนหมั้น แต่กลับส่งกระบี่ล้ำค่ามาช่วยสนับสนุนนาง แม้บนใบหน้าของนางจะมิได้ยินดีแทบคลั่งอย่างที่นางเฮ่อเป็น ทั้งยังพยายามรักษาท่าทีให้อยู่ในอาการสงบให้มากที่สุด แต่อารมณ์ของนางกลับดีเป็นอย่างยิ่ง… ดังนั้นจึงมิได้มีแก่ใจจักทำสิ่งใดกับน้องสาวทั้งสอง หลังจากที่ตะลึงไปคราหนึ่ง ทันใดนั้นนางก็หันเหสายตาออกไปเสียอย่างลื่นไหลรวดเร็ว
เมื่อเทียบกับนางแล้ว เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนกลับกระอั่กกระอ่วนใจเกินเปรียบ ทั้งสองนางได้แต่มองเว่ยฉางอิ๋งตาปริบๆ เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งพาคนเดินผ่านหน้าพวกนางไป และไม่ได้ทักทายพวกนาง กระทั้งไม่แม้จะคิดมองพวกนางสับแวบเดียว ที่สุดเว่ยฉางเยียนก็อดรนทนไม่ไหว ร้องเรียกออกไปว่า “พี่สาม!”
เว่ยฉางอิ๋งยังคงเดินต่อไปห้าหกก้าวจนถึงหน้าประตูจึงได้หยุดเท้า แล้วหันหน้ากลับไปมองอย่างเย็นชา “มีสิ่งใด?”
“ไม่…อืม…” เว่ยฉางอิ๋ง ลูกผู้พี่ผู้นี้แม้โดยปกติแล้วจะไม่อาจพูดได้ว่าเป็นห่วงเป็นไยพวกน้องๆ เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็นับได้ว่าให้ความอ่อนโยนและเป็นกันเอง ในเรื่องที่น้องสาวทั้งสองคนนี้ต้องการ โดยทั่วไปแล้วนางล้วนพยายามทำอย่างเต็มความสามารถ เว่ยฉางเยียนไม่เคยถูกเว่ยฉางอิ๋งปฏิบัติกับตนอย่างเย็นชาเช่นนี้มาก่อน ยามนี้ทั้งหวั่นกลัวทั้งน้อยใจ และพลันเคืองจมูกขึ้นมา คิดในใจว่า ‘พี่สาม ทำเช่นนี้เพราะเกลียดชังพวกเราแล้วหรือ?’
เมื่อมองเห็นว่าเว่ยฉางเยียนไม่สามารถบอกเหตุผลที่ร้องเรียกเว่ยฉางอิ๋งออกมาได้ เว่ยฉางอิ๋งจึงคิดจักเดินตรงเข้าไปข้างในเสีย เว่ยเกาฉานรีบกล่าวว่า “พี่สาม พะ.. พวกเราอยากจะแสดงความยินดีกับพี่สามสักคำ!”
หากเว่ยฉางอิ๋งตอบความมา ต่อให้เป็นคำประชดประชันหรือเย้ยหยัน เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนก็ต่างเตรียมตัวรับสภาพความต่ำต้อยของตนไว้แล้ว อย่างไรเสียนางก็เป็นลูกผู้พี่ เมื่อน้องสาวเฝ้าวิงวอนอย่างน่าเวทนา ท่านพี่สามผู้นี้ก็หาใช่คนใจไม้ไส้ระกำ… หากนางตอบมาคำหนึ่ง ก็มีช่องทางให้ขอขมาและขอรับโทษได้…
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังดีเสียกว่าถูกมองผ่านไปโดยสิ้นเชิงเช่นยามนี้…
ในดวงตาของเว่ยเกาฉานมีสายตาวิงวอนและรู้สึกผิดแสดงอกมาอย่างชัดแจ้ง… แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับทำเหมือนมิได้ยินคำพูดนี้ หันไปถามซวงจูที่เฝ้าอยู่หน้าประตูว่า “ท่านย่าอยู่ข้างใน? ตื่นอยู่หรือว่าเพิ่งจะลุก? ข้าจะเข้าไปข้างในก่อน”
ซวงจูก็ทำประหนึ่งว่าบนทางเดินระเบียงนี้ไม่ได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น ปิดปากหัวเราะแล้วว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังสนทนากับท่านอาที่มาจากแดนไกลอยู่เจ้าค่ะ คุณหนูมาถูกจังหวะพอดีเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยว่า “ท่านอาใด?” ที่ถามไปครานี้กลับมิได้คาดหวังจะให้ซวงจูตอบ เพราะระหว่างพูดนั้นนางก็ได้ข้ามธรณีประตูและเดินเข้าไปแล้ว
เดิมทีเว่ยเกาฉานยังคิดอยากจะเร่งเดินตามไป นางยกชายกระโปรงและวิ่งไปสองก้าว แต่กลับถูกซวงจูรั้งตัวเอาไว้ทั้งร้อยยิ้ม “ครานี้ฮูหยินผู้เฒ่ามีธุระเจ้าค่ะ ยังต้องให้คุณหนูสี่และคุณหนูห้าโปรดรอไปอีกสักครู่เถิดเจ้าค่ะ…”
รอยยิ้มของนางอ่อนโยนและมีไมตรีจิตเช่นเดียวกับที่มีต่อเว่ยฉางอิ๋ง แต่ท่าทีที่รั้งพวกนางไม่ให้เข้าไปนั้นกลับแน่วแน่ยิ่งนัก
___________________________
[1] จิน หนึ่งจินในสมัยถัง หนักเกือบ 600 กรัม
[2] เหลี่ยง หนึ่งเหลี่ยงในสมัยถัง หนักเกือบ 38 กรัม