ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 84 เกียรติยศและอัปยศ
ความจริงแล้ว นางเผยเองก็กลับร้องทุกข์เรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งทำเช่นกัน
ในเวลาใกล้เคียงกัน ภายในบ้านใหญ่ ฮูหยินซ่งก็กำลังอบรมบุตรสาวโดยไม่ได้คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยเช่นกัน “…เป็นเช่นไร? ที่ท่านอาหวงของเจ้าสอนเจ้าจัดการสองคนนั้นในบ้านสามเช่นนี้ แท้จริงแล้วยังมีความตั้งใจดังนี้ซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง เจ้าคงคิดไม่ถึงสินะ?”
เว่ยฉางอิ๋งออกจะอดรนทนไม่ไหว “ทำเช่นนี้จะอำมหิตเกินไปหรือไม่เจ้าคะ?”
“นี่นับว่าอำมหิตที่ใด?” ฮูหยินซ่งแค่นเสียงออกมาหนหนึ่ง คิดในใจว่าหากมิใช่เจ้าบอกว่าพอเพียงเท่านี้ หากข้าเป็นคนจัดการนังสองคนนั้น ก็จะมีแต่อำมหิตเสียยิ่งกว่านี้! เมื่อหวนคิดกลับมาก็คิดถึงว่าบุตรสาวได้ทุกสิ่งตามใจเสมอ ในหลายวันมานี้แม้จะต้องพบเจอกับความลำบากยากเข็ญติดต่อกันมาหลายครา ทว่าอย่างไรก็ยังมีผู้ใหญ่คอยปกป้อง ไม่เคยได้สัมผัสว่าความรู้สึกไร้ญาติขาดมิตรไร้หนทางเดินที่จริงแท้นั้นเป็นเช่นไร ก็ไม่แปลกที่จักทำใจร้ายไม่ลง วันหน้าจงอย่าได้เป็นทุกข์เพราะเรื่องเหล่านี้อีก
จึงกล่าวว่า “เจ้าก็อย่าได้รู้สึกว่านางหวงอำมหิตเล่า! นี่ล้วนเป็นเพราะพวกนางโง่เอง ยังมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ไม่ยอมขึ้นรถกับเจ้าก่อนหน้านี้ ครานี้นางหวงจูงใจให้เจ้าเปลี่ยนบ่าวข้างกายพวกนางทั้งหมดออกไป ถ้าเพียงแต่พวกนางมีสมองสักนิด แล้วขอร้องกับเจ้าแทนพวกบ่าวที่ไร้ความผิดไม่กี่คนในจำนวนนั้น ต่อให้เจ้าไม่อนุญาต แต่ก็นับว่าได้แสดงน้ำใจอย่างที่สุดแล้ว และบ่าวพวกนั้นก็จะแค้นเคืองแต่เพียงเจ้า! ที่นางหวงลงมือครานี้ก็เพียงลองทดสอบพวกนางดูเท่านั้น หากพวกนางขอร้อง ด้วยนิสัยของเจ้าแล้ว กว่าครึ่งก็จักต้องรับปากแน่มิใช่หรือ?”
ฮูหยินซ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าจงจำเอาไว้ ที่ว่ากันว่าใต้หล้าไม่สิ้นทางเดิน หากวันใดเดินจนไม่เหลือทางให้เดินแล้ว ไม่มีทางเป็นความผิดของผู้อื่นทั้งหมด! ก่อนอื่นใดครึ่งหนึ่งนั้นเป็นตนที่ทำไม่ถูก! พวกคนที่บอกว่าน่าสงสารนั้นก็จักต้องมีส่วนที่น่าชังด้วยเช่นกัน ซึ่งก็เป็นเพราะทำตนเองทั้งสิ้น!”
เมื่อฮูหยินซ่งกล่าวเช่นนี้กับตน เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกว่ามีเหตุผล นางถอนใจแล้วว่า “ก่อนนี้ท่านพี่ไจ้สุ่ยไม่ให้ข้าไปสนใจพวกนางนัก ข้าคิดเสมอมาว่าท่านพี่ไจ้สุ่ยคิดมากเกินไป เพราะอย่างไรทุกคนก็เป็นพี่น้องกัน ต่างคนต่างช่วยเหลือกันก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว ยามนี้ ดูท่าว่าท่านพี่ไจ้สุ่ยมองได้ลึกซึ้งกว่าข้าจริงๆ”
นางรู้สึกผิดหวังยิ่ง “ข้าและน้องสี่ น้องห้าก็นับว่าเติบโตมาด้วยกัน ในอดีตนั้น ข้าไม่เคยรู้สึกว่าพวกนางเป็นคนตื้นเขินมาก่อนเลย”
ฮูหยินซ่งกล่าวว่า “นี่ก็คือใจคนยากแท้หยั่งถึง” เมื่อพูดถึงตรงนี้ใบหน้าของนางพลันมีรอยยิ้มเผยออกมา แล้วสอบถามด้วยน้ำเสียงเปรมปรีดิ์ว่า “ตอนกลับมาระหว่างทางได้ยินมาเรื่องหนึ่ง วันนั้นเสิ่นจั้งเฟิงบุกเข้ามาถึงเรือนหลัง คล้ายว่าเจ้าเองก็บังเอิญอยู่บนระเบียบทางเดินด้วย? เห็นเขาแล้วใช่หรือไม่? เด็กผู้นี้หน้าตาเป็นเช่นไร? หล่อเหลาหรือไม่? สูงพอๆ กับเติ้งจงฉีที่เคยช่วยเจ้าไว้เมื่อคราวก่อนหรือไม่?”
“…ท่านแม่!” เว่ยฉางอิ๋งไม่ทันตั้งตัว ทันใดนั้นใบหน้าของนางแดงขึ้นมาจนแทบจะมีเลือดไหลออกมา กระทืบเท้าเดินหนี แล้วกล่าวอย่างมีโทสะว่า “ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว!”
“อ้าว!” ฮูหยินซ่งตาเร็วมือไว้คว้าแขนเสื้อนางเอาไว้ แล้วขืนดึงนางกลับมา กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะว่า “ที่นี่ก็มิได้มีผู้อื่นอยู่ แม้แต่แม่นมซือของเจ้าก็ให้ออกไปแล้ว เจ้าจักต้องมาเขินอายต่อหน้าแม่ด้วยเหตุใด?”
เว่ยฉางอิ๋งขืนตัวอยู่หลายครั้งแต่ก็ดึงไม่ออก พลางขมวดปากเข้าพลางนั่งลง มองมารดาด้วยสายตาไม่ไหวติงแล้วว่า “เขาบุกตรงเข้ามาที่เรือนหลัง แม้จะแจ้งฐานะของตนยามอยู่ที่หน้าประตู แม้พวกบ่าวไม่กล้าขวางเขาสักเท่าใด แต่ก็เดินตามเขามาอย่างกระวนกระวายใจ… เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวนั้น ข้าย่อมต้องรีบอำลาท่านย่า แล้วเดินไปทางประตูครึ่งวงพระจันทร์!”
ฮูหยินซ่งไม่หลงกล ซักไซ้ไปว่า “แม้จักเป็นเช่นนี้ แต่ทางเดินที่ไปถึงประตูครึ่งวงพระจันทร์นั้นยาวนัก ในเวลาเพียงน้อยนิดนั้น ไยเจ้าจึงเดินไปถึงหลังประตูแล้ว? หรือต่อให้เดินไปถึงแล้ว จะยืนเกาะข้างประตูอาศัยใบกล้วยอำพรางตัวมองดูก็ได้นี่!”
“พูดสิ่งใด ข้าเป็นคนเช่นนั้นรึ!” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวออกไปด้วยความโกรธและร้อนรนจนเสียกริยาว่า “ข้าจะไปเกาะที่ข้างประตูแอบดูได้อย่างไรกัน!”
“ใช่แล้ว เจ้ามีหรือจะเรียบร้อยจนเพียงแค่ไปเกาะประตูดูเล่า?” เมื่อเห็นนางร้อนตัวจนหน้าซีด ฮูหยินซ่งหรือจะยังไม่รู้ว่านางจักต้องได้เห็นเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว จึงอดจะหัวเราะลั่นออกมาไม่ได้ แล้วว่า “ข้ากลัวเสียเหลือเกินว่าเจ้าจะตีลังกาขึ้นไปดูอยู่บนกำแพง… เจ้าว่าเรื่องเช่นนี้แต่เล็กมาเจ้าทำมาน้อยนักหรือ? แม้แต่เรือนของท่านปู่ท่านย่าเจ้าก็ยังกล้าตีลังกาขึ้นไป!”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างโมโหว่า “ยามนั้นข้ายังไม่ทันเดินไปถึงประตูครึ่งวงพระจันทร์ แล้วจะตีลังกาขึ้นไปบนกำแพงได้หรือเจ้าคะ?!” เมื่อกล่าวคำพูดนี้ออกไปก็พลันรู้สึกว่าตกหลุมพรางของมารดาเสียแล้ว จึงกลัดกลุ้มใจจนทนไม่ไหวขึ้นมาทันใด… ฮูหยินซ่งนั้นหัวร่องอหายไปแล้ว พักใหญ่ๆ จึงหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่หางตา เห็นบุตรสาวทำปากจู๋ออกมาเสียจนสามารถแขวนขวดน้ำมันได้สองขวดแล้ว จึงได้กลั้นหัวเราะแล้วว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ เห็นแล้วก็เห็นแล้ว เพียงแต่เล่าให้แม่ฟังสักหน่อย เจ้ากลัวสิ่งใด?”
จึงถามต่อไปว่า “เด็กคนนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร?”
“ก็เป็นเช่นนั้น” เว่ยฉางอิ๋งมองขึ้นไปบนเพดาน พยายามใช้น้ำเสียงไม่ใส่ใจให้มากที่สุด
ก่อนนี้ฮูหยินซ่งตั้งใจแหย่บุตรสาวเล่นมาโดยตลอด แต่ครานี้กลับร้อนรนขึ้นมา และเร่งนางไปว่า “สิ่งใดคือเป็นเช่นนั้น? เด็กผู้นั้นสูงหรือไม่? หล่อเหล่าหรือไม่? ก็บอกมาสักคำสองคำสิเล่า!”
“ไม่สูงไม่หล่อเหลาแล้วจะเป็นเช่นใดเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งทำท่าคล้ายปล่อยตามชะตาฟ้า แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจใดๆ ว่า “หรือเพราะเขาไม่สูงพอไม่หล่อเหลาพอแล้วจักจะถอนหมั้นไม่ได้?”
“เจ้าไม่พูดก็ไม่เป็นไร” ฮูหยินซ่งถลึงตากใส่นางคราหนึ่ง “ข้าจักให้ฉางเฟิงไปดู!”
เว่ยฉางอิ๋งเต้นโหยงขึ้นมา แล้วว่า “ไม่ได้!”
“ฉางเฟิงเป็นชาย ว่าที่พี่เขยมาถึงเรือน เข้าไปคารวะสอบถามสักไม่กี่คำแล้วจักเป็นไร?” ฮูหยินซ่งกล่าวอย่างสงสัยว่า “มิได้ให้เจ้าไปสักหน่อย”
“หากว่า…” เว่ยฉางอิ๋งกำผ้าเช็ดหน้าแน่นเข้า อ้ำอึ้งอยู่เป็นนานจึงว่า “หากว่าเขาคิดว่าเป็นข้าให้ฉางเฟิงไปเล่า?”
ฮูหยินซ่งไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี กล่าวว่า “เหตุใดเขาต้องคิดว่าเป็นเจ้าให้ไปเล่า?”
แล้วสงสัยขึ้นอีกมาว่า “อย่าได้เป็นเจ้าส่งสัญญาณใดให้เขายามอยู่บนทางเดินเชียว?”
“จักเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!” เว่ยฉางอิ๋งร้อนรนและร้องเสียงต่ำขึ้นมา “ข้าเพียงมองแวบหนึ่ง แล้วเห็นว่าท่านย่าให้เขาเข้าไปพบท่านปู่ ข้าก็รีบไปแล้ว… อย่าได้บอกว่ายามที่มีท่านย่าอยู่แล้วข้าจะส่งสัญญาณใด ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือเจ้าคะ?”
ฮูหยินซ่งยื่นนิ้วไปแตะที่หน้าผากของนาง กล่าวด้วยความขบขันว่า “เช่นนี้ไม่ใช่แล้วกระมัง? เจ้าหลบเลี่ยงไม่ทันจึงได้มองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นจึงได้จากไปตามธรรมเนียม แล้วเขาจะถือดีสิ่งใดนึกคิดไปว่าเจ้าเป็นคนให้ฉางเฟิงไปเล่า? จักไม่คิดว่าฉางเฟิงไปหาเขาเองไม่ได้หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้เขาอยู่ที่บ้านเรา แต่บ้านเรากลับไม่มีแม้สักคนไปดูเขา นี่ยิ่งกลับเป็นการเมินเฉยต่อเขาเสียอีก!”
เว่ยฉางอิ๋งถูกคำพูดจุกอกไปเกือบเค่อ ขมวดปากเข้ามาแล้วว่า “เสียงร่ำลือมากมายภายนอกนั่น… แม้จะบอกว่าเขายืนยันจะทำตามสัญญาต่อไป แต่ผู้ใดเล่าจักรู้ว่า…”
คำกล่าวนี้ของนางเอ่ยออกมาอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ แต่กลับแสดงความหมายออกมาอย่างชัดเจนแล้ว สีหน้าของฮูหยินซ่งพลันเปลี่ยนไปทันใด “เจ้ากลัวว่าเขาจะดูแคลนเจ้าเพราะคำเล่าลือนั่น?” กระทั่งแม้แต่แม่จะส่งฉางเฟิงไปสำรวจดูเขาสักหน่อย เจ้าก็กลัวว่าเขาจักหลงเชื่อจนมีอคติ และหันมาสงสัยเจ้า?”
เว่ยฉางอิ๋งก้มหน้าลง นิ่งงันอยู่เป็นนานจึงกล่าวว่า “ข่าวลือแพร่ออกไปไม่น่าฟังถึงเพียงนั้น ได้ยินแล้ว… อย่างไรก็ต้องรู้สึกขัดข้องใจบ้างกระมังเจ้าคะ?”
“เจ้าเลอะเลือนเกินไปแล้ว!” จิตใจของฮูหยินซ่งในยามนี้แทบไม่ต่างอะไรกับนางเผยในบ้านสาม นางสูดหายใจลึกแล้วว่า “นี่เจ้า… คิดจะเดินตามท่านอาสะใภ้สามของเจ้ารึ? เจ้ายินยอมรึ?”
เมื่อเห็นบุตรสาวนิ่งเหม่อ ฮูหยินซ่งจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “อาสะใภ้สามของเจ้ารู้สึกน้อยน้ำต่ำใจในชาติกำเนิดตน ข้อเสียของนางข้อนี้ตั้งหลายปีแล้วก็ยังแก้ไม่ได้เสียที! ก็ด้วยสาเหตุนี้ เจ้าดูนางสิ ทั้งที่ก็เป็นผู้ที่มีความคิดอ่านดี แต่กลับเอาแต่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในคำครหาของผู้อื่น กลัวถูกคนดูแคลนกลัวถูกคนวิจารณ์… แต่กลับไม่รู้ว่าที่นางยิ่งเป็นเช่นนี้ ผู้อื่นจักยิ่งดูแคลนนางยิ่งวิจารณ์นาง!”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวเสียงเบา “ที่ท่านแม่กล่าวนั้นลูกก็เข้าใจ ก่อนนี้ หลังจากตัดผ้าขาวผืนนั้นไป ข้าก็คิดได้แล้วว่าอย่าให้คนที่สร้างข่าวลือให้ร้ายเราพวกนั้นได้ใจ เพียงแต่… ภายในใจก็ยัง… รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ดีเจ้าค่ะ คำพูดนี้ข้าจะบอกแก่ท่านแม่และท่านย่าเท่านั้น ต่อหน้าผู้อื่นข้าจะไม่มีทางยอมรับเด็กขาด”
“เจ้ายังบริสุทธิ์อยู่หรือไม่ เจ้าไม่รู้อยู่แก่ใจรึ?” ฮูหยินซ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “มีสิ่งใดต้องกระวนกระวายใจกัน? ก็มิใช่เพียงแค่บีบคอเว่ยซินหย่งเท่านั้น… คนผู้นี้แม้จักไม่ใช่ของดีอะไร แต่หากจะนับกันจริงๆ ก็ยังเป็นท่านอาในตระกูลของเจ้า! เป็นญาติผู้ใหญ่! แล้วจักว่าไปแค่บีบคอสักหนแล้วจักเป็นอย่างไร? เรื่องราวโสมมภายในเรือนหลังของบ้านตระกูลใหญ่นั้นมีมากมายนัก ต้องเอาซ่อนไว้ปิดไว้จึงสามารถวางท่าสูงส่งมีสง่าก็เท่านั้น หากเปิดเผยออกมาจริงๆ แม้แต่คิดเจ้าก็ยังคิดไม่ถึงเชียว! แม้แต่นางในภายในวังก็ยังไปหาพวกขันทีมาเป็นคู่ทานอาหาร[1] ก็มีเพียงเด็กน้อยที่ยังคงไร้เดียงสาเช่นเจ้า ที่จักคิดว่าการแตะเนื้อต้องตัวสักหนเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต!”
เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก กล่าวว่า “หลักการนั้นข้าล้วนเข้าใจ เพียงแต่…ข้าไม่สบายใจเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินซ่งนิ่งเงียบไปเกือบเค่อ แล้วว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าน่ะ…รักเสิ่นจั้งเฟิงแต่แรกพบเข้าแล้ว?”
“ไม่มีเรื่องเช่นนี้!” เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ โพล่งออกไปทันที
“จะปฏิเสธไปไย? นั่นเป็นคู่หมั้นเจ้า หากเจ้าไม่ชอบเขาจึงจะเป็นเรื่อง” ฮูหยินซ่งลูบขมับนาง ถอนหายใจแล้วว่า “เด็กผู้นี้แม้ข้าจะยังไม่เคยเห็นกับตา แต่ดูเอาจากการกระทำครานี้ที่เขาไม่ยอมถับถมเจ้าและก้าวออกมาบังลมบังฝนให้เจ้า ต่อให้หน้าตาจะย่ำแย่จนทนดูไม่ได้ คาดว่าเจ้าก็คงจักรู้สึกดีกับเขาบ้างแล้ว หากไม่ใช่เพราะเกิดความรู้สึกใดบ้าง แล้วเกิดหวาดกลัวว่าเขาจักดูแคลนเจ้า แล้วเจ้าจักต้องมาใส่ใจเรื่องที่เจ้าไปพบเว่ยซินหย่งทำสิ่งใด? ก่อนนี้เมื่อครั้งเจ้าเตรียมการจะตีเขาจนลงไปคลานอยู่บนพื้น…เจ้ากลับมิเคยสนใจว่าเขาจะมองเจ้าเช่นไร?”
ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง พูดสิ่งใดไม่ออก
เมื่อฮูหยินซ่งเห็นบุตรสาวเป็นเช่นนี้ มีหรือจะไม่เข้าใจว่าตนกล่าวถูกแล้ว? นางคิดใคร่ครวญอยู่ในใจรอบหนึ่ง แล้วพูดช้าๆ ออกมาว่า “จะว่าไปเรื่องที่อาสะใภ้สามของเจ้าน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องชาติกำเนิดของตนนั้นน่าขันนัก… แต่แรกนั้นก็ใช่ว่าเป็นนางวิ่งโร่เข้ามาว่าจะต้องแต่งเข้าตระกูลเว่ยเสียให้ได้ หากแต่เป็นตระกูลเว่ยส่งคนไปสู่ขอที่บ้านเผยและแต่งนางเข้าบ้านอย่างออกหน้าออกตา! แล้วนางมีสิ่งใดต้องน้อยเนื้อต่ำใจเล่า? หากให้ข้าคิด ตระกูลเว่ยละทิ้งโอกาสไม่สู่ขอสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ที่คู่ควรกันทุกอย่าง แต่กลับมาสู่ขอนางให้แก่ท่านอาสามของเจ้า นี่ก็มิใช่เป็นการพิสูจน์แล้วหรือว่าแม้นางจะเกิดในตระกูลใหญ่ทั่วไป แต่กลับดีกว่าสตรีตระกูลสูงศักดิ์เสียอีก แล้วนี่มันเป็นเรื่องใดกัน?”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้ง ฮูหยินซ่งพูดต่อไปว่า “ต่อให้ข่าวลือระคายหูยิ่งกว่านี้ ยามนี้ก็มิใช่ว่าตระกูลเว่ยหน้าด้านยัดเหยียดเจ้าให้ตระกูลเสิ่น แต่เป็นตระกูลเสิ่นยืนกรานจะแต่งเจ้าเป็นสะใภ้… แม้จะถูกคนให้ร้ายทำลายชื่อเสียง แต่ยังสามารถทำให้บ้านเสิ่นแต่งเจ้าเข้าบ้านได้ตามประเพณี นับเป็นความสามารถของเจ้าทั้งยังเป็นเรื่องที่เจ้าควรภูมิใจ! แล้วเหตุใดเจ้าจักต้องเอาเยี่ยงอย่างอาสะใภ้สามของเจ้า เห็นเกียรติยศเป็นความอัปยศเล่า?!”
นางดึงมือของบุตรสาวมากุมไว้ แล้วตบที่หลังมือเบาๆ จ้องไปในดวงตาของเว่ยฉางอิ๋ง แล้วกล่าวไปทีละคำ “จำไว้! มิใช่ตระกูลเว่ยรีบเร่งยกเจ้าให้กับเสิ่นจั้งเฟิง! หากแต่เป็น… ตระกูลเสิ่นส่งเสิ่นจั้งเฟิงเร่งเดินทางฝ่าฝนติดต่อกันหลายคืนเพื่อมาส่งกระบี่ ‘ลู่หู’ เล่มนั้นให้เจ้า บ้านเราจึงได้ยอมรับโดยปริยายว่าสัญญาแต่งงานยังคงเป็นดังเดิม!”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบไปเกือบเค่อ จึงว่า “ข้า…อื่ม ท่านแม่ว่าเหตุใดเขาจึงยังจะแต่งงานกับลูกต่อไป?”
“เจ้านี่ยิ่งคิดยิ่งเลอะเลือนเสียจริง!” ฮูหยินซ่งพูดออกไปอย่างเย็นเยือกว่า “เจ้าจะเอาแต่พะวงในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องทำสิ่งใด? ลำพังเพียงเรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงนำกระบี่เล่มนั้นมาส่งด้วยตนเองเพียงลำพัง มาถึงหน้าประตูก็รอให้คนเข้ามารายงานไม่ไหว และบุกตรงเข้ามาในเรือนหลัง… ก็เห็นแล้วว่าตัวเขาเองยินยอมจะแต่งกับเจ้า นี่ก็เพียงพอแล้ว! วันหน้าผู้ใดกล้ามาพูดจาเรื่องเจ้าต่างๆ นานา เจ้าก็เพียงตอบโต้ไปเช่นนี้ว่า ‘ไม่ว่าจะอย่างไร ก็เป็นบ้านเสิ่นและเป็นเสิ่นจั้งเฟิงที่เป็นฝ่ายสู่ขอและแต่งเจ้าเข้าบ้านเอง มิใช่ว่าสตรีที่ถูกทำลายชื่อเสียงทุกคนจะสามารถได้แต่งกับสามีที่ดี’ ลำพังเพียงประเด็นนี้ ไอ้พวกปากเปราะทั้งหลายจักมีผู้ใดเทียบกับเจ้าได้?! บางคนปฏิบัติตนอยู่ในกฎธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดสิบกว่าปี คอยสร้างชื่อเสียงจนเป็นที่เลื่องลือไปไกล แต่กลับโชคไม่ดีได้สามีไม่ได้ความ!”
“เจ้าเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเว่ยของข้า เป็นไข่มุกบนฝ่ามือในบ้านเรา ไปถึงบ้านสามีก็เป็นสะใภ้ในบุตรชายแท้ๆ ของเขา!” ฮูหยินซ่งอบรมเสียหนักว่า “เจ้าจักต้องกตัญญูต่อพ่อแม่สามี เป็นมิตรต่อท่านลุงท่านป้าท่านอา ต้องโอนอ่อนผ่อนตามสามี แต่ก็ต้องไม่ใช่เป็นเพราะเหตุนี้จึงรู้สึกว่าตนต่ำต้อยกว่าผู้อื่น… ยิ่งไม่ต้องคิดว่าตนต่ำต้อยกว่าผู้อื่นจึงต้องคอยประจบบ้านสามีไปเสียทุกเรื่อง! ตระกูลเว่ยของเราก็มิได้ติค้างตระกูลเสิ่นสิ่งใด หรือต่อให้ติดค้างก็ไม่ต้องเดือดร้อนให้เจ้าไปชดใช้ให้… สรุปแล้วเจ้าจงจำคำข้าให้ดี เป็นตระกูลเสิ่นมาหมั้นหมายเจ้า ยามนี้ก็เป็นเสิ่นจั้งเฟิงแสดงความจริงใจออกมาชัดแจ้งจึงได้แต่งกับเจ้า ตัวเจ้าเองบริสุทธิ์ผุดผ่องถามใจตนก็ไร้เรื่องให้ต้องละอาย หากแต่งเข้าบ้านเขาไปแล้วพวกบ้านเสิ่นขัดเคืองเจ้า เจ้าก็มีหน้าที่เพียงเขียนจดหมายหรือส่งคนกลับมา ข้าและท่านย่าของเจ้าจะเดินทางไปสอบถามเอาความกับเสิ่นเซวียนและซูซิ่วม่านที่เมืองหลวงด้วยตนเอง!”
นางตบลงไปบนโต๊ะอย่างแรงคราหนึ่ง แผดเสียงดุดันออกมาว่า “เจ้าลูกเลอะเลือนคนนี้ เข้าใจชัดเจนแล้วหรือไม่!”
เว่ยฉางอิ๋งฟังคำสอนแสนจริงใจถึงเพียงนี้ของนาง บนใบหน้ากลับมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกและน้อยอกน้อยใจ พลางยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้า แล้วคร่ำครวญออกมาว่า “ข้าก็เพียงรู้สึกกังวลเรื่องนี้เท่านั้น แต่ท่านแม่ก็ถามต่อมาเรื่อยๆ…จริงๆ เชียว ข้าหรือจะเป็นคนยอมคนและถูกคนอื่นรังแกเอาได้ง่ายๆ!”
ฮูหยินซ่งมองดูนางอย่างละเอียดด้วยความสงสัยอยู่เป็นนาน เมื่อเห็นว่านางดูไม่เหมือนกำลังเสแสร้าง ยามนั้นเองจึงได้สบายใจ และคิดในใจว่า ‘อืม ดูท่าว่าข้าจะคิดมากเกินไป คงเพราะเมื่อเด็กคนนี้เห็นเสิ่นจั้งเฟิงก็เกิดต้องใจเสียแล้ว… อิสตรีก็เป็นเช่นนี้ เมื่อภายในใจมีผู้ใดขึ้นมาก็มักจะรู้สึกวิตกเรื่องได้เรื่องเสียไปต่างๆ นานา เป็นเหตุให้ตีโพยตีพายขึ้นมาในยามนี้ และเป็นเรื่องยากที่จะไม่คิดเป็นตุเป็นตะในเรื่องแผลงๆ ที่เกินความจริง ว่าแท้จริงแล้ว กลับหาได้เลอะเลือนจริงๆ ไม่’
___________________________
[1] คู่ทานอาหาร หมายถึง คู่เดท เพื่อพบปะเจอะเจอ สนทนา ร่วมทานอาหารด้วยกัน เพื่อคลายความเหงาในวัง ที่นางในอาจไม่เคยได้พบกับฮ่องเต้ซึ่งเป็นผู้ชายแท้ๆ คนเดียวภายในวังเลยตลอดชีวิต