ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 83 ให้อภัย
“พี่สาม พะ…พวกเราขออภัยท่าน!” เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนดวงตาแดงก่ำ ยกน้ำชาขอขมาพลางคำนับพร้อมกัน
เว่ยฉางอิ๋งรับมาดื่มหนึ่งอึก ถือเป็นการให้อภัย พลางกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนว่า “เรื่องนี้ก็ไม่อาจโทษพวกเจ้าได้ทั้งหมด ล้วนเป็นเพราะพวกบ่าวใจสกปรก สร้างข่าวลือเลอะเลือน พวกเจ้าอายุยังน้อย หากได้ยินแล้วไม่ตกใจก็คงจักเป็นไปได้ยาก”
และสอนสั่งพวกนางไปอีกว่า “ทุกเรื่องเราต้องเป็นผู้คิดเห็นเอง มิใช่ว่าใครว่าอย่างไรก็ว่าตาม เรื่องครานี้ก็นับว่าเป็นการลั่นระฆังเตือนพวกเจ้า เมื่อระแวงคนในครอบครัว ก็จักทำให้ความสัมพันธ์ร้าวฉายได้โดยง่าย ระหว่างพวกเราพี่น้องมีเรื่องใดที่ไม่อาจพูดไม่อาจไถ่ถามกัน ในเมื่อเกิดความสงสัยในใจ ไยมิมาไถ่ถามเอากับข้าโดยตรง? แต่กลับเชื่อคำของคนนอกทั้งยังเป็นพวกบ่าวไพร่เล่า?”
เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนรู้สึกผิดและเสียใจจนเงยหน้าไม่ขึ้น แล้วว่า “เป็นน้องเลอะเลือนเองเจ้าค่ะ”
“คนเราผู้ใดไม่เคยผิดพลาด? เมื่อผิดพลาดแล้วต้องแก้ไข!” เว่ยฉางอิ๋งแย้มยิ้มน้อยๆ พลางว่า “เอาล่ะ เราต่างก็เป็นพี่น้องบ้านเดียวกัน ไม่มีเรื่องที่ปรับความเข้าใจกันไม่ได้ ให้เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้ ห้ามเอ่ยถึงอีก”
นางวางถ้วยชาลง แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ทางจวนจิ้งผิงกงนั้น ได้ยินว่าท่านป้าปลงตกได้มากแล้ว และตัดสินใจจะดูแลเรื่องต่างๆ ด้วยตนเอง วันนี้ท่านแม่ของพวกเราก็จักกลับมาแล้ว เช่นนั้น เราออกไปตอนรับพร้อมกันดีหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ” เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยี่ยนย่อมไม่ปฏิเสธ พลางลอบโล่งอกอยู่ภายในใจ… ที่อย่างไรก็สามารถสะสางเรื่องบาดหมางนี้ได้ก่อนท่านป้าใหญ่และมารดาของตนจะกลับมา
หาไม่แล้วจักเป็นการทำให้นางเผยผู้มารดาต้องเป็นกังวลในเรื่องเล็กน้อย ท่านป้าใหญ่ฮูหยินซ่งเองก็เป็นผู้ที่เห็นบุตรสาวสำคัญเสียยิ่งกว่าชีวิต หากรู้ว่าตนทั้งสองพี่น้องหลงเชื่อคำร่ำลือและหันมารังเกียจบุตรสาวของนาง แล้วไล่เรียงเอาความไปจนถึงบ้านสามก็เป็นเรื่องที่รับรองว่านางทำได้แน่…
ยามนี้แม้ว่าบ่าวที่สนิทใกล้ชิดได้ถูกสับเปลี่ยนไปจนหมดแล้ว และตนยังต้องยกน้ำชาขอขมาเว่ยฉางอิ๋ง แต่ที่สุดลูกผู้พี่ก็ให้อภัยพวกตนแล้ว
เช่นนี้ แม้ท่านแม่จะตำหนิ ท่านป้าใหญ่ไม่พอใจ ก็คงไม่ไล่เรียงเอาความอันใดนักแล้วกระมัง?
พวกนางไปยังหน้าประตูรองพร้อมกับเว่ยฉางอิ๋ง ด้วยจิตใจกระสับกระส่ายทว่ามีความยินดี เพื่อรอรับฮูหยินซ่งและนางเผยที่หลายวันมานี้อยู่ช่วยงานที่จวนจิ้งผิงกงมาโดยตลอด
หลังจากที่มารดาและบุตรสาวทั้งสองบ้านพบหน้ากัน แล้วสอบถามทักทายกันและกันตามปกติสองสามประโยค จึงได้ไปคาราวะฮูหยินผู้เฒ่าด้วยกัน และแยกย้ายกันกลับเรือนของตน
เมื่อนางเผยย่างกรายเข้าไปในบ้านสามสีหน้าก็พลันหม่นลงทันใด เข้าไปนั่งภายในห้องและสั่งให้พวกบ่าวออกไป เมื่อเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนเห็นสีหน้าของนางก็พลันตื่นตระหนกขึ้นมาภายในใจ ด้วยชาติกำเนิดที่ต้อยต่ำ นางเผยจึงจำต้องเอาคำว่า ประเสริฐ ดีงาม เรียบร้อย มีคุณธรรม[1]สี่คำแปะติดเอาไว้กับตัว ไม่ว่าจะกับบุตรสาวแท้ๆ หรือว่าบุตรธิดาของอนุ นางล้วนปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีเมตตาและเป็นมิตร แม้บุตรธิดาจักทำผิด นางก็จะสอนสั่งอย่างอ่อนโยนและมีความอดทน ไม่ยอมชักสีหน้าให้เห็นง่ายๆ
ด้วยท่าที่เช่นในยามนี้ เห็นชัดว่าจักต้องรู้เรื่องที่พวกนางล่วงเกินเว่ยฉางอิ๋งแล้ว!
เพราะเว่ยเกาฉานเป็นบุตรสาวคนโตของอนุ เพื่อมิให้คนพูดกันไปว่านางเผยเป็นคนช่างอิจฉาริษยา นางจึงให้เกียรติบุตรสาวอนุผู้นี้เสียยิ่งกว่าบุตรสาวแท้ๆ ดังนั้นเมื่อยามนี้เว่ยฉางเยียนไม่กล้าเอ่ยปาก เว่ยเกาฉานกลับแสร้งทำเป็นกล้าหาญสอบถามไปว่า “หลายวันมานี้ท่านแม่เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก วันนี้เพิ่งจักกลับมา ควร… ควรต้องพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ? อีกสักพักพวกลูกๆ ค่อยมาคารวะท่านแม่?”
“มีลูกเวรเช่นเจ้าสองคนแล้วจะให้ข้าสงบใจได้อย่างไร?” นางเผยกวาดสายตาเยือกเย็นไปยังพวกนางคราหนึ่ง และมิได้อ้อมค้อมใดๆ ถามไปตรงๆ ว่า “ได้ยินว่าพวกเจ้าไปฟังคำเล่าลือของพวกบ่าวปากเปราะ เมื่อครั้งไปไว้อาลัยที่จวนจิ้งผิงกงคราแรกถึงกับไม่ยอมนั่งรถคันเดียวกับพี่สามของพวกเจ้ารึ?”
“…เมื่อครู่นี้พวกเราขอขมาพี่สามแล้วเจ้าค่ะ พี่สามยังบอกว่าให้อภัยพวกเราแล้ว” เว่ยเกาฉานอธิบายอย่างขลาดกลัว “ยิ่งไปกว่านั้นพวกบ่าวเหล่านั้นก็ถูกไล่ไปหมดแล้ว เมื่อครู่นี้พี่สามก็ยังเป็นฝ่ายชวนพวกเราไปรับท่านป้าใหญ่และท่านแม่ด้วยกันที่ประตูรองอีกด้วยเจ้าค่ะ!”
สองสามวันมานี้นางเผยล้วนอยู่คอยช่วยเหลือที่จวนจิ้งผิงกง นับแต่สามีถูกลอบสังหารนางเสี่ยวหลิวฮูหยินบุตรท่านจิงผิงกงก็ไม่ดื่มไม่กินเอาแต่นอนซมอยู่บนตั่งลุกไม่ขึ้น จนถึงเมื่อวานจึงค่อยๆ มีสติกลับมา ส่วนฮูหยินท่านจิ้งผิงกงนั้นได้เสียไปนานแล้ว สะใภ้ก็ต้องคอยเฝ้าโลงศพอยู่ในโถง จึงต้องฝากเรื่องใหญ่ทั้งหมดในเรือนหลังไว้แก่ฮูหยินซ่งและนางเผยดูแลแทน
ดังนั้นหลายวันมานี้ฮูหยินทั้งสองจึงมีเรื่องยุ่งวุ่นวายเสียจนอ่อนล้าหมดกำลัง ทั้งยังมิได้กลับมาที่รุ่ยอวี่ถังด้วยตนเอง มีเพียงบ่าวคนสนิทที่ส่งความไม่กี่ถ้อยคำไปให้ จึงพอจะรู้เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรุ่ยอวี่ถังในหลายวันมานี้เพียงคร่าวๆ เท่านั้น เมื่อได้ยินคำของเว่ยเกาฉานในยามนี้ นางเผยกลับตะลึงงัน “ขอขมาแล้วรึ?”
เว่ยฉางเยียนรีบตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ ท่านแม่ ลูกและท่านพี่ยกน้ำชาขอมาแกพี่สามด้วยกัน พอพี่สามดื่มชาแล้ว ก็สอนสั่งพวกเรา และบอกเองว่าเรื่องนี้หยุดเพียงเท่านี้เจ้าค่ะ”
นางเผยโล่งอก นางรู้ว่าหลานสาวผู้นี้แม้จะได้รับความรักใคร่ตามใจเป็นที่สุด แต่จิตใจก็ไม่ได้ร้าย ในเมื่อบอกเองว่าไม่ไล่เรียงเอาความแล้ว ต่อให้ฮูหยินซ่งคิดจะหาเรื่องตน หากไปขอร้องกับเว่ยฉางอิ๋งเป็นการส่วนตัว เว่ยฉางอิ๋งก็จะต้องช่วยพูดแทนบ้านสามเป็นแน่ ยามนี้สามารถยกภูเขาออกจากอกได้แล้ว แต่นางเผยยังคงไม่พอใจบุตรสาวทั้งสองคนเป็นอย่างยิ่ง จึงตำหนิไปว่า “พวกเจ้าทำเรื่องใดลงไป?! หากมิใช่เพราะพี่สามของพวกเจ้า เกาชวนหรือจะกลับมาได้ปลอดภัย! เดิมที่พี่ชายและน้องชายร่วมบิดาของเจ้าก็มีน้อยอยู่แล้ว หากเกาชวนเกิดเรื่องขึ้นมา เกาหยาก็อายุยังน้อย วันหน้าเมื่อพวกเจ้าออกเรือน ผู้สืบสกุลบ้านสามไม่แข็งแกร่ง พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะยังเสวยสุขอยู่ได้หรือ?”
เว่ยเกาฉานอดจะแก้ต่างไม่ได้ว่า “ลูกได้ยินแต่เพียงว่าวันนั้นบนถนนหลวง พี่สามเพียงแค่ช่วยน้องห้าอย่างสุดชีวิต ภายหลังเข้าไปในป่าก็พาแต่น้องห้าหนีไป ส่วนน้องสี่นั้นถูกยิงจนตกม้าแล้วภายหลังซ่อนตัวอยู่ใต้ตัวม้า และโชคดีหนีรอดมาได้ด้วยตนเองต่างหาก”
นางเผยจุกแน่นในลำคอ แล้วพูดต่อไปด้วยโทสะว่า “เจ้าจะไปรู้สิ่งใด? หากมิใช่พี่สามของพวกเจ้าพาคนทั้งกลุ่มหนีไป ทำให้พวกลอบทำร้ายไล่ตามไป พวกมันจึงมิได้ตรวจสอบศพบนถนนหลวงให้ละเอียด หาไม่แล้วเกาชวนยังจะมีชีวิตอยู่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นเกาชวนต้องธนู เดินเหินไม่สะดวก หากพาเขาไปด้วยจะเป็นตัวถ่วงของทุกคน และจะไม่มีใครหนีรอดได้เลย! ไม่พาเขาไป แต่สร้างความสนใจให้พวกลอบทำร้ายจากไปจึงจะถูกต้อง! พวกเจ้าจะไปเข้าใจสิ่งใด!”
“…เจ้าค่ะ!” เว่ยเกาฉานหน้าบวมแดง กล่าวว่า “ลูกก็ไม่ได้ไม่ซาบซึ้งในน้ำใจของพี่สาม หากไม่เอ่ยถึงเรื่องบนถนนลวง แต่ก่อนมาพี่สามก็ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี”
“เช่นนั้นครานี้ไยจึงเลอะเลือนเช่นนี้?”
“แต่ครานี้ ชื่อเสียงของพี่สาม… ถูกคนพูดเสียย่อยยับไปหมดแล้ว!” เว่ยเกาฉานรู้สึกน้อยใจนัก กำชายเสื้อแน่นพลางว่า “วันนั้นเมื่อเห็นว่าพี่สามยังจะไปจวนจิ้งผิงกง ลูกและน้องก็หวังดีต่อพี่สาม เกรงว่าหากพี่สามไปแล้วได้ยินคำครหาต่างๆ ก็ไม่สบายใจ จึงคิดเตือนให้พี่สามอย่าได้ไปเลย”
เว่ยฉางเยียนพยักหน้า
นางเผยยิ้มเยาะ “คำพูดนี้ของเจ้าแม้แต่ข้าก็ยังหลอกไม่ได้! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไยไม่บอกกับนางไปตรงๆ? ยิ่งไปกว่านั้นเหตุใดภายหลังยังต้องเอ่ยเรื่องไม่ต้องการนั่งรถคันเดียวกับนาง? พวกเจ้ารู้หรือไม่ ต่อให้พี่สามของเจ้ามิใช่ดวงใจของฮูหยินผู้เฒ่า แต่ที่เจ้าทำเช่นนี้ ก็ถือเป็นการละเมิดกฎตระกูลอย่างร้ายแรง!?”
เว่ยเกาฉานขบริมฝีปาก เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ท่านแม่โปรดให้ลูกอธิบาย ครานั้นพี่สามถูกวิจารณ์เสียจน…หนักหนาเหลือทนแล้ว คำพูดเหล่านั้นลูกยังไม่กล้าจะฟังต่อไปได้ จึงคิดว่าหากออกไปข้างนอกกับพี่สาม ผู้อื่นก็จะต้องว่ากล่าวมาถึงลูกและน้อง ดังนั้นจึง… เป็นลูกที่ขลาดกลัวเอง แต่ครานั้นลูกไม่มีหน้าจะไปพร้อมกับพี่สามจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านแม่มิรู้ว่าพวกคนในเรืองหลังของจวนจิ้งผิงกงนั้นพูดถึงพี่สามเช่นไร ครานั้นทั้งลูกและน้อง… หากพี่สามมิได้ไม่ให้ลูกส่งเสียง พวกเราก็ไม่อาจจะนั่งอยู่ในศาลานั่นได้ต่อไปแล้วเจ้าค่ะ!”
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวคนโตของอนุยังกลับอ้างเหตุผลออกมาได้ ทั้งบุตรสาวแท้ๆ ก็คอยพยักหน้าตาม นางเผยจึงเกือบจะกระอักเลือดออกมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “ไม่ว่าจะเป็นตระกูลสูงศักดิ์หรือไม่ ชื่อเสียงของลูกผู้หญิงล้วนเป็นเรื่องใหญ่! ก่อนนี้แม้ข่าวลือจะพากันวิพากษ์วิจารณ์ว่าความบริสุทธิ์ของพี่สามของพวกเจ้ามีมลทิน แต่ในตระกูลก็มิได้ยอมรับ! พวกเจ้ากลับเป็นกระต่ายตื่นตูม หันมารังเกียจนางขึ้นมาเสียก่อน หากเรื่องนี้ไปถึงหูคนนอกแล้วพวกเขาจะคิดเห็นเช่นไร?!”
“ก็จักต้องนึกคิดกันไปว่าพี่สามของพวกเจ้าไม่บริสุทธิ์แล้วจริงๆ! ดังนั้นพวกเจ้าทั้งสองซึ่งเป็นน้องสาวของนางจึงได้รังเกียจนาง!” นางเผยอดรนไม่ไหวแล้วจริงๆ น้ำตาพลันร่วงดังสายฝน “ไยเจ้าจึงไม่ลองคิดดู หากพี่สามของพวกเจ้าถูกผู้คนคิดว่าเป็นหญิงที่ไม่บริสุทธิ์จริงๆ แล้วจักมีประโยชน์ใดกับเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าเป็นลูกผู้น้องของนางเชียวนะ! คนนอกยังหาหลักฐานใดไม่ได้ แต่ญาติพี่น้องของตนกลับพากันหนีหน้า เท่ากับเป็นการแทงข้างหลังพี่สาวในบ้านตนเอง! จนยามนี้แม้ภายในตระกูลจะยังไม่มีการพูดสิ่งใด แต่ในความจริงแล้วล้วนจดจำเรื่องนี้เอาไว้แล้ว! พวกเจ้าคิดว่าครานั้นที่พวกเจ้าไม่ยอมนั่งรถคันเดียวกันพี่สามของพวกเจ้า แล้วจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าพวกเจ้าบริสุทธิ์ไร้มลทินรึ? ผิดแล้ว! คนในตระกูลมีแต่จะเห็นตื้นเขินและความโง่เง่าของพวกเจ้าเท่านั้น! แทบจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของทั้งวงศ์ตระกูลเชียว!”
สีหน้าของเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนพลันเปลี่ยนไปพร้อมกัน “แต่ในจวนจิงผิงกงวันนั้นก็ได้ยินคนในตระกูลนินทาพี่สาม…พูดเสียฟังไม่ได้เป็นที่สุดนี่เจ้าคะ!”
“โง่เง่า!” นางเผยโมโหเสียจนตบโต๊ะไปหนหนึ่ง แผดเสียงออกไปว่า “พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าการสนทนาของหญิงในตระกูลสองนางนั้น มิได้จงใจให้พวกเจ้าบังเอิญไปได้ยิน?”
เว่ยฉางเยียนร้องอุทานอย่างตกใจออกมาคราหนึ่ง แล้วว่า “หรือว่าเป็น…?”
“เป็นฮูหยินผู้เฒ่าวางแผนจัดฉาก!” นางเผยกล่าวอย่างเคืองโกรธว่า “สองวันก่อน ฮูหยินผู้เฒ่ายังส่งคนไปที่จวนจิ้งผิงกง ให้ข้าจัดการส่งของบางอย่างมาที่บ้านเราในนามของจวนจิ้งผิงกง… ภายใน…ยังมีผ้ายาวสีขาวผืนหนึ่ง!”
“ไย..ไยเป็นเช่นนั้น?!” เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนกล่าวออกมาอย่างตื่นตระหนกว่า “ท่านย่านาง…”
นางเผยยิ้มหยันว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ามีพี่สามของเจ้าเป็นหลานแท้ๆ เพียงผู้เดียว ฐานะของนางพวกเจ้าหรือจะเทียบได้? พวกเจ้าทำรื่องเบาปัญญาเช่นนั้นลงไป สองสามวันมานี้กลับมิได้ถูกลงโทษ ไม่รู้สึกว่าแปลกหรือ? ว่ากันตามจริง ก็คงเพียงเพราะว่าพวกเจ้าก็เหมือนกับนางสองคนที่พูดจาไม่เข้าหูในเรือนหลังของจวนจิ้งผิงกง และผ้าขาวผืนนั้น ล้วนเป็น…ของที่ฮูหยินผู้เฒ่าใช้เป็นเครื่องขัดเกลาพี่สามของพวกเจ้าเท่านั้น!”
เสียงของนางต่ำลง “คำครหานินทาภายนอกอื้ออึงไปหมด ไม่อาจปิดบังพี่สามของเจ้าไปได้ชั่วชีวิตหรอก! แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องการจะเห็นพี่สามของพวกเจ้าต้องเหน็ดเหนื่อยใจเพราะคำเล่าลือ จึงใช้ยาแรงไปเสียเลย… แรกเริ่มนั้นปิดบังพี่สามของเจ้าเรื่องข่าวคราวต่างๆ จากนั้นก็ให้คนมาเผยให้นางฟังในทันใด แล้วใช้เรื่องผ้าขาวมากดดันนาง…เพื่อบีบเอาความเคืองแค้นในอกของพี่สามของพวกเจ้าออกมา และต้องผ่านด่านนี้ไปให้จงได้! หาไม่แล้ว พวกเจ้าลองดูพี่ชายสามของพวกเจ้าเอาเถิด! นั้นเป็นบุตรชายคนรองแท้ๆ ของท่านอารองของพวกเจ้า ตัวเขาเองยังมิเคยล่วงเกินคนในบ้านใหญ่ของท่านลุงใหญ่ของพวกเจ้าเลยแม้แต่ผู้เดียว! เพียงเพราะครานั้นท่านอารองของพวกเจ้าเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่าจะยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของท่านลุงใหญ่ แล้วทุกวันนี้ดูท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ของเขายามอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสิ!”
เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนพลันลืมตัว หน้าถอดสีพลางว่า “ท่านแม่ แล้วยามนี้จะทำเช่นไรดีเจ้าคะ?”
“เคราะห์ดีที่พี่สามของพวกเจ้าผู้นี้มีจิตใจดี” นางเผยถอนหายใจ กล่าวว่า “และเพราะพวกเจ้าโชคดี เพื่อให้พี่สามของพวกเจ้าผ่านพ้นเรื่องเสียงเล่าลือนี้ไปให้ได้ด้วยตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงจงใจไม่อนุญาตให้ท่านป้าใหญ่ของเจ้ากลับมา กระทั่งยามตระเตรียมผ้าขาวผืนนั้นก็ให้ข้าเป็นคนทำ พี่สามของพวกเจ้าผลักความรับผิดชอบของพวกเจ้าไปให้แก่พวกบ่าวแล้ว หาไม่ครานี้หากท่านป้าใหญ่ของพวกเจ้าอยู่ในจวน… นางก็สามารถกินพวกเจ้าลงท้องไปเลย! อย่าไปมีเรื่องกับบ้านใหญ่… ข้าก็สอนเจ้าเช่นนี้มาแต่เล็ก ไยพวกเจ้าจึงไม่ฟัง?”
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวทั้งสองทั้งหวาดกลัวทั้งลนลานทำสิ่งใดไม่ถูก และอดจะร้องไห้ออกมาไม่ได้ ตัวนางเผยเองก็รู้สึกอ่อนใจและไม่มีแก่ใจจะตำหนิต่อไป แล้วส่ายหน้าหนแล้วหนเล่า “เอาเถิด ดีชั่วครานี้ก็เป็นพวกบ่าวไม่ดี วันหน้าพวกเจ้าก็จักต้องรู้จักฟังหูไว้หูบ้าง อย่าได้เอาแต่ฟังคำของคนรอบกาย!”
เมื่อมองออกไปข้างนอก ดูคล้ายล้วนมีแต่คนใหม่ นางเผยขมวดคิ้วน้อยๆ ถามว่า “ครานี้พวกเจ้าจัดการกับพวกบ่าวปากเปราะเช่นไร? อย่าได้ลงโทษอย่างไม่จริงใจเพียงพอเล่า จักทำให้พี่สามของพวกเจ้ายังคงรู้สึกขัดเคืองอยู่ในใจเอาได้! ยังมีอีก พวกเจ้าไล่ผู้ใดออกไปบ้าง แล้วคนที่อยู่ใกล้ชิดมาจากที่ใด?”
เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนเห็นนางเผยคล้ายจักยุติเรื่องนี้ลงแล้วจึงพากันโล่งอก เว่ยฉางเยียนรีบบอกว่า “ท่านแม่โปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ บ่าวพวกนั้นล้วนเป็นพี่สามบอกเองว่าจะลงโทษผู้ใด พี่สามจักต้องพอใจอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เว่ยเกาฉานก็บอกว่า “พวกที่ดูแลใกล้ตัวพวกเราส่วนใหญ่เปลี่ยนใหม่หมดแล้ว แม้จักมีไม่กี่คนที่มิได้เอาข่าวลือเข้ามา แต่ลูกคิดว่าให้พี่สามหายโกรธนั้นสำคัญที่สุด คนที่ใช้สอยในยามนี้จึงได้…โยกย้ายมาจากนอกเรือนเจ้าค่ะ”
พี่น้องสองนางนึกเอาเองว่าเรื่องนี้จะเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งว่า ‘อย่าไปมีเรื่องกับบ้านใหญ่’ ทุกประการ แล้วนางเผยจักได้พอใจ ผู้ใดจักคิดเล่าว่าเมื่อนางเผยได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของนางก็พลัดซีดจนเขียวขึ้นมาในบัดดล พักใหญ่จึงได้พูดออกมาทีละคำว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนนี่มัน…โง่นัก! เกาฉานอายุสิบเจ็ดแล้ว ฉางเยียนเองก็สิบห้า ในสามปีนี้พวกเจ้าทั้งสองคนก็จะต้องแต่งออกไป… ยามนี้เปลี่ยนคนที่ปรนนิบัติเจ้ามาแต่เล็กไปจนหมด เช่นนี้มิใช่ว่าหลังจากออกเรือนไปแล้วก็จักไม่มีบ่าวคนสนิทที่เชื่อใจได้เอาไว้ใช้สอยอย่างเพียงพอหรอกรึ?!”
และกล่าวออกไปด้วยเสียงสั่นว่า “เรื่องนี้ยังไม่พอ! พวกเจ้าก็รู้อยู่เต็มอกว่าในบรรดาบ่าวที่คอยรับใช้ใกล้ชิดเป็นผู้ใดที่ปากเปราะก็ควรจะไล่ออกไป แต่กลับพลอยทำให้พวกที่มิได้พูดจาเรื่อยเปื่อยต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย… แต่กลับไม่รู้จักร้องขอความเห็นใจให้แก่พวกที่ไร้ความผิด? หากพวกเจ้าเอ่ยปาก จะเก็บพวกบ่าวเหล่านั้นเอาไว้หรือไม่นั่นเป็นเรื่องว่าพี่สามของพวกเจ้าจะใจอ่อนหรือไม่ แต่หากพวกเจ้าไม่เอ่ยปาก นั่นก็เป็นพวกเจ้าทั้งสองตื้นเขินแล้งน้ำใจ บ่าวที่ปรนนิบัติมานานปีต้องมารับผิดแทนพวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับไม่แม้จะพูดสักคำ!”
“ผู้เป็นนายที่ใจร้ายเช่นนี้ วันหน้าไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้ใดมาปรนนิบัติเจ้า แล้วจักยังหวังให้ผู้ใดจงรักภักดีต่อเจ้าได้อีก?!”
“เรื่องนี้เห็นชัดอยู่แล้วว่าเป็นสิ่งที่พี่สามของพวกเจ้าวางแผนมาแล้ว พวกเจ้ายังมองไม่ออก… แล้วพวกเจ้ายังกลับกล้าไปรังเกียจนางอีกรึ?!”
___________________________
[1] ประเสริฐ ดีงาม เรียบร้อย มีคุณธรรม เป็นคำที่ใช้ให้คำจำกัดความถึงหญิงสาวที่เป็นกุลสตรี