ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 80 หวงเฉี่ยนซิ่ว
เว่ยฉางอิ๋งมิได้ใส่ใจเรื่องที่ลูกผู้น้องทั้งสองร้องเรียกนาง อย่างไรเสีย ต่อให้นางไม่อาจแต่งเข้าตระกูลเสิ่นได้ หากต้องการจะจัดการลูกผู้น้องที่มิได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับท่านย่าทั้งสองคนนี้ ก็เป็นเพียงเรื่องที่บอกกล่าวออกไปประโยคหนึ่งก็สิ้นเรื่องแล้วเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมองเห็นท่าทีกระวนกระวายใจของเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนแล้ว คาดว่าสองสามวันมานี้ แม้ไม่ต้องเป็นกังวลเมื่อลูกผู้น้องทั้งสองนางนี้ต้องไปไหนมาไหนกับตน แล้วจักพลอยทำให้พวกนาง พลอยต้องถูกครหานินทาไปด้วย ทว่าในสองสามวันมานี้ วันคืนของพวกนางคงจักไม่เป็นสุข หากไม่บอกว่ายากจะนั่งสงบได้ อย่างน้อยก็ต้องคอยคิดอยู่ตลอดเวลาว่า… เมื่อล่วงเกินเว่ยฉางอิ๋งแล้ว นางจักไปฟ้องท่านย่าเรื่องของพวกตนเช่นไร?
ความเคืองแค้นครานี้จะสะสางกันยามใดก็ได้ โดยซึ่งสิทธิ์ในการแก้ไขเรื่องขัดเคืองนี้อยู่ในมือของเว่ยฉางอิ๋ง จึงไม่ควรค่าต้องไปกังวลใจ
กลายเป็นว่าท่านอาจากแดนไกลที่ซวงจูพูดถึงกลับทำให้นางอยากรู้ขึ้นมา ผู้ที่มาจากแดนไกล? ทั้งยังเป็นท่านอา? บ่าวในวัยที่ถูกเรียกว่าทานอาเช่นนี้ นอกจากพวกแม่บ้านในจวนแล้ว ต่อให้เป็นแม่บ้านภายนอกจวน หากต้องการจะพบกับแม่เฒ่าซ่งก็หาใช่เรื่องง่ายดายไม่ และต่อให้สองสามวันมานี้แม่เฒ่าซ่งมาดูแลจวนแทนสะใภ้เป็นการชั่วคราว หากมิใช่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ก็หาใช่ว่าบ่าวบอกว่ามีเรื่องจะรายงาน แล้วแม่เฒ่าซ่งจะไม่รำคาญและให้เข้าพบได้ไม่ หากแต่จักต้องให้รอจนซ่งฮูหยินว่างเสียก่อนค่อยให้มาใหม่
หรือว่ามาจากเจียงหนาน? คงมิใช่ว่าทางท่านตานั้นมีเรื่องใด จึงสามารถเข้าพบแม่เฒ่าซ่งได้? นับๆ ดู ท่านพวกของท่านพี่ซ่งไจ้สุ่ยคงจักถึงเมืองหลวงตั้งนานแล้ว แต่กลับไม่มีข่าวคราวเรื่องถอนหมั้นสำเร็จส่งมาเสียที หรือว่า…
เว่ยฉางอิ๋งเดินเลี้ยวเข้าไปข้างหลังม่านกั้น ในขณะที่กำลังคาดเดาไปต่างๆ นานาอยู่นั้น นางเห็นแม่เฒ่าซ่งในชุดกระโปรงที่สวมอยู่บ้านเป็นปกติ นั่งอยู่ในที่นั่งหลัก นอกจากเฉินหรูผิงและพวกของซวงหลี่ ซวงเฉียวแล้ว ปรากฏว่ามีหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนตั่งกลมสลักลายที่ยกจากข้างนอกเข้ามาและกำลังสนทนาอยู่กับแม่เฒ่าซ่ง
ดูจากสีหน้าของพวกนาง คล้ายกำลังสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน
ภาพที่เห็นนี้ ทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดใจ แน่นอนว่าบ่าวรู้ใจของแม่เฒ่าซ่งย่อมต้องเป็นเฉินหรูผิง ซึ่งเป็นแม่บ้านใหญ่ของรุ่ยอวี่ถัง ทุกคนจึงได้ให้ความเคารพยำเกรงเฉินหรูผิงเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อมองดูบ่าววัยกลางคนที่ไม่คุ้นหน้าผู้นี้ นอกจากดวงตาจะสุกสว่างสักหน่อย ใบหน้าก็ดูธรรมดา มีปิ่นห้อยอุบะไข่มุกสองอันปักเอียงๆ อยู่บนม้วยผม ทั้งสีทองและไข่มุกก็ล้วนธรรมดา สวมเสื้อส้างหรูตัวสั้นแขนแคบสีเขียวไพลที่ไม่มีลวดลายสีสันประดับ สวมกระโปรงหลัวฉวินจีบใหญ่สีงาช้าง… อาภรณ์ทั้งชุดล้วนเป็นของใหม่ และเพราะความใหม่นี้ ยิ่งทำให้เห็นชัดว่านางได้เตรียมตัวตั้งแต่หัวจรดเท้ามาเป็นการพิเศษเพื่อพบแม่เฒ่าซ่ง
ไม่ว่าจะดูอย่างไร หญิงวัยกลางคนผู้นี้ก็เป็นเพียงบ่าวมีอายุในบ้านตระกูลใหญ่ที่มีหน้ามีตาสักหน่อย ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าซ่งกลับดูได้รับเกียรติเช่นนี้ ในขณะที่เฉินหรูผิงยังคงยืนอยู่ข้างหลังฮูหยินผู้เฒ่า แต่หญิงวัยกลางคนในวัยซึ่งสามารถเป็นบุตรสาวของเฉินหรูผิงได้ผู้นี้กลับนั่งที่ตั่งกลมสลักลาย?
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งกวาดตาไปยังเฉิยหรูผิง กลับเห็นว่าท่าทีของแม่นมสูงวัยผู้นี้ก็ยังดูยิ้มแย้มมีอัธยาศัยอันดี มองไม่ออกว่าไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ทว่า แต่ไรมาแม่นมสูงวัยผู้นี้ก็ไม่เคยเอ่ยปาก ต่อให้ในใจมีความคิดใด ก็จักไม่ยอมให้ผู้ใดมองออกได้โดยง่ายอยู่แล้ว
นางเดินไปสองก้าว แม่เฒ่าส่งก็ได้เหลือบตามาเห็นหลานสาวแล้ว จึงหยุดการสนทนาเสีย และเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “มิใช่บอกว่าเมื่อวานเจ้าต้องลมหนาวจนล้มป่วยหรอกหรือ? ไยจึงมาแล้ว?”
“ดื่มน้ำขิงและนอนหลับหนึ่งคืน ตื่นเช้ามาก็หายแล้วเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเดินเข้าไปคราวะและกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
แม่เฒ่าซ่งเห็นว่าสองแก้มของนางมีสีระเรื่อเป็นธรรมชาติ ฟังเสียงพูดจาก็มีกำลังดีจึงได้วางใจ พลางกวักมือแล้วว่า “เจ้ามาได้จังหวะพอดี ข้ากำลังเอ่ยถึงเจ้ากับเฉี่ยนซิ่วอยู่เชียว”
เว่ยฉางอิ๋งมองไปยังหญิงวัยกลางคนผู้นั้นคราหนึ่ง คิดในใจว่าเฉี่ยนซิ่วที่ท่านย่าเอ่ยถึงนั้นคงจักเป็นหญิงผู้นี้ ในสีหน้าของนางก็อดจะมีความประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ว่า ‘คนผู้นี้ดูแปลกหน้ายิ่ง แล้วจักเกี่ยวกับเรือนเสียซวงของข้าเรื่องใดกัน?’
แม่เฒ่าซ่งหันหน้าไปกล่าวกับหญิงวัยกลางคนผู้นั้นว่า “นี่ก็คือฉางอิ๋ง” น้ำเสียงของนางนั้นใกล้ชิดสนิทสนมเป็นอย่างยิ่ง เหมือนยามที่พูดกับเฉินหรูผิง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้ยินการแนะนำเช่นนี้ คล้ายกับว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้หาได้ไม่คุ้นเคยกับเว่ยฉางอิ๋งไม่
สิ่งที่พบเห็นนี้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งยิ่งทวีความสงสัยขึ้นอีก แล้วเห็นว่ามุมปากของหญิงวัยกลางคนผู้นั้นกำลังอมยิ้ม พลางลุกขึ้นมาคราวะตนด้วยท่าทางสุภาพอ่อนโยน ‘ข้าน้อยแซ่หวง ครานั้นท่านแม่เฒ่าเหมิงให้นามว่าเฉี่ยนซิ่ว คารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ!’ สายตาของนางเป็นมิตรยิ่งนัก กระทั่งมีแววตาแห่งความรักใคร่เอ็นดูที่ออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วกล่าวพร้อมเสียงสะอื้นว่า “ไม่ได้พบกันหลายปี โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงแข็งแรงดังเดิม และคุณหนูใหญ่ก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
“ท่านอาไม่ต้องมาพิธีเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งฟังจากน้ำเสียงของนางว่าเหมือนจักเคยพบตนมาก่อน แต่เหตุใดไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ว่าเคยจดจำหญิงวัยกลางคนผู้นี้ได้แต่เมื่อใด เว่ยฉางอิ๋งพลันประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ท่านอาเคยได้พบข้ามาก่อน?”
นางหวงอมยิ้มแล้วมองไปยังแม่เฒ่าซ่งคราหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มน้อยๆ แล้วอธิบายแทนหลานสาวว่า “เฉี่ยนซิ่วเป็นหลานข้างแม่ของแม่นมเฉินของเจ้า แก่กว่าท่านอารองของเจ้าสองปี ก่อนนี้อยู่ในคฤหาสน์ที่เมืองหลวงมาโดยตลอด คอยช่วยอาสะใภ้รองของเจ้าจัดการงานในบ้านทุกเรื่อง ยามเจ้ายังอยู่ในผ้าอ้อมอยู่นั้น เป็นนางและนางเฮ่อช่วยกันดูแลเจ้ามา”
นางหวงกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “คำกล่าวนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ายกย่องข้าน้อยเสียแล้ว ข้าน้อยโง่เขลานัก มีความสามารถแค่เพียงน้อยนิด เรื่องใหญ่ต่างๆ ล้วนเป็นฮูหยินรองจัดการดูแล ภายในจวนจึงสงบเรียบร้อยได้ ตัวข้าน้อยนั้นมิกล้ารับความชอบ ยามที่คุณหนูใหญ่ยังอยู่ในผ้าอ้อมก็ล้วนเป็นน้องเฮ่อที่เป็นคนลำบาก ข้าน้อยก็เพียงคอยช่วยเหลือบ้างเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“ที่แท้เป็นท่านอาที่มาจากเมืองหลวงหรอกหรือเจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งพอจักนึกขึ้นมาได้ว่ายามที่กลับมาเฟิ่งโจวนั้น นางหวงผู้นี้เป็นผู้ที่ท่านย่าจงใจให้อยู่ที่เมืองหลวงต่อไป เพื่อคอยจับตาดูครอบครัวของท่านอารอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ จึงได้มาที่เฟิ่งโจว? เพราะมีเรื่องที่ต้องมารายงานด้วยตนเอง หรือท่านย่าเป็นคนสั่งให้มา? นางคิดใคร่ครวญไปมาในใจอย่างรวดเร็ว ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินซวงจูบอกว่าท่านย่ากำลังสนทนาอยู่กับท่านอาจากแดนไกลท่านหนึ่ง ยังนึกว่ามาจากเจียงหนานเสียอีก! ก่อนนี้ท่านอาก็ยังเคยดูแลข้าด้วย น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้ายังเล็กนัก จึงจำท่านอาไม่ได้ ท่านอาโปรดอย่าได้ถือโทษ!”
นางหวงรีบกล่าวว่า “ยามนั้นคุณหนูยังเล็ก จักจำคนได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นข้าน้อยก็เพียงคอยช่วยน้องเฮ่อเท่านั้นเจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าซ่งยิ้ม “เดิมทีตกลงกันว่าจะให้เฉี่ยนซิ่วและนางเฮ่อดูแลเจ้าด้วยกัน นึกไม่ถึงว่าภายหลังด้วยท่านปู่เจ้าล้มป่วย พวกเราต้องเร่งกลับเฟิ่งโจว คงเพราะมีหลายคนที่ตามขึ้นมาด้วยไม่ทัน จึงได้ให้นางอยู่ที่คฤหาสน์ที่เมืองหลวง นับแต่เจ้าจำความได้ก็มิเคยได้เจอกัน ก็ไม่แปลกที่เจ้าจะเดาไปถึงเจียงหนานโน่น”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำกล่าวนี้ คิดในใจว่าที่แท้แล้วสาเหตุที่นางหวงผู้นี้ต้องอยู่ที่เมืองหลวงมาตลอดหลายปีนี้ เป็นท่านย่าจงใจวางแผนจัดการ หาไม่แล้วด้วยฐานะของเฉินหรูผิงที่คอยอยู่ข้างกายแม่เฒ่าซ่งนั้น ไม่ว่าจะเร่งรีบจนพาคนไปได้ไม่หมด หลานสาวของเฉินหรูผิงก็จะไม่มีวันถูกหลงลืมเป็นแน่ ดังนั้นเป็นไปได้แต่เพียงว่าจงใจให้นางอยู่ที่นั่นต่อไป
เพียงแต่นับๆ ดูแล้วครานั้นนางหวงก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนเองในเวลานี้ ซึ่งในวัยสาวเช่นนั้นเกรงว่ายังคงเป็นสาวใช้อยู่ และสำหรับหลายคนก็ถือว่าอายุยังน้อยอยู่มาก จักสามารถดูแลบ้านท่านอารองทั้งบ้านได้หรือ? เพราะแม้แต่ท่านปู่เองก็ยังชื่นชมท่านอารองว่าฉลาดปราดเปรื่องนัก
หรือว่าครานั้นแม่เฒ่าซ่งไม่ได้ทิ้งนางหวงเอาไว้ลำพังผู้เดียว? แต่ยังมีผู้อื่นที่สูงวัยกว่าและน่าเชื่อถือยิ่งว่า เพียงแต่หนนี้มิได้กลับมาพร้อมกัน?
ทว่าแม่เฒ่าซ่งก็พูดเองแล้วว่า นางหวงเป็นผู้ที่ช่วยฮูหยินรองแซ่ตวนมู่ ‘ดูแลเรื่องทั้งหมดในบ้าน’ ที่เมืองหลวง ว่ากันตามจริงแล้วเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าจากไป นางตวนมู่ก็ถือเป็นนายผู้หญิงของคฤหาสน์ที่เมืองหลวงโดยชอบธรรม ต่อให้นางหวงสามารถอาศัยอำนาจของแม่เฒ่าซ่งได้ ทว่าอยู่ห่างไกลปานนั้น หากตนเองไม่มีความอดทน นี่ก็สิบกว่าจะยี่สิบปีแล้ว นางตวนมู่จักไม่กล้ากดนางเอาไว้ และควบคุมนางได้อยู่หมัดหรือ! มีหรือจะเหลือช่องทางใดให้นางคอยช่วยดูแลบ้านเรือน?
เมื่อมองดังนี้แล้ว แม้ตั้งแต่แรกแม่เฒ่าซ่งจะมิได้เลือกนางหวงให้เป็นคนสอดแนมอยู่ในบ้านสองเพียงผู้เดียวทว่า นางหวงก็คงจักเป็นผู้ที่เก่งกาจที่สุดในจำนวนนั้น
และเมื่อมองจากอายุของนางหวงครั้งเมื่อได้รับคำสั่งให้อยู่ที่เมืองหลวง ผนวกกับประสบการณ์ที่สั่งสมมาจนวันนี้ ก็จักเห็นได้ว่ากลยุทธ์ในการดูแลจัดการเรื่องในบ้านของนางนั้นลึกล้ำปานใด หาไม่แล้วเหตุจึงได้ไปเข้าตาฮูหยินผู้เฒ่าและได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญทั้งที่อายุเพียงน้อยๆ เท่านั้น?
… แต่กลับไม่รู้ว่าคนซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้ เหตุใดจู่ๆ จึงได้กลับมาที่เฟิ่งโจวในเวลาเช่นนี้? จะว่าไปตลอดสิบกว่าปีมานี้ นี่เป็นคราแรกในที่นางหวงมาปรากฏตัวที่รุ่ยอวี่ถัง แต่แม่เฒ่าซ่งกลับยังคงคุ้นเคยและผ่อนคลายกับนางเป็นอย่างมาก เห็นชัดว่าสิบกว่าปีมานี้ทั้งสองฝั่งหาได้ไม่ติดต่อส่งข่าวคราวกัน แต่ในทางกลับกัน เมื่อมองจากประเด็นนี้พวกนางจักต้องคอยส่งข่าวหากันอยู่บ่อยครั้ง จึงยังคงรักษาความคุ้นเคยครั้งเคยอยู่ในคฤหาสน์เดียวกันตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนเอาไว้ได้ตลอดมา
หากเป็นเรื่องทั่วไปก็ไม่มีความจำเป็นใดต้องให้นางหวงเดินทางมาด้วยตนเอง และในเมื่อนางมาด้วยตนเองแล้ว เช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรล้วนไม่มีทางเป็นเรื่องเล็ก!
แต่ยามนี้ดูไปแล้วทั้งแม่เฒ่าซ่งและนางหวงล้วนมีท่าทางผ่อนคลาย แม่เฒ่าซ่งเองก็ถึงขึ้นมีแก่ใจช่วยนางหวงสร้างความใกล้ชิดสนิทสนมกับหลานสาวตน… เว่ยฉางอิ๋งอดคิดสงสัยไม่ได้ว่า ‘คงมิใช่ว่ามีเรื่องใดที่ไม่ต้องการให้ข้ารู้ จึงทำให้ท่านย่าและท่านอาหวงผู้นี้เอาแต่สนทนาสัพเพเหระไม่คุยเรื่องสำคัญเสียที?’
ในขณะที่นางกำลังคาดเดาอยู่นั้น แม่เฒ่าซ่งก็สัมผัสได้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ “อย่าได้มองแต่เพียงว่าเฉี่ยนซิ่วและนางเฮ่อมีอายุไล่เลี่ยกัน นางมีความละเอียดอ่อนกว่านางเฮ่อมากนัก ต่อไปมีนางอยู่ข้างกายเจ้า ตัวข้าเอง ก็วางใจได้แล้ว!”
เว่ยฉายอิ๋งตะลึงงัน พลันโพล่งออกไปว่า “ท่านย่าจะไล่ท่าอาเฮ่อไปหรือเจ้าคะ?”
แม้นางจะคาดเดาได้ว่าสาเหตุที่นางเฮ่อผู้นี้สามารถทำให้แม่เฒ่าซ่งให้เกียรติถึงเพียงนี้ ไม่มีทางเป็นเพราะเฉินหรูผิงเท่านั้น แต่ตัวนางเองจักต้องเป็นผู้เฉลียวฉลาดมีความสามารถอีกด้วย เพียงแต่ แม้นางเฮ่อจะปากร้ายและไม่ละเอียดอ่อนเท่าใด แต่ก็อยู่ข้างกายเว่ยฉางอิ๋งมาโดยตลอด ความรู้สึกที่เว่ยฉางอิ๋งมีต่อแม่นมผู้นี้ หาใช่เพียงผิวเผินไม่ ก็ย่อมอาลัยอาวรณ์ไม่อยากแยกจากนางเป็นธรรมดา
สีหน้าของนางก็พลันร้อนรนขึ้นมา โดยไม่ทันห่วงว่ายามนี้จะมีนางหวงอยู่ข้างๆ นี่เอง
แม่เฒ่าซ่งทั้งขัดเคืองทั้งขบขัน กล่าวว่า “ท่าทีอดจะเต้นโหยงขึ้นมาไม่ได้ของเจ้าเช่นนี้หมายความอย่างไรกัน? หรือบ้านเราให้ท่านอาอีกคนแก่เจ้าแล้วจะถึงกับต้องขัดสนได้ยาก?” พลางชี้นิ้วไปแตะที่หว่างคิ้วของนางคราหนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “ปีหน้าเจ้าก็จักออกเรือนแล้ว แม้เจ้าจะเกิดที่เมืองหลวง แต่ก็กลับมาเติบโตที่เฟิ่งโจว คนที่คอยดูแลข้างกายเจ้าก็เช่นกัน แม้จะบอกว่าท่านอาหญิงรองของเจ้าจักอยู่ที่เมืองหลวง ทว่าก็ไม่อาจจะเข้าไปคอยชี้แนะเจ้าในบ้านเสิ่นได้… เฉี่ยนซิ่วนั้นเรียกได้ว่าเกิดและเติบโตในเมืองหลวง เคยคุ้นกับนิสัยใจคอของคนที่เมืองหลวงเป็นที่สุด แล้วเจ้าว่าเจ้าจักไม่ต้องคนเช่นนี้เอาไว้ข้างกายเจ้าอีกคนรึ?”
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ยินว่าหาใช่ต้องการจะไล่นางเฮ่อไปไม่ เพียงแต่เพิ่มคนให้ตนผู้หนึ่ง นางจึงได้เปลี่ยนจากความกังวลมาเป็นยินดี แล้วกล่าวโทษว่า “โธ่เอ๊ย ท่านยาไม่พูดให้ชัดเจน ข้าก็หลงนึกว่าจะเปลี่ยนท่านอาให้ข้าใหม่นั่นสิเจ้าคะ!” เป็นเพราะมีนางหวงอยู่ ทั้งยังเป็นท่านอาที่แม่เฒ่าซ่งสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง จึงได้หันไปยิ้มแย้มและคำนับนาง “ท่านอาหวงอย่าได้ถือโทษ เพียงข้าได้พบท่านอาก็รู้สึกว่าเป็นมิตร เพียงแต่ท่านอาเฮ่ออยู่กับข้ามานานปี จึงทำให้ทำใจจากกันไม่ได้”
ตั้งแต่ต้นจนจบใบหน้าของนางหวงล้วนมีแต่รอยยิ้ม แม้เว่ยฉางอิ๋งจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ไล่แม่นมเฮ่อไปเพื่อให้นางมาอยู่แทน นางก็ยังไม่มีท่าทีหวั่นไหวหรือมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เวลานี้ได้ยินคำของเว่ยฉางอิ๋ง ริมฝีปากก็ยิ่งมีรอยยิ้มเสียยิ่งกว่าเก่า คำนับตอบนางแล้วว่า “จักกล้าโทษคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรกันเจ้าคะ? คุณหนูใหญ่มีใจผู้พันรักใคร่เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นน้องเฮ่อก็คอยปรนนิบัติคุณหนูมานานปี ข้าน้อยเพิ่งจักมาใหม่ ต่อไปจักต้องขอคำชี้แนะจากน้องเฮ่ออีกมากเจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าซ่ง สรุปให้ชัดเจนว่า “ดีแล้ว เฉี่ยนซิ่วและนางเฮ่อก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักกัน ในเรือนเสียซวงก็ยังมีห้องว่างอีกหลายห้องที่ทำไว้เรียบร้อย ยามนี้ก็พอดีว่าพวกเจ้าจักได้กลับไปพร้อมกัน นับแต่วันพรุ่ง เจ้าต้องฟังท่านอาหวงผู้นี้สอนสั่งเรื่องที่เมืองหลวงให้จงดี!”
เว่ยฉางอิ๋งหันหน้าไปสั่งเยี่ยนเกอที่อยู่ข้างหลังในทันใดว่าให้กลับไปบอกนางเฮ่อเตรียมห้องเอาไว้เสียก่อน เพราะสัมผัสได้ว่าแม่เฒ่าซ่งให้ความสำคัญกับนางหวงและมีความรู้สึกไม่ใคร่พอใจนางเฮ่อแฝงอยู่ภายใน จึงเกรงว่าเรื่องนี้จะทำให้นางเฮ่อรู้สึกว่าถูกนางหวงข่มเอา จึงกล่าวไปเป็นพิเศษว่า “น่าเสียดายที่สองวันนี้ล้วนมีฝนตก ห้องสองสามห้องในเรือนเสียซวงนั้นล้วนไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว ครานี้แม้จะทำความสะอาดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็เกรงว่าจะยังมีกลิ่นอยู่บ้าง”
“คุณหนูใหญ่เป็นกังวลไปแล้วเจ้าค่ะ” นางหวงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ข้าน้อยก็หาใช่คนเปราะบางอะไร ขอเพียงมีห้องสักห้องก็พอแล้ว รอจนอากาศปลอดโปร่งแล้วจึงค่อยเอาของออกไปตากก็เป็นพอเจ้าค่ะ”
ท่านอาที่มองดูแล้วอ่อนโยนและช่างเอาอกเอาใจเช่นนี้ แต่ด้วยเรื่องของนางเฮ่อ เว่ยฉางอิ๋งจึงกลับระวังตัวกับนางขึ้นมา แต่ความรู้สึกเช่นนี้ก็มิได้มีที่ใดไม่ดี ยิ่งไปกว่านั้นนางหวงคุ้นเคยกับธรรมเนียมและนิสัยใจคอของผู้คนในเมืองหลวง เว่ยฉางอิ๋งที่ยามนี้จะต้องแต่งเข้าบ้านตระกูลเสิ่นแน่นอนแล้ว ว่ากันตามจริง ข้างกายนางก็ยังขาดคนเช่นนี้… ต่อให้เมื่อไปถึงเมืองหลวงจะสามารถสอบถามเอาได้จากบ่าวในบ้านเสิ่น แต่มีหรือจะน่าเชื่อถือได้เท่ากับบ่าวที่ท่านย่าให้ไปอยู่ด้วยยามแต่งงานเล่า?
ดังนั้น แม้เว่ยฉางอิ๋งจะกังขาอยู่ในใจว่าท่านอาหวงผู้นี้มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ ทั้งยังเป็นท่านย่าแนะนำให้ตนด้วยตนเอง ก็ใช่ว่าจะถือเอาเรื่องนี้มารังแกพวกของนางเฮ่อจึงจะถูกต้อง… ต่อให้นางหวงเฉลียวฉลาดเก่งกาจปานใด ไม่ว่าจะว่าอย่างไรพวกของนางเฮ่อ หรือต่อให้เป็นพวกฉินเกอทั้งสี่คน ต่างก็ปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋งมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว จึงมีความผูกพันกัน คนเช่นนางหวงซึ่งจู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในเรือนเสียซวงกลางคันเช่นนี้… จึงเป็นธรรมดาที่จิตใจของเว่ยฉางอิ๋งย่อมจะเอนเอียงไปในทางที่ตนคุ้นเคยมากกว่า
ทว่าเมื่อคิดย้อนกลับมา นางหวงในวัยสิบแปดปีก็สามารถรับหน้าที่สำคัญในการจับตาดูบ้านสอง แม้แต่แม่เฒ่าซ่งจากเมืองหลวงมาสิบกว่าปี ท่านอาสะใภ้รองแซ่ตวนมู่ก็ยังทำสิ่งใดไม่ได้ นอกเสียจากเอาแต่นั่งดูนางแบ่งอำนาจการดูแลปกครองบ้านของฮูหยินเช่นตนมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ท่านอาที่เก่งกาจเช่นนี้ ขอเพียงมิได้มีใจเป็นอื่น เมื่อมีนางหวงอยู่ข้างกายแล้ว ภายภาคหน้าก็จะสามารถลดความกังวลไปได้ไม่น้อยเลย
ด้วยความคิดเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งแอบหวังในใจว่าเมื่อนางหวงผู้นี้มาถึงเรือนเสียซวงแล้ว ก็จะสามารถสมานสมัคคีกับพวกของนางเฮ่อได้เป็นอย่างดี ต่างฝ่ายต่างยอมให้กัน แล้วทุกคนก็พร้อมแรงพร้อมใจกันมาช่วยตนได้เป็นดี
ทว่าเห็นชัดว่าแม่เฒ่าซ่งให้ความสำคัญกับนางหวงมาก ระหว่างที่สนทนาสรรพเหระกันในเวลาต่อมา ยังคอยเรียกให้นางหวงพูดคุยด้วยสองสามประโยค แม้จักเป็นเช่นนี้ นางหวงกลับมิได้เผยสีหน้าโอหังออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่ต้นจนจบไม่ร้อนรนไม่กระวนกระวาย หากแต่อ่อนโยนสำรวม จากเดิมที่เป็นห่วงว่าแม่เฒ่าซ่งคอยให้ท้ายนางหวง แล้วจักทำให้พวกของนางเฮ่ออดจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่ได้ แต่ด้วยท่าทีเช่นนี้ของนางหวงกลับทำให้เว่ยฉางอิ๋งโล่งใจขึ้นมา พลางคิดในใจว่าที่แท้แล้วคนที่ท่านย่าเลือกสรรออกมานั้นเป็นคนที่สามารถสะกดอารมณ์ได้เป็นอย่างดี มิใช่เป็นพวกตื้นเขินที่พอได้รับการยกย่องแค่เพียงน้อยก็เหลิงจนลืมตัว
ทว่าในยามนี้ยังอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า นิสัยใจคอที่แท้จริงของนางหวงนั้นยังต้องคอยดูหลังจากที่ไปถึงเรือนเสียซวงแล้ว ว่านางจักปฏิบัติเช่นไรกับพวกของนางเฮ่อจึงจะสามารถแน่ใจได้
…ในที่นี้พูดไม่ได้ว่าพวกนางสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ แต่อย่างน้อยก็พูดคุยกันได้อย่างเบิกบานใจยิ่ง ด้วยความตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจจึงกลับหลงลืมเรื่องที่เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนรอจะเข้ามาคารวะท่านย่าอยู่ข้างนอกไปเสียสนิท
จนกระทั่งเกือบจะหนึ่งชั่วยามจากนั้น แม่เฒ่าซ่งเตรียมจะให้หลานสาวอยู่รับประทานอาหารเป็นเพื่อนตน แล้วให้เฉินหรูผิงพานางหวงไปทานอะไรที่ด้านหลังเสียหน่อย ทั้งให้น้าหลานสองคนได้สนทนากันบ้าง… ซวงจูคอยยืนชะเง้อคออยู่ที่ประตู จึงได้ถูกเรียกตัวเข้ามาสอบถาม ซวงจูบอกว่า “คุณหนูสี่และคุณหนูห้ามารออยู่นาน เมื่อครู่เกิดมีอาการไอขึ้นมาเจ้าค่ะ”
หลายวันมานี้ฝนฤดูใบไม้ร่วงทำให้ความเย็นตลบอบอวลทั่วไปหมด ทั้งภายนอกประตูก็เป็นช่องทางลมมีลมโกรกอย่างหนัก เมื่อวานเว่ยฉางอิ๋งตากลมเพียงน้อยก็ยังล้มป่วยเพราะต้องลมเย็น เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนซึ่งเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย เคร่งครัดในกฎระเบียบ พวกนางจึงมีร่างกายที่อ่อนแอบอบบางอย่างคุณหนูทั่วๆ ไปที่รักษากฎระเบียบเป็นกัน… ตากลมฤดูใบไม้รวงอยู่หนึ่งชั่วยาม ทั้งมิได้สวมผ้าคลุมกันลม ไม่กล้าเรียกให้คนกลับไปเอา ทั้งยืนอยู่นานยิ่งเหนื่อยล้า หากไม่เจ็บป่วยขึ้นมาสักเล็กน้อยกลับเป็นเรื่องแปลกเสียอีก
“เช่นนั้นก็ให้พวกนางกลับไปเสียเถิด” แม่เฒ่าซ่งมิได้ปิดบังความลำเอียงของตนเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินดังนั้นกลับเอ่ยออกไปอย่างราบเรียบโดยไม่แม้จะเหลือบตามองสักหน
เฉินหรูผิงเอ่ยคำเสริมไปว่า “ร่างกายของคุณหนูใหญ่ยังมิทันหายดี ฮูหยินผู้เฒ่าก็อายุมากแล้ว ในเมื่อคุณหนูทั้งสองมีอาการไม่สบายเพราะลมหนาว แล้วจักเข้ามาได้อย่างไร? หากแพร่เชื้อโรคขึ้นมาแล้วจักทำอย่างไร?”
ซวงจูเข้าใจโดยพลัน “ข้าน้อยจักไปบอกกล่าวกับคุณหนูทั้งสองเดี๋ยวนี้ ว่าในระยะสองสามวันให้อยู่แต่ในห้องของตนอย่าได้ออกมาเจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าซ่งรอจนซวงจูออกไป แล้วมองไปยังเว่ยฉางอิ๋งที่สีหน้ากำลังสับสน พลางกล่าวเรียบๆ ว่า “เรื่องนี้เจ้าไปจัดการเอาเองเถิด”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเหม่อไป จากนั้นจึงได้พยักหน้าเป็นทีว่าเข้าใจแล้ว
___________________________