ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 82 เมื่อผู้เชี่ยวชาญออกโรง
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ท่าทีที่ข้าปฏิบัติต่อลูกผู้น้องทั้งสองก็ไม่กล้ากล่าวได้ว่าอ่อนโยนใส่ใจ แต่ก็ยืนยันได้ว่าไม่เคยทำผิดต่อความรับผิดชอบที่พี่สาวควรจักมี ยิ่งไม่เคยจงใจทำให้พวกนางลำบาก ทว่าเมื่อข้าถูกคนให้ร้ายและครหานินทา เมื่อพวกนางได้ยินแล้ว ไม่เพียงไม่มาสอบถามเรื่องจริงเอากับข้าโดยตรง กลับหลงเชื่อคำผู้อื่นโดยง่าย คอยหลบเลี่ยงข้าดังข้าเป็นเสือ… ข้าย่อมไม่พอใจแน่นอน”
นางหวงฟังคำนางกล่าวอย่างเปิดเผย รอยยิ้มที่ริมฝีปากยิ่งลึกขึ้นกว่าเดิม ตระหนักดีว่าแม้เว่ยฉางอิ๋งกำลังหยั่งเชิงตน แต่ตัวเว่ยฉางอิ๋งเองก็มิได้กังขาในความสามารถของตน สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดว่าการที่แม่เฒ่าซ่งสอนสั่งมาด้วยตนเองนั้นได้ผลจริงแท้ มองออกว่าคุณหนูใหญ่ผู้นี้มั่นใจในตัวแม่เฒ่าซ่งยิ่งนัก เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ายกย่องนางหวง แม้แต่เรื่องที่คุณหนูใหญ่คิดจะทดสอบด้วยตนเองก็ยังไม่ทำแล้ว
…ก็มิน่าเล่า ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้เป็นห่วงหลานสาวผู้นี้ยิ่งนัก เลือดเนื้อเชื้อไขของตน ให้ความเชื่อมั่นกับตนเองถึงเพียงนี้ หากเป็นผู้ใหญ่คนอื่น เมื่อนางมีท่าทีหวังจะพึ่งพาอาศัยเช่นนี้ แล้วจักมีผู้ใดใจแข็งทำให้นางผิดหวังได้เล่า?
ในขณะที่นางหวงกำลังขบคิดอยู่นั้น นางเฮ่อซึ่งเป็นคนใจร้อนเป็นทุนเดิม ทั้งครานี้ยังไม่มีคนนอก นางอยากพูดสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้น พลางเท้าสะเอวแล้วว่า “พวกนาง…”
“น้องเฮ่อสงบหน่อยอย่างเพิ่งเอะอะ” นางหวงกล่าวทัดทานนางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าให้คุณหนูจัดการเรื่องนี้ อย่างไรก็ต้องว่าตามคุณหนูใหญ่ เมื่อคุณหนูใหญ่สั่งความ พวกเราก็จะปฏิบัติตามไม่ชักช้าเจ้าค่ะ”
นับว่าเว่ยฉางอิ๋งดูออกแล้ว ‘ยังมิต้องเอ่ยว่า ไม่ว่าอย่างไรนางเฮ่อก็มิใช่คู่แข่งของนางหวง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความเชื่อมั่นที่นางเฮ่อมีให้แก่พี่หวงของนางผู้นี้ แทบไม่ต่างกับความเชื่อมั่นที่นางมีต่อแม่เฒ่าซ่งผู้เป็นย่าของตนสักเท่าใด… ยามนี้เห็นนางหวงมา นางเฮ่อก็มิได้มีท่าทีแก่งแย่งชิงดี กลับกลายเป็นว่าวิธีแก้ปัญหาใดๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไปคิดไปหาอีกแล้ว คำนึงถึงแต่เรื่องที่ตนจะรุกเข้าไปจัดการฟาดฟันด้วยตนเองเท่านั้นเป็นพอ…’
ว่าแล้วเว่ยฉางอิ๋งก็ต้องลอบส่ายหัวหนแล้วหนเล่าอยู่ในใจ นางจนใจและจำต้องล้มเลิกความคิดที่จะช่วยนางเฮ่อยื้อตำแหน่งมือหนึ่งของนางเอาไว้ ดีชั่วอย่างไรยามนี้ตัวนางเฮ่อเองก็สละตำแหน่งนี้ให้ด้วยความยินดีแล้ว หากยังขืนยกแม่นมผู้นี้ให้สูงว่านางหวง เกรงว่าผลที่ออกมาจะเป็นนางเฮ่อต้องปวดเศียรเวียนเกล้า ส่วนนางหวงก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย
นางยกนิ้วขึ้นมาไล้ที่ปอยผมข้างหู กล่าวต่อไปว่า “แต่จะว่าไปแล้ว แม้เรื่องที่พวกนางทำครานี้จะทำให้ข้าผิดหวังและท้อแท้ยิ่ง แต่อย่างไรก็ยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ท่านอาสะใภ้สามเองปกติแล้วก็ปฏิบัติต่อข้าไม่เลวเลย หากจะต้องจัดการพวกนางจริงๆ ข้าก็รู้สึก…อื่ม ก็ไม่อยากจะทำให้พวกนางต้องลำบากเกินไป”
ไม่อยากให้ต้องลำบากเกินไป ความหมายของคำกล่าวนี้ก็คือบอกว่าหากไม่ทำสิ่งใดเลย เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกไม่ยอมใจ เพียงแต่นางไม่ต้องการจะปล่อยลูกผู้น้องทั้งสองไปเปล่าๆ แต่ก็ไม่ใจแข็งพอจะลงโทษให้หนักหนาเกินไป ดังนั้นสิ่งที่ต้องลงมือโดยให้อยู่ในระดับกึ่งกลางระหว่างนี้ก็จักต้องชั่งน้ำหนักให้ดี
นางหวงอมยิ้ม แล้วกล่าวชมนางไปก่อนประโยคหนึ่ง “คุณหนูใหญ่มีจิตใจงดงาม วันหน้าจะต้องได้รับผลดีตอบกลับมาแน่นอนเจ้าค่ะ” แต่คำพูดต่อมานาง กลับเปลี่ยนท่าทีไปโดยสิ้นเชิง และบอกถึงเหตุผลที่ต้องลงโทษซึ่งมีความสมเหตุสมผลเสียเหลือเกินว่า “แต่ข้าน้อยก็ต้องกล่าวเตือนคุณหนูใหญ่ประโยคหนึ่ง แคว้นนี้มีกฎหมายแคว้น บ้านมีกฎบ้าน แม้คุณหนูใหญ่จะสงสารคุณหนูสี่และคุณหนูห้า แต่หากมีการละเมิดกฎเกณฑ์ในตระกูลใหญ่แล้ว กลับถือเป็นเรื่องใหญ่! ตามหลักการพื้นฐานของสกุลเว่ย แม้คุณหนูใหญ่จะไม่อยากตำหนิคุณหนูสี่คุณหนูห้าอย่างรุนแรง แต่จะอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยผ่านไปโดยไม่ทำสิ่งใดเลยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตา คิดในใจว่า สมเป็นคนที่ท่านย่าไว้ใจนักหนา ไม่ต้องว่าถึงเรื่องอื่น ฝีไม้ลายมือของนางผู้นี้ร้ายกาจจริงๆ… ยามนี้ทุกคนต่างรู้กันอยู่ในทีว่าเป็นการหารือเรื่องจะสำเร็จโทษเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนอย่างไร เพื่อให้ตนได้ระบายความแค้น… ซึ่งความจริงแล้วเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องมีทั้งเรื่องส่วนร่วมและส่วนตัวปะปนกันอยู่
แต่ปรากฏว่าเมื่อมาอยู่ที่ปากของนางหวง การไม่ลงโทษคุณหนูทั้งสองกลับเป็นการสั่นคลอนหลักการพื้นฐานของสกุลเว่ยไปเสียแล้ว! เมื่อให้นางกล่าวออกมาก็ดูมีหลักมีเกณฑ์จนหาความไม่ถูกไม่ต้องออกมาไม่ได้
เห็นเพียงนางหวงกล่าวต่อไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหลักการลึกซึ้ง “หลักการใหญ่โตนั้นข้าน้อยจักไม่ร่ำไรอีก คุณหนูใหญ่มีคุณธรรมสูงส่ง ย่อมเข้าใจดีอยู่แล้ว เพียงแต่เอ็นดูน้องสาวจึงไม่อยากจะพูดออกมา หากจะพูดให้ง่ายขึ้น พี่น้องในบ้านเดิมทีก็ควรจักร่วมแรงร่วมใจกันต่อต้านคนนอก! นี่เป็นหลักการที่แม้จักเป็นบุตรของอนุที่ไม่รู้หนังสือมากนักก็ล้วนสามารถเข้าใจได้ จะว่าไปแล้วคุณหนูสี่และคุณหนูห้าก็เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ร่ำเรียนหนังสือมาแต่เล็ก เรื่องราวของวีระสตรีมีชื่อในยุคก่อนๆ ก็ล้วนเคยฟังมามากแล้ว เมื่อเทียบกับพวกชาวบ้านที่อยู่กลางดงกลางป่าก็มิรู้ว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมามากกว่าเท่าใด! แต่กลับไม่รู้จักแยกแยะผิดถูก ถูกคนนอกปั่นหัว ทั้งที่รู้ว่าคุณหนูใหญ่กำลังตกที่นั่งลำบาก ไม่คิดจะช่วยประคับประคองลูกผู้พี่ของตน ช่วยหักล้างข่าวลือ แต่กลับช่วยคนชั่วก่อกรรม ถึงขั้นกระทำการซ้ำเติมคุณหนูใหญ่!”
“ดังนั้นไม่ว่าคุณหนูใหญ่จักช่วยแก้ต่างให้คุณหนูสี่และคุณหนูห้าอย่างไร คุณหนูสี่กับคุณหนูห้าก็มีความผิดอยู่ดี! ถึงแม้ว่าความผิดนี้ครึ่งหนึ่งเป็นความเลอะเลือน ครึ่งหนึ่งมิได้มีเจตนา แต่เมื่อคนทำผิดไปแล้ว ก็ควรจักว่ากันตามกฎเกณฑ์เจ้าค่ะ!” นางหวงกล่าวอย่างมีนัยยะว่า “เรื่องต่างๆ เมื่อทำตามกฎเกณฑ์แล้ว อย่างไรก็ไม่มีวันผิดไปได้เจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งสัมผัสได้ลึกๆ ว่าในคำพูดของนางแฝงความหมายอื่นเอาไว้ ‘ครานี้เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนมีความผิดจริงดังว่า มิใช่คุณธรรมที่ผู้เป็นน้องสาวพึงมี นางหวงเอานางไปเปรียบกับชาวบ้านในป่าลึกที่ไม่รู้หนังสือ ก็เพื่อเน้นความผิดที่พวกนางได้ทำลงไป ดังนั้นประเด็นสำคัญควรจะอยู่ที่ ทางหนึ่งนั้นนางหวงบอกว่าพวกนางทำผิด อีกทางหนึ่งก็โยงทุกสิ่งเข้ากับคำว่า กฎเกณฑ์ หนึ่งคำนี้ ท้ายสุดยังชี้ชัดออกไปว่า…เรื่องต่างๆ เมื่อทำตามกฎเกณฑ์แล้ว อย่างไรก็ไม่มีวันผิดไปได้!.’
นางหวงออกปากเองว่าไม่อยากจะร่ำไรอีก แต่ก็ยังเน้นแล้วเน้นอีกถึงเรื่องความผิดของเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียน และบอกว่าพวกนางละเมิดกฎเกณฑ์ หากจะลงโทษเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเน้นเรื่องกฎเกณฑ์ถึงเพียงนี้ ซึ่งแน่นอนว่าบ้านตระกูลเว่ยย่อมมีกฎของบ้าน แต่ยามนี้อยู่ที่เรือนหลังของรุ่ยอวี่ถัง คำของแม่เฒ่าซ่งก็คือกฎเกณฑ์
ดังนั้นในคำที่ดูคล้ายร่ำรี้ร่ำไรของนางนี้จักต้องมีเจตนาใดแฝงอยู่
นึกย้อนกลับไปว่าก่อนหน้านี้แม่เฒ่าซ่งกล่าวเตือนตนว่า ‘ฟังท่านอาหวงของเจ้าผู้นี้สอนสั่งเรื่องที่เมืองหลวงไว้ให้มาก’ เว่ยฉางอิ๋งคาดเดาว่าในคำพูดของนางหวงจักต้องมีเจตนาที่แอบแฝงอยู่ภายใน… นี่เป็นการอาศัยโอกาสนี้ชี้แนะตนว่ามีที่ใดบ้างที่ต้องระมัดระวัง ยามไปเป็นสะใภ้ที่บ้านเสิ่นอย่างนั้นหรือ? ทุกเรื่องล้วนต้องทำตามกฎเกณฑ์ ดีชั่วอย่างไรความรับผิดชอบก็จักไม่มาถึงตนเอง?
หลังจากนิ่งเงียบเพื่อให้เว่ยฉางอิ๋งได้ขบคิดสักพัก เห็นชัดว่านางหวงมิได้ต้องการจะไขข้อสงสัยใดๆ ในทันที แต่จากนั้นกลับเสนอแนะวิธีการลงโทษของตนออกมา “ตามกฎของตระกูลเว่ย การกระทำของคุณหนูสี่และคุณหนูห้าครานี้ไม่อาจไม่ลงโทษได้ หากไม่ลงโทษไม่เพียงละเมิดกฎของตระกูล แต่ยังเท่ากับเป็นการปล่อยประละเลยกับการกระทำที่เลวร้าย กลับกลายเป็นการทำร้ายคุณหนูสี่และคุณหนูห้าเสียอีก ดั่งคำที่ว่ารักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี คุณหนูใหญ่จักต้องเข้าใจในหลักการนี้นะเจ้าคะ! แต่คุณหนูใหญ่ได้เอ่ยถึงน้ำจิตน้ำใจของฮูหยินสาม ทั้งยังให้ความสำคัญกับความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน แม้ไม่อาจทำให้เสียการเพราะความรักใคร่ แต่หากเป็นการลงโทษสถานเบาเพื่อเห็นแก่ใจเขาใจเรา กลับสามารถทำได้… ตามความเห็นของข้าน้อยแล้ว มิสู้ลงโทษพวกคนข้างกายนาง เพื่อมิให้คุณหนูสี่คุณหนูห้าหวาดกลัวเกินไป เมื่อลงโทษพวกบ่าวแล้ว คุณหนูใหญ่จึงค่อยปลอบโยนคุณหนูสี่และคุณหนูห้าสักครา เป็นเช่นไรเจ้าคะ?”
นางพูดไปพลางยิ้มอ่อนๆ มองมาทางเว่ยฉางอิ๋ง แล้วรอยยิ้มยิ่งกว้างไปกว่าเดิม
เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดอยู่เกือบเค่อ พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง แล้วเอ่ยถามหยั่งเชิงดูว่า “ความหมายของท่านอาหวงคือน้องสี่และน้องห้ายังเด็ก และเพราะว่าอยู่แต่ในจวน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ยังคงไร้เดียงสาอยู่บ้าง ถูกคนหลอกได้ง่าย เรื่องก่อนนี้… ที่แท้เพราะคนรอบกายนางไม่ดี คอยยุยงส่งเสริม จึงทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างพวกเราพี่น้อง เมื่อครานี้จักต้องลงโทษ จึงควรลงโทษคนเหล่านั้น?”
ความจริงแล้วคำแนะนำแสนสวยหรูที่นางหวงกล่าวออกไปนี้ ประเด็นสำคัญมีเพียงสามประโยค…
ประโยคแรกคือ ‘กฎเกณฑ์’
ประโยคที่สองคือ ‘ครึ่งหนึ่งเลอะเลือนครึ่งหนึ่งไม่มีเจตนา’
ประโยคที่สามก็คือ ‘รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี’
เน้นย้ำความสำคัญของกฎเกณฑ์ ตัดสินว่าใครคือต้นเหตุที่แท้จริงของเรื่องทั้งหมด ชี้ให้เห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งสงสารพวกน้องๆ… ทำให้ทั้งสามประเด็นนี้ชัดเจน เมื่อพิจารณาจากพื้นฐานของทั้งสามประเด็นนี้แล้ว เมื่อต้องทำสิ่งใดก็จะชัดเจนขึ้นมากแล้ว
เดิมทีสิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกลำบากใจอยู่ตรงที่ หากไม่ทำโทษลูกผู้น้องในใจก็รู้สึกไม่สงบ หากทำโทษแรงไปนางก็ใจไม่แข็งพอ
ปัญหาคือ ด้วยความเอาอกเอาที่นางได้รับเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าซ่งนั้น แม้ไม่แน่ใจว่าจะลงโทษลูกผู้น้องทั้งสองนี้อย่างไร ขอเพียงได้แสดงความไม่พอใจที่มีต่อลูกผู้น้องออกมาบ้างเท่านั้นเป็นพอ เพราะความจริงแล้ว ตั้งแต่พวกบ่าวไพร่พ่อแม่บ้านที่รุมล้อมเข้ามา ทั้งในทางแจ้งทางลับทุกคนล้วนเหยียบย้ำบ้านสามขึ้นมาประจบตน
อย่างไรเสียเว่ยเซิ่งอี๋แห่งบ้านสามนั้นอ่อนแอไร้สามารถ นางเผยก็มีชาติกำเนิดต่ำต้อย ในบ้านนี้จึงไม่มีแม้สักเรื่องที่จะสามารถเทียบกับบ้านอื่นๆ ได้ เดิมทีก็ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งมามีเรื่องล่วงเกินบุตรสาวคนโตของบ้านใหญ่ที่เป็นที่รักยิ่งของแม่เฒ่าซ่ง แล้วจะมีวันอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างไร?
สองวันมานี้เว่ยฉางอิ๋งยังแอบได้ยินมาว่า ในวันงานที่จวนจิ้งผิงกงครานั้น ในยามที่ตนมิทันสังเกต จูสือถึงขั้นขากเสมหะใส่กระโปรงของเว่ยเกาฉาน… ในเรือนเสียซวงของตนนี้จูสือก็เป็นเพียงแค่สาวใช้ตัวน้อยคนหนึ่งเท่านั้น แม้จะเป็นหลานสาวโดยตรงของนางเฮ่อ แต่ก็ไม่นับว่านางเฮ่อจะให้ท้ายนาง ยามปกติแล้วทำการใดยังต้องคอยมองสีหน้าของพวกสาวใช้ที่โตแล้ว แต่กลับกำเริบเสิบสานกับเว่ยเกาฉานที่ถึงแม้จะเป็นบุตรสาวของอนุ ทว่าก็เป็นคุณหนูตระกูลเว่ยโดยแท้ได้ถึงเพียงนี้…
เว่ยฉางอิ๋งรู้ดีว่าที่จูสือทำเช่นนี้ โดยนามแล้วเพื่อทวงถามความยุติธรรมให้กับตนเอง แต่ในความเป็นจริงนั้น หากตนมิได้มีท่านย่ารักใคร่เอ็นดู จูสือจะกล้าเช่นนี้หรือไม่? เว่ยเกาฉานคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้หนึ่งถูกสาวใช้ตัวน้อยขากเสมหะใส่กระโปรง แต่กลับเดินไปโดยไม่กล้าจะตำหนินางแม้สักประโยค… แล้วมีหรือที่ข้างกายนางจะไม่มีแม่นมไม่มีสาวใช้อยู่ด้วย? อย่าว่าแต่ตำหนิจูสือเลย เหตุใดแม้แต่คำสักคำก็ยังไม่กล้าเอ่ย? หรือในบรรดาผู้คนมากมายนั้นไม่มีสักคนที่ใจกล้าพอ?
ว่ากันตามจริง เพราะเกรงว่าเมื่อตำหนิจูสือแล้ว กลับยิ่งจะทำให้เว่ยเกาฉานถูกรังแกเหยียดหยามสาหัสเสียยิ่งกว่าเดิม…
แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น แต่เมื่อคิดถึงว่าลูกผู้น้องที่มีสายเลือดและเป็นคุณหนูของตระกูลเช่นเดียวกับตน แม้แต่สาวใช้เล็กๆ นางก็ยังไม่กล้าจะต่อว่าต่อขาน เว่ยฉางอิ๋งก็ยังเกิดความรู้สึกเศร้าสลดใจอย่างหนึ่งที่ยากจะบรรยายออกมาได้
นั่นเพราะแม้ต้องการจะลงโทษลูกผู้น้อง แต่ก็ไม่ต้องการให้การลงโทษนี้ ทำให้บ้านสามต้องพลอยรับเคราะห์และตกต่ำลงอย่างฮวบฮาบ
แต่เรื่องราวในโลกนี้ล้วนเป็นการเหยียบย่ำผู้ต่ำต้อยคารวะผู้สูงกว่า ต่อให้เว่ยฉางอิ๋งพูดเรื่องในใจตนออกไปอย่างชัดแจ้งว่า ‘ข้าอยากลงโทษลูกผู้น้อง แต่ไม่ต้องการให้พวกเจ้าไปลามปามไปถึงบ้านสาม’ ผู้คนก็จักมองผ่านประโยคหลังไปแล้วพากันว่า ‘คุณหนูใหญ่ก็เอ่ยปากแล้วว่าต้องการจะลงโทษลูกผู้น้อง ส่วนประโยคหลังนั้น… ก็ถือว่าพูดด้วยความเกรงใจเท่านั้น! ก็เพราะนางเป็นคุณหนูใหญ่นี่ แล้วจะให้นางพูดออกมาตรงๆ ว่านางชังลูกผู้น้องที่แล้งน้ำใจทั้งสองคนแทบตายได้อย่างนั้นรึ?’
เรื่องที่คุณหนูใหญ่รู้สึกกระดากใจที่พูดหรือทำออกมา ก็คือสิ่งที่พวกเราสามารถสรรหาวิธีต่างๆ มาทำแทนคุณหนูนั่นเอง!
ยามนี้นางหวงเสนอความคิดให้ข้ามตัวเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนไป และเบนเข็มไปที่บ่าวข้างกายพวกนางแทน นอกจากทำให้พวกนางเสียหน้าและให้เว่ยฉางอิ๋งได้ระบายความโกรธแล้ว ยังมิได้ลงโทษคุณหนูทั้งสองนางโดยตรง เพื่อมิให้เว่ยฉางอิ๋งต้องรู้สึกทำใจไม่ได้
เรื่องที่นางหวงเก่งกาจนั้นไม่เพียงแค่เรื่องเลือกคนมารับโทษ หากแต่เป็นเรื่องที่นางรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว นางมองเห็นความพะว้าพะวงและลำบากใจของเว่ยฉางอิ๋งได้อย่างชัดเจน แต่คำแนะนำที่สามารถพูดออกมาให้ชัดเจนในเพียงไม่กี่ประโยค นางกลับเอาแต่พูดอ้อมค้อม และยอมเผยใจความออกมาเพียงสองสามส่วนเท่านั้น
นอกจากใช้คำพูดที่มีความหมายแฝงอยู่ภายใน เพื่ออาศัยโอกาสนี้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งตระหนักรู้เองถึงเรื่องที่ควรระมัดระวังยามไปเป็นสะใภ้ในภายภาคหน้า และตัวนางเองก็กลับเคารพในหน้าที่ของผู้เป็นบ่าวอย่างเคร่งครัด
ไม่ว่าเจ้าจะเป็นท่านอาที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้แนะนำมาด้วยตนเอง อีกทั้งทุกคนต่างรู้กันอยู่ในทีว่าเป็นผู้ที่มาสอนสั่งและคอยให้คำแนะนำคุณหนูใหญ่ในเรื่องหลักการภายในเรือนหลัง ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังบอกว่าให้คุณหนูใหญ่ฟังเจ้าไว้ให้มาก… แต่อย่างไรเจ้าก็ยังเป็นบ่าว! หากเรื่องใดๆ เจ้าก็พูดออกไปจนหมด แล้วเว่ยฉางอิ๋งที่เป็นนายจะพูดสิ่งใด?
แล้วเมื่อเจ้าพูดออกมาหมดในคราวเดียว แล้วข้าจักต้องคล้อยตามเจ้าหรือ?
เช่นนั้นแล้ว หน้าตาของเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่ยังจะมีเหลืออยู่อีกหรือ?
โดยเฉพาะนางเฮ่อที่เดิมทีเป็นคนสนิทของเว่ยฉางอิ๋งก็ยังถูกนางหวงแย่งเอาความโดดเด่นไปเรียบร้อยแล้ว หากนางหวงยังคงสร้างผลงานที่แม้แต่ตัวเว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังทำได้ห่างไกลจากท่านอาของตนผู้นี้ยิ่งนัก ต่อให้เว่ยฉางอิ๋งฝืนใจใช้นางต่อไปตามคำท่านย่าเพราะเห็นแก่ความสามารถของนางหวง ภายในใจของเว่ยฉางอิ๋งก็จะไม่เป็นสุข! ไม่เพียงไม่เป็นสุข ไม่แน่ว่ายังต้องระแวงว่านางหวงจะวางแผนมาควบคุมตนและชักไยตนจนกลายเป็นหุ่นเชิด!
แต่ยามนี้นางหวงกลับทำเพียงชี้แนะ กลับไม่ยอมพูดออกมาจนหมด เพื่อให้เว่ยฉางอิ๋งมีโอกาสได้แสดงความสามารถ และเพราะไม่เคยแสดงท่าทีแย่งชิงอำนาจจากผู้เป็นนาย จึงมิได้กระตุ้นให้เว่ยฉางอิ๋งเกิดความระแวดระวังตัวและรู้สึกต่อต้าน แต่กลับมีเพียงความประทับใจแสนลึกซึ้งในความเก่งกาจฉลาดเฉลียวและความคิดอ่านที่รอบคอบของนาง
กลยุทธ์ในการวางตัวเป็นบ่าวประการนี้นั้น แน่นอนว่านางหวงย่อมไม่บอกกล่าวแก่เว่ยฉางอิ๋ง และแม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะมองออกก็จักไม่ไปชี้ให้ชัดออกมาด้วยเช่นกัน
ทั้งนายทั้งบ่าวต่างรู้กันอยู่ในใจ แล้วพูดเรื่องสำคัญอื่นต่อไป
…นางหวงยังคงชมเชยเว่ยฉางอิ๋งเช่นเดิมว่ามีเชาว์ปัญญา ยิ้มบางๆ แล้วอธิบายต่อไปว่า “คุณหนูใหญ่โปรดคิดดูเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยเคยได้ยินน้องเฮ่อเล่าให้ฟังเรื่องคำพูดส่งเดชต่างๆ นานาข้างนอกก่อนหน้านี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับคุณหนูใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ทว่าก่อนคุณหนูใหญ่จะไปจวนจิ้งผิงกงกลับมิเคยรู้เรื่องมาก่อน! แล้วเหตุใดคุณหนูสี่และคุณหนูห้ากลับรู้เล่า? คุณหนูสี่และคุณหนูห้าล้วนรักษากฎของตระกูลอย่างเคร่งครัด แต่ไรมาไม่ออกประตูใหญ่ไม่กล้ำกรายประตูรอง นอกเสียจากมีพวกบ่าวที่จงใจนำเอาคำพูดเหล่านี้เข้ามาภายในตระกูล หาไม่แล้วจักมีผู้ใดไปพูดได้อีก? อย่าว่าแต่ข่าวลือเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับตระกูลเว่ยเลย ต่อให้เป็นเรื่องของบ้านผู้อื่น หญิงสาวดีๆ ทั่วไปล้วนไม่ควรไปฟังเรื่องเช่นนี้! และหากเป็นเรือนของคุณหนูใหญ่แห่งนี้ หากผู้ใดกล้านำความเช่นนี้เข้ามา ข้าน้อยคิดว่าน้องเฮ่อก็จักต้องจัดการเป็นแน่เจ้าค่ะ”
นางเฮ่อพยักหน้า พร้อมกับท่าทีรุกรานร้อนแรง “หากในเรือเสียซวงมีพวกบ่าวปากเปราะเช่นนี้ หากข้าน้อยไม่ตบปากพวกนางจนยับก็แปลกแล้ว! ไม่มีทางให้ไประคายหูคุณหนูใหญ่ได้หรอกเจ้าค่ะ! และนั่นก็เพราะบ้านสามเลอะเลือนไร้แก่นสาร เรื่องใดก็ล้วนให้คุณหนูบ้านตนฟังไปเสียหมด ไม่รู้จักมียางอายเสียบ้าง!”
เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปากครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มพลางว่า “เมื่อว่ามาเช่นนี้ ก็ไม่ควรแค่ลงโทษบ่าวไพร่เหล่านี้เพียงง่ายดายเช่นนี้เท่านั้น เพราะครานี้พวกนางสามารถเอาคำพูดเลอะเลือนเข้ามาในจวน จนทำให้น้องสี่และน้องห้าเหินห่างกับข้า คราต่อไป…ผู้ใดเล่าจักรู้ว่าจะทำการเช่นใดอีก? เพื่อมิให้เป็นเหตุให้น้องสี่และน้องห้าต้องเสียผู้เสียคน! คนพวกนี้เห็นทีว่าอย่าเก็บเอาไว้เสียเลยดีกว่า”
นางสรุปคำแนะนำของนางหวงได้อย่างรวดเร็วว่า หลังจากออกเรือนไปแล้ว ไม่ว่าจะทำการใด เรื่องสำคัญเป็นอันดับหนึ่งก็คือต้องเป็นไปตามกฎ หากไม่เป็นตามกฎ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ก็จะนับว่าผิดไว้ก่อนแล้ว แม้ผลลัพธ์ท้ายสุดจะออกมาดี แต่ก็ยังมิอาจหลบเลี่ยงจากการตกเป็นผู้ที่ทำลายกฎเกณฑ์ไปได้
ยิ่งไปกว่านั้นขอเพียงทำลายกฎเกณฑ์ ก็จะเหลือเป้าให้คนไล่เรียงเอาความได้ ยามอยู่ที่บ้านตนเอง ด้วยมีพวกผู้ใหญ่รักใคร่ บางคราพวกผู้ใหญ่จึงทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง แต่เมื่อไปอยู่บ้านสามีกลับมิได้มีเรื่องดีเช่นนี้ แม้จะไม่ไล่เรียงเอาความเป็นการชั่วคราว ทว่านั่นก็เป็นเพียงการจดบันทึกไว้ในบัญชีที่สามารถพลิกเปิดดูได้ทุกเมื่อ
ทว่าเรื่องที่ต้องเป็นไปตามกฎก็มิใช่บอกว่าจะต้องถูกกฎนี้ควบคุมเสียจนขยับตัวไม่ได้…ผู้ที่ไม่เห็นแก่หน้าใคร รู้จักแต่ทำตามกฎไม่ยืดหยุ่น ไม่มีผู้ใดชื่นชอบ…
ความหมายที่แท้จริงของคำกล่าวที่ว่าเรื่องต่างๆ ต้องว่ากันตามกฎ หมายถึงบังคับใช้กฎเกณฑ์อย่างไรให้บรรลุถึงเป้าหมายของตนจึงจะถูก อย่างเช่นครานี้เว่ยฉางอิ๋งบอกว่าไม่อยากจะต่อว่าน้องสาวทั้งสองรุนแรงเกินไป เมื่ออยู่ในบ้านตนนางเพียงแสดงให้เห็นความต้องการดังว่านี้ก็เพียงพอแล้ว ทว่าที่บ้านสามี การทำเช่นนี้จะถูกจับผิดว่าไม่ถูกต้อง เพราะน้องสาวทั้งสองละเมิดกฎบ้าน หากว่ากันตามกฎแล้วก็ต้องถูกทำโทษ หากเว่ยฉางอิ๋งบอกว่าไม่ต้องลงโทษ เช่นนั้นก็เป็นการทำลายกฎ คนอื่นไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ระแวงสงสัยว่านางมีเจตนาให้ท้ายน้องสาวก็ดี หรือคิดว่านางจงใจจะหาพวกพ้องก็ดี… ดีชั่วอย่างไรก็จักมีเป้าให้ผู้คนกล่าวโทษได้
เหตุที่นางหวงใช้คำว่า ‘ครึ่งหนึ่งเลอะเลือนครั้งหนึ่งไม่มีเจตนา’ เพื่อเตือนเว่ยฉางอิ๋งถึงเรื่องที่จะทำให้เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนพ้นผิดได้อย่างไร ซึ่งก็คือ เลอะเลือนเป็นการบอกเป็นนัยว่าเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนอาจถูกคนหลอกเอา ส่วนที่ว่าไม่มีเจตนานั้น บอกเป็นนัยว่าน้องสาวทั้งสองนางนี้อาจคิดไม่ถึงว่าการกระทำของพวกนางจะมีความหมายและส่งผลอย่างไร สรุปแล้ว ถ้อยคำหนึ่งประโยคของนางหวงก็เพื่อปัดความรับผิดชอบของเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนไปเสีย
บนหลักการพื้นฐานเช่นนี้ นางหวงยังย้ำอีกว่า ‘รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี’ เพื่อให้เว่ยฉางอิ๋งยืนอยู่เหนือหลักคุณธรรมต่างๆ โดยไม่ต้องคำนึงถึงความสงสารและต้องการปกป้องลูกผู้น้องทั้งสองคน!
…แม้ทุกคนล้วนรู้ดีกว่าลูกผู้น้องทั้งสองนางนี้ทำไม่ดีต่อข้า แต่ข้าก็หาได้โทษพวกนางสักน้อยไม่! ไม่เพียงไม่กล่าวโทษ ยังอดทนต่อความเจ็บปวดเป็นทุกข์ มองข้ามพฤติกรรมที่ไม่ถูกไม่ควรเหล่านั้นของพวกนางไป จึงเห็นความจริงว่า พวกนางล้วนถูกบ่าวไพร่จงใจหลอกลวงและยุยงปลุกปั่น!
บ่าวที่เป็นเช่นนี้หากยังเก็บเอาไว้ข้างกายลูกผู้น้อง ช้าเร็วจักต้องมีสักวันทำร้ายลูกผู้น้องทั้งสอง และโดยทางอ้อมก็เพื่อเป็นการแก้แค้นให้ข้าด้วย ทว่าในฐานะพี่สาวที่รักน้องสาวและใช้คุณธรรมโต้ตอบความแค้น ข้าจึงไม่ทำเช่นนั้น! ดังนั้นยามนี้ข้าจักขับไล่บ่าวไพร่พวกนี้ไปเสีย แต่หาได้เป็นเพราะต้องการจะตบหน้าลูกผู้น้องทั้งสอง หรือหาใช่เพื่อเป็นการล้างแค้นไม่! หากแต่เพราะหวังดีต่อพวกนาง รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี ข้าล้วนทำลงไปเพราะหวังดีต่อพวกนาง หวังดีต่อพวกนางจริงๆ!!!
นางหวงยิ้มออกมาอย่างเงียบๆ ให้กับการตัดสินใจของเว่ยฉางอิ๋ง แล้วว่า “ข้าน้อยน้อมรับบัญชาคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ!”
______________________________