ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 81 หยั่งเชิง
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเว่ยฉางอิ๋งก็คือ นางเฮ่อที่แต่ไรมาเป็นคนอารมณ์ร้ายชอบเอาชนะเป็นที่สุดแม้เพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตาม เมื่อได้เห็นนางหวงกลับมิทันรอให้ตนแนะนำ ก็วิ่งปรี่เข้ามารับเป็นอย่างยินดี “นี่ข้าไม่ได้ฝันอยู่ใช่หรือไม่? พี่หวง ท่านมาจริงๆ หรือ?”
นางหวงมองไปด้วยสายตาแย้มยิ้ม จึงว่า “ได้ยินว่าวานนี้คุณหนูใหญ่มีอาการไอ? ยามนี้แม้จะหายแล้ว แต่ก็อย่าได้ตากลมมากไปเป็นดี”
นางเฮ่อมิได้รู้สึกสักนิดว่านางหวงเพิ่งจะมาก็มายึดอำนาจตนและเริ่มออกคำสั่ง หากแต่พยักหน้ารับคำ แล้วว่า “เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ดูข้าสิ พอเห็นพี่หวงก็ลืมคุณหนูใหญ่เสียสนิท!”
ขณะที่ถูกล้อมตัวเดินเข้าประตู เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกสงสัยในใจ เมื่อตนเองนั่งลง จึงให้ท่านอาทั้งสองนั่งลงด้วยแล้วสอบถามว่า “เมื่อครู่ท่านย่าบอกว่าท่านอาเฮ่อและท่านอาหวงรู้จักกัน ไม่ทราบว่าจะเล่าให้ข้าฟังสักหน่อยได้หรือไม่?”
นางเฮ่อจับจ้องอยู่ที่นางหวงไม่ยอมละสายตามาเสียตั้งนานแล้ว นางมีท่าทางราวกับว่ามีคำพูดมากมายในอกที่อยากจะบอกเล่าออกมา เมื่อได้ยินคำของเว่ยฉางอิ๋ง นางไม่แม้แต่จะคิดก็พูดว่า “คุณหนูใหญ่ไม่ทราบ ข้าน้อยและพี่หวงนั้นเรียกได้ว่าเติบโตมาด้วยกัน เหมือนกับจูสือและจูหลานในยามนี้ ครานั้นหลังจากคุณหนูใหญ่เกิด พอดีกับว่าข้าน้อยยังไม่หมดนม จึงได้มาเป็นแม่นมให้คุณหนูใหญ่ จากนั้นเมื่อคุณหนูใหญ่อายุได้ห้าเดือนกว่า ข้าน้อยบังเอิญไปกินของที่ไม่ควรกินเข้า ทำให้คุณหนูใหญ่อาเจียนนมออกมาติดต่อกันสองวัน จนเกือบจะมิได้ดูแลคุณหนูใหญ่เสียแล้ว โชคดีที่พี่หวงช่วยทำอาหารยาปรับร่างกายให้ข้าน้อย จึงสามารถอยู่ข้างกายคุณหนูใหญ่ได้ต่อไป!”
เว่ยฉางอิ๋งมองไปยังนางหวงอย่างประหลาดใจ “ท่านอาหวงทำอาหารยาเป็นหรือ? ท่านอารู้เรื่องการแพทย์หรือเจ้าคะ?”
“อาหารยาพี่หวงทำออกมานั้นแทบไม่ต่างกับของ ‘ลวี่หยวน’ เลยเจ้าค่ะ” เดิมทีหลายวันมานี่นางเฮ่อก็อารมณ์ดีมาโดยตลอด ยามนี้ยิ่งได้มาพบกับเพื่อนเก่าที่จากกันมาสิบกว่าปี ในใจยิ่งตื่นเต้นดีใจ ครานี้จึงได้หลงลืมข้อห้ามบ้างอย่างไป และหลุดปากไปว่า “อย่างไรเสียก็เป็นท่านหมอเทวดาจี้สอนสั่งมากับมือเชียวนะเจ้าคะ!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงนางเฮ่อ ทั้งที่ใบหน้าของนางหวงยังยิ้มแย้มอยู่เช่นเดิม แต่กลับแย่งนางพูดอย่างไม่ให้เป็นที่น่าสงสัยว่า “ไม่เจอกันสิบกว่าปี นิสัยเช่นนี้ของน้องเฮ่อกลับยังไม่เปลี่ยนเลย เพียงแต่ยามนี้คุณหนูใหญ่อยู่ที่นี่ เจ้าอย่าเอาแต่ห่วงเรื่องเก่าๆ แต่กลับไม่รู้ว่ายามนี้คุณหนูใหญ่ทำสิ่งอยู่บ้าง?”
เว่ยฉางอิ๋งเคยได้ยินฮูหยินซ่งเอ่ยถึงข้อห้ามเกี่ยวกับจี้ชวี่ปิ้งผู้นี้มาก่อนแล้ว ในเวลานี้จึงไม่ไปซักไซ้ถามให้มากความ แต่เมื่อเห็นว่านางเฮ่อตื่นเต้นดีใจจนเก็บคำพูดไว้ไม่ได้เช่นนี้ ก็พลันลอบอุทานในใจว่า ‘หรือที่ท่านย่าบอกว่าท่านอาเฮ่อนั้นดีไปเสียทุกเรื่อง เพียงแต่เวลาดีใจขึ้นมาก็มักจะอดกลั้นอะไรไม่ได้ เรื่องนี้หากนำไปเล่าให้ท่านย่าฟังก็เกรงว่าคงจักกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต… ทว่าท่านอาหวงผู้นี้กลับเอาแต่นิ่งเงียบสงบคำ สมกับเป็นผู้ที่ท่านย่าให้ความสำคัญจริงๆ’
การที่เว่ยฉางอิ๋งลอบถอนหายใจเช่นนี้ แม้นางจะมิได้ถึงขึ้นรังเกียจนางเฮ่อด้วยสาเหตุนี้ ทว่านางก็ยิ่งให้ความสำคัญกับนางหวงมากยิ่งขึ้น จึงกล่าวว่า “เวลานี้โดยทั่วไปแล้วข้ามิได้ทำเรื่องใด เช่นนั้นจึงกลับเป็นโอกาสดีจะให้ท่านอาได้รู้จักคนของข้า… ฉินเกอ เยี่ยนเกอ ไปเรียกคนมา”
สาวใช้ทั้งแปดนางที่ดูแลอยู่ในเรือนเสียซวงล้วนเข้ามาคารวะนางหวง เว่ยฉางอิ๋งให้นางเฮ่อไปดูการจัดเก็บห้องพักกับนางหวง นางเฮ่อยิ้มพลางกล่าวว่า “ห้องเหล่านี้ไม่มีคนอยู่มานานปี กลิ่นอับชื้นรุนแรงนัก ทั้งยามนี้ก็มีฝนตก ดีชั่วอย่างไรข้าน้อยก็อยู่เพียงผู้เดียว ทั้งห้องก็กว้างขวาง ดังนั้นข้าน้อยจึงเรียกให้คนไปจัดห้องแล้วรอบหนึ่ง และให้พี่หวงพักอยู่กับข้าน้อยไปก่อนดีไหมเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งจึงถามนางหวงว่า “ท่านอาหวงคิดเห็นเช่นไรเล่า?”
แน่นอนว่านางหวงไม่มีข้อขัดข้องใด
เว่ยฉางอิ๋งสนทนากับนางอีกสักพัก มองสีท้องฟ้าก็ค่ำแล้ว บวกกับนางเฮ่อไม่อาจปิดบังสีหน้าอันเร่งร้อนเอาไว้ได้ ว่าต้องการจะสอบถามเรื่องราวหลังจากที่จากกันเสียยิ่งนัก จึงอดจะหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้ พลางว่า “ข้ารู้สึกเพลียแล้ว ท่านอาทั้งสองตามสบายเถิด คืนนี้ก็ให้ฉินเกอและเยี่ยนเกอนอนเป็นเพื่อนข้าก็พอแล้ว”
นางเฮ่อดีใจยิ่ง “ข้าน้อยขอบคุณคุณหนูใหญ่ที่เอาใจใส่ข้าน้อยเจ้าค่ะ!”
นางหวงมองนางอย่างจนใจคราหนึ่ง แล้วขอบคุณเว่ยฉางอิ๋งพร้อมกัน และอำลาตามนางออกไป
วันต่อมา
เว่ยฉางอิ๋งเตรียมพร้อมเอาไว้ว่าวันนี้นางหวงจะต้องตื่นสายหรือต่อให้ไม่ตื่นสายก็จะต้องมีสีหน้าเซื่องซึมอยู่บ้าง… เพราะอย่างไรเมื่อวานนี้ เพียงแค่มองไปยังนางเฮ่อที่แม้จะอยู่ต่อหน้าตนก็มีท่าทีว่ามีเรื่องต้องสนทนากันไม่จบไม่สิ้นแล้ว รอจนไปนอนบนตั่งเดียวกับนางหวง เพียงเลือกเรื่องที่จากกันมาสิบกว่าปีนี้มาสักเรื่องหนึ่ง หากไม่พูดกันทั้งคืน หรือไม่พูดคุยกันถึงดึกดื่นกระทั่งง่วงนอนเสียจนพูดต่อไปอีกไม่ไหวก็คงจะไม่ยอมหยุด
นางหวงเพิ่งจะเร่งเดินทางมาถึง เดินทางด้วยเรือและรถมาอย่างลำบากตลอดทาง ทั้งยังถูกนางหวงรบกวนทั้งคืน หากวันนี้กำลังวังชาดีอยู่ก็แปลกแล้ว
ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังดังนี้อยู่ เมื่อเห็นว่าฝนยังไม่หยุด จึงคิดจะฝึกฝนตนด้วยการหาบางสิ่งทำสักหน่อย ไม่คิดว่าเพิ่งจะเรียกให้คนเตรียมกระดาษและฝนหมึก นางเฮ่อและนางหวงก็เข้ามาในประตูพร้อมกัน ดูไปแล้วแม้จะพูดไม่ได้ว่ากระปรี้กระเปร่านัก แต่ก็มิได้เซื่องซึมอย่างที่คาดเอาไว้
ไม่ทันรอให้เว่ยฉางอิ๋งแสดงสีหน้าประหลาดใจ นางเฮ่อและนางหวงพลันขอขมาด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ข้าน้อยตื่นสาย ขอคุณหนูลงโทษด้วยเจ้าค่ะ!”
“วานนี้ท่านอาหวงเร่งเดินทางมา วันนี้จะตื่นสายบ้างก็ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มหนแล้วหนเล่า กล่าวว่า “ท่านอาเฮ่อไม่ได้พบกับท่านอาหวงมาสิบกว่าปีแล้ว อยู่เป็นเพื่อนท่านอาหวงก็ถือเป็นน้ำจิตน้ำใจที่ควรมีเจ้าค่ะ”
ในคำกล่าวนี้ยังเป็นการปกป้องนางเฮ่อด้วย อย่างไรเสียความเป็นไปได้ที่สุดที่พวกนางมาสายก็เพราะนางเฮ่อพานางหวงพูดคุยจนทำให้นอนกันดึกดื่น แต่ที่เว่ยฉางอิ๋งกล่าวเช่นนี้ กลับบอกว่าสาเหตุที่มาสายเพราะนางหวงตื่นสายเพียงผู้เดียว ส่วนนางเฮ่อนั้นต้องรอนางจึงได้มาสายไปด้วย
ดูไปแล้วนางหวงก็มิได้สนใจว่าจะต้องตกกระไดพลอยโจรไปด้วย และขอบคุณพร้อมๆ กับนางเฮ่อที่เว่ยฉางอิ๋งให้อภัย จากนั้นนางเฮ่อก็สอบถามเรื่องต่างๆ ตามความเคยชินของเว่ยฉางอิ๋งไปทีละเรื่อง และคอยสอบถามพวกของเจวี๋ยเกอที่ดูแลปรนนิบัตินางอีกด้วย นางหวงคอยนั่งฟังอยู่ข้างๆ และคอยจดจำอย่างตั้งใจ
เป็นเช่นนี้ไปจนถึงหลังเที่ยง เว่ยฉางอิ๋งมองไปที่ถังทองแดงหยดน้ำ[1]ที่มุมห้อง แล้วจิบน้ำชาที่เจวี๋ยเกอยกมาให้หนึ่งอึก เอ่ยช้าๆ ว่า “เมื่อวานท่านย่าได้มอบหมายงานให้ข้าชิ้นหนึ่ง ข้าคิดว่าควรจะเร่งทำแต่เนิ่นๆ เป็นดี เพียงแต่ข้ายังเด็ก ก่อนนี้ทุกเรื่องล้วนมีท่านย่าและท่านแม่คอยคุ้มกันให้ ครานี้เป็นครั้งแรกที่ต้องฝึกฝนด้วยตนเอง เพื่อมิให้มีเรื่องคลาดเคลื่อน จึงต้องขอให้ท่านอาทั้งสองช่วยพิจารณาให้ข้าด้วย”
คำพูดกล่าวไปเช่นนั้น แต่นี่เห็นชัดว่าเป็นการหยั่งเชิงนางหวง
แต่มิใช่ว่าเว่ยฉางอิ๋งจงใจหาเรื่องนางหวง แต่เพราะเดิมทีในเรือนเสียซวงมีนางเฮ่อเป็นหัวหน้า ยามนี้เมื่อนางหวงมา แม้นางเฮ่อจะมิได้พูดชัดเจน แต่ท่าทีที่ยอมจะเป็นรองนั้นชัดเจนยิ่ง ปัญหาคือนางเฮ่อเติบโตมากับนางหวงตั้งแต่เล็กและมองออกว่านางนับถือนางหวงอย่างมาก จึงยอมจะอยู่ใต้อำนาจของนางหวง… แต่พวกของฉินเกอกลับไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น
เดิมทีพวกของจูสือซึ่งเป็นสาวใช้ตัวน้อยทั้งสี่คนเป็นนางเฮ่อสอนสั่งมา ย่อมจะยอมรับนางเฮ่อเป็นธรรมดา พวกของฉินเกอสี่คนเป็นองครักษ์ลับ เพิ่งจะมาคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเว่ยฉางอิ๋ง ซึ่งแน่นอนว่าพวกนางจักไม่กล้าเพิกเฉยต่อนางเฮ่อซึ่งเป็นผู้ดูแลเว่ยฉางอิ๋งมาจนเติบใหญ่… แต่ครานี้จู่ๆ ก็มีนางหวงโผล่มา พอเข้ามาในเรือนเสียซวงก็กลายเป็นหัวหน้าของทุกคน แล้วนี่มันเรื่องใดกัน?
แน่นอนว่าด้วยท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่า ท่าทีของเว่ยฉางอิ๋งและนางเฮ่อ พวกของฉินเกอจักไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ แต่นั่นกลับมิได้หมายความว่าพวกนางยินยอมพร้อมใจ
มิสู้หาสักโอกาสหนึ่งให้นางหวงได้แสดงฝีมือไปเสียเลย และถือเป็นการบอกเล่าแก่บรรดาสาวใช้น้อยใหญ่ ว่าเพราะเหตุใดพอนางมาถึงเรือนเสียซวง แม้แต่คนไม่ยอมใครเช่นนางเฮ่อยังยอมศิโรราบให้นาง หาไม่แล้วหากมีการคาดเดาไปเรื่อยๆ ระหว่างพวกบ่าวไพร่ด้วยกัน เมื่อนานไปก็ยากจะเลี่ยงมิให้เกิดความแค้นเคืองกันได้ ซึ่งเป็นผลร้ายอย่างยิ่งต่อความสามัคคีของทุกคนภายในเรือน… ส่วนเรื่องว่านางหวงจะไม่ผ่านบททดสอบ เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าเรื่องนี้จะมีความเป็นไปได้ เพราะนางหรือจะไม่เข้าใจท่านย่าของตน?
แม่เฒ่าซ่งมีสายตาที่แสบสันหาได้เปรียบ คนที่นางหนุนหลัง จักเป็นพวกที่ดูดีแต่ภายนอกได้อย่างไร?
ปรากฏว่าเมื่อนางหวงฟังคำนี้ก็ยิ้มแย้มด้วยความเข้าใจในทันที เพียงแต่มิได้ออกปาก และปล่อยให้นางเฮ่อถามไปเสียก่อน “กลับมิรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องการให้คุณหนูใหญ่ทำสิ่งใดเจ้าคะ?”
“น้องสี่และน้องห้า…” เพียงแค่เว่ยฉางอิ๋งออกปาก ดวงตาของนางเฮ่อก็สว่างวาบขึ้นมา กล่าวว่า “แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าให้คุณหนูไปจัดการนังสอง…เอ่อ!” เมื่อถูกนางหวงมองตาขวางมาคราหนึ่ง นางเฮ่อก็พลันกลืนคำที่เห็นชัดว่าไม่ใคร่น่าฟังซึ่งกำลังจะพูดต่อมาลงไปเสียโดยมิทันรู้ตัว แล้วยิ้มเลิ่กลั่กหนแล้วหนเล่า
เมื่อเห็นแม่นมซึ่งเดิมทีเป็นคนปากร้ายโอหังกลับถูกท่านอาหวงผู้นี้จัดการเสียอยู่หมัด เว่ยฉางอิ๋งมองดูอย่างกลัดกลุ้มใจ แม้จะบอกว่ารู้ว่านางหวงทำไปเพราะหวังดีต่อนางเฮ่อ แต่อย่างไรก็ยังรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายเสียหน้า ด้วยคนของตนเทียบกับคนของท่านย่าไม่ได้ สักพักหนึ่งจึงกล่าวว่า “ความหมายของท่านย่าคือให้ข้าเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง ก่อนที่ข้าจะบอกกล่าวกับท่านย่าว่าข้าตัดสินใจทำเช่นใด ท่านย่าจะไม่มาก้าวก่าย วานนี้พวกนางก็มาทักข้า เพียงแต่ข้ามิได้สนใจเท่าใดนัก… โอ้ จริงสิ ท่านอาหวงยังมิทันรู้ว่าเรื่องราวเป็นมาเช่นไรกระมัง? ไม่ทราบว่าท่านอาเฮ่อเล่าเรื่องนี้ให้ท่านอาหวงฟังมาก่อนหรือไม่เจ้าคะ?”
นางเฮ่ออ้าปากค้าง แล้วตอบไปสั้นๆ ประโยคหนึ่งว่า “พี่หวง ก็คือเรื่องที่คุณหนูใหญ่ไปร่วมไว้อาลัยที่จวนจิ้งผิงกงที่ข้าบอกกับท่านเมื่อคืนนี้”
“…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบ วานนี้นางเฮ่อมีท่าทีอดรนทนไม่ไหวที่จะรำลึกความหลังกับนางหวง พวกนางจากกันมาสิบกว่าปี ต่อให้เพียงเล่าเหตุการณ์สำคัญๆ ในระหว่างสิบกว่าปีนั้นคืนหนึ่งก็คงยังพูดได้ไม่หมด ดูจากความสดชื่นของพวกนางแล้ว พวกนางไม่มีทางจะพูดคุยกันจนดึกดื่นจึงนอนหลับไป คาดว่าอย่างมากที่สุดก็คงจะพูดคุยกันเพียงหนึ่งชั่วยาม…. ตามหลักการแล้ว เพียงรำลึกถึงเรื่องราวในวัยเยาว์ และปลงอนิจจังกับวันเวลาอันงดงามที่กำลังค่อยๆ เลือนหายไปก็ยังไม่พอแล้ว
ยิ่งไม่ต้องบอกว่า หากว่ากันตามปกติแล้วเมื่อพูดคุยเรื่องเก่าๆ รำลึกถึงอดีตและปลงอนิจจังกันจนเสร็จ ยังมีเวลาสอบถามอีกว่าเหตุใดจู่ๆ นางหวงจึงได้มาที่เฟิ่งโจว… อื่ม เรื่องนี้ต้องคุยกันนานเท่าใดก็ยังไม่รู้แน่ อย่างไรเสีย หัวข้อสนทนาก็จักต้องพาดพิงถึงไปบ้านสองอย่างง่ายดายยิ่ง…
เว่ยเซิ่งอี๋ซึ่งเป็นบุตรของอนุแต่กลับเก่งกาจสามารถและมีพี่ชายบ้านใหญ่ขี้โรคจักเป็นดังใจเว่ยฮ่วนหรือไม่ ยามนี้เว่ยฉางซุ่ยที่เกือบจะยกบุตรมาเป็นบุตรบุญธรรมของเว่ยเจิ้งหงเพื่อให้กลายมาเป็นผู้สืบสกุลของบ้านใหญ่เป็นเช่นไรบ้าง คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าทิ้งเอาไว้หลังจากกลับไปที่เฟิ่งโจวครานั้นทำงานเป็นเช่นไรบ้าง ความรู้สึกในการรับศึกภายในบ้าน และนางหวงรับมือกับนางตวนมู่ในระยะสิบกว่าปีมานี้ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึ่งพอใจเช่นใด… ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งในนี้ ไม่ทันระวังตัวก็ล้วนสามารถคุยกันได้ทั้งคืน ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่านางเฮ่อหรือนางหวงล้วนเป็นข้าเก่า เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้มีความเป็นมาอย่างไร พวกนางล้วนเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งกว่าพวกบุตรหลานตระกูลเว่ยเช่นเว่ยฉางอิ๋งเสียอีก… เมื่อเข้าใจแจ่มแจ้งเท่าใดก็ย่อมพูดคุยกันได้มากมายเท่านั้น
แต่ยามนี้นางเฮ่อได้เล่ารายละเอียดของเรื่องราวเมื่อตอนที่ไปร่วมงานไว้อาลัยที่จวนจิ้งผิงกงพร้อมกับตนไปแล้ว เรื่องนี้มีความเป็นไปได้เดียวนั่นก็คือนางหวงเป็นผู้ควบคุมบทสนทนาของพวกนางทั้งหมด ข้ามเรื่องรำลึกถึงวันเก่าๆ ข้ามเรื่องปลงอนิจจัง แล้วตรงเข้าสอบถามเรื่องสถานการณ์ในระยะนี้ของตนเสียเลย ไม่แน่ว่ายังเริ่มสอบถามตั้งแต่เรื่องที่ได้ประสบมาหลังจากถูกลอบทำร้ายจนถึงตอนนี้เสียด้วยซ้ำ หากไต่ถามเฉพาะเรื่องเหล่านี้ ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามก็คงได้ความเพียงพอ จากนั้น…นางหวงก็ให้นางเฮ่อหุบปาก และพักผ่อนเสีย
…เหตุใดนางจึงเกิดความรู้สึกว่าเสียทีให้แก่ท่านอย่าอีกคราแล้ว? แม้จะบอกว่านางหวงก็เคยดูแลตนมาก่อนเมื่อครั้งยังอยู่ในผ้าอ้อม แต่ปัญหาคือยามนี้ผู้ที่อยู่กับนางมาจนเติบใหญ่ และรู้ใจตนเป็นอันดับหนึ่งตลอดหลายปีมานี้เป็นท่านอาเฮ่อนี่!
ท่านอาเฮ่อ ท่าน… เว่ยฉางอิ๋งลอบหลั่งน้ำตาอยู่ภายในใจหลายหน และปลอบประโลมตนเองว่า ‘ช่างเถิด ท่านอาเฮ่อมิได้มีท่าทีจะชิงดีชิงเด่นกับนางหวง กลับเป็นการช่วยให้ข้าไม่ต้องลำบากมาจัดสรรอำนาจ ดีชั่วอย่างไรเรื่องจัดการดูแลบ้านช่อง ท่านอาเฮ่อก็เทียบนางหวงไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อยอมสละตำแหน่งให้เองก็ถือเป็นเรื่องดี…เอ่อ…มิใช่ว่าก่อนหน้านี้ตัวข้าเองก็หวังให้พวกนางสมานสามัคคีกันหรอกหรือ?’
เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกว่าตนเองออกจะมีอาการสับสน…
เมื่อนางหวงได้ฟังคำของนางเฮ่อเช่นนั้น ก็ก้มหัวลงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมา ยิ้มน้อยๆ ให้เว่ยฉางอิ๋ง กล่าวว่า “เรื่องนี้ น้องเฮ่อได้เอ่ยกับข้าน้อยเมื่อคืนแล้ว แต่ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่คิดเห็นเช่นใดเจ้าคะ?”
_________________________________
[1] ถังทองแดงหยดน้ำ เป็นเครื่องดูเวลาอย่างหนึ่งของจีน โดยดูว่าน้ำหยดลงมาถึงส่วนใดของแต่ละถัง ก็จะบอกเวลาที่ต่างๆ กันออกไป