ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 85 หอหลิวเขียว
คำรายงานของเว่ยฉางเฟิงหลังจากเข้าพบปะเสิ่นจั้งเฟิงนั้นทำให้ฮูหยินซ่งพึงพอใจยิ่ง ‘เสิ่นจั้งเฟิงให้ความใกล้ชิดกับว่าที่น้องภรรยาอย่างที่สุด เมื่อรู้ว่าหลังจากที่เว่ยฉางเฟิงถูกลอบทำร้าย เขาตระหนักว่าการที่ไม่มีวรยุทธ์เพียงพอนั้นเป็นข้อเสียอย่างหนึ่ง จึงตัดสินใจจะหาเวลาว่างมาเรียนเพลงกระบี่ เสิ่นจั้งเฟิงจึงให้สัญญาว่าปีหน้าเมื่อมารับตัวเจ้าสาวไปแต่งงาน เขาจะเลือกกระบี่ดีๆ เล่มหนึ่งในคลังของตระกูลเสิ่นมามอบให้’
กระบี่จะดีหรือไม่ดีนั้นฮูหยินซ่งหาได้ใส่ใจไม่ แม้จะพูดว่าเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงบอกว่าดี ก็จักต้องเป็นกระบี่ที่หาได้ยากยิ่งแน่นอน ซึ่งโดยทั่วไปนั้นในตระกูลเลื่องชื่อต่างๆ อย่างน้อยๆ ก็จักต้องมีกระบี่เลื่องชื่อที่เหล่าวีรบุรุษเคยใช้เก็บเอาไว้สักเล่มสองเล่มอยู่แล้ว เพียงแต่กระบี่บู๊ที่ตระกูลเว่ยเก็บรักษาเอาไว้นั้นมีไม่มาก ทว่ากระบี่บุ๋น[1]กลับมีไม่น้อย
เว่ยฉางเฟิงอยากเรียนเพลงกระบี่เพราะถูกกระตุ้นหลังจากที่ตนกลายเป็นตัวถ่วงของพี่สาวยามถูกลอบทำร้ายหนก่อนนี้ เดิมทีด้วยฐานะเช่นเขา ก็จะมิได้ถูกคนเข้ามาสังหารต่อหน้าได้บ่อยครั้ง ทั้งยามนี้ ‘ปี้อู๋’ ก็ได้มาอยู่ในมือของเว่ยฮ่วนแล้ว จึงมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อีกประการหนึ่ง เขาก็เป็นบุตรชายสายเลือดตรงผู้หนึ่งของตระกูลสูงศักดิ์ ดังนั้นกระบี่ที่พกพาติดตัวไปได้สะดวกที่สุดก็ยังคงเป็นกระบี่บุ๋น
แต่อย่างไรก็ดี ฮูหยินซ่งก็ยังให้ความสำคัญต่อท่าทีของเสิ่นจั้งเฟิงที่มีต่อเว่ยฉางเฟิงเป็นอย่างมาก
อีกทั้งเว่ยฉางเฟิงยังพรรณนาเสิ่นจั้งเฟิงว่า ‘รูปร่างสูงใหญ่ หล่อเหลาดังเทพบุตร พูดจาสุภาพเยือกเย็น บุคลิกงดงาม’ ส่วนปัญหาที่เว่ยฉางอิ๋งเป็นกังวลนั้น จากผลการลองเลียบเคียงสอบถามของเว่ยฉางเฟิงพบว่าเสิ่นจั้งเฟิงยกย่องในน้ำใจของเว่ยฉางอิ๋งที่เสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องน้องชายและสรรเสริญวีรกรรมเกรียงไกรที่สังหารหัวหน้าของศัตรูลงได้… เมื่อได้ยินคำของบุตรชายคนรอง ฮูหยินซ่งจึงเรียกได้ว่าจิตใจเบิกบานหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง!
ภายในความยินดีนั้น ฮูหยินซ่งก็เป็นห่วงว่าบุตรเขยที่แสนดีถึงเพียงนี้ ทั้งยังทำให้บุตรสาวต้องใจแล้ว วันหน้าขออย่าได้มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดขึ้นมา จึงเรียกนางหวงมาสั่งความต่อหน้าเป็นการพิเศษ “ข้าก็มีฉางอิ๋งเป็นบุตรสาวผู้เดียว รักและทะนุถนอมนางปานใดเจ้าเองก็รู้ดี เด็กผู้นี้ถูกตามใจมาแต่ไร เรื่องถูกลอบทำร้ายกลับทำให้นางต้องเป็นทุกข์สาหัส และเพราะว่ายังเยาว์นัก ยังมีความไร้เดียงสาอยู่ จึงยากจะคิดอ่านได้รอบคอบ ยามนี้ปลื้มปิติในความโดดเด่นของเด็กบ้านเสิ่นผู้นั้น เจ้าจักต้องช่วยฉางอิ๋งดูเขาเอาไว้ให้จงดี อย่าให้ฉางอิ๋งต้องถูกรังแก”
นางหวงยิ้มแล้วว่า “ฮูหยินใหญ่โปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ ที่ครานั้นข้าน้อยอยู่ที่เมืองหลวงด้วยเหตุใด ฮูหยินใหญ่ยังมิรู้หรือเจ้าคะ? ครานั้นฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากสั่งความกับข้าน้อยตัวตนเองว่าให้ข้าน้อยอยู่ที่เมืองหลวงคอยจับตาดูตระกูลเสิ่นเอาไว้ให้ดี เรื่องที่ให้ไปคอยดูฮูหยินรองนั้นล้วนเป็นเรื่องรอง… เดิมทีเพราะฮูหยินผู้เฒ่าเกรงว่าคุณหนูใหญ่เติบโตมาในเฟิ่งโจว เมื่อแต่งเข้าตระกูลเสิ่นแล้ว หากข้างกายไม่มีผู้ที่คุ้นเคยกับธรรมเนียมและนิสัยพื้นเพของคนในเมืองหลวงคอยอยู่ด้วยก็จักไม่รู้สึกวางใจ ข้าน้อยจึงได้รับคำสั่งให้อยู่ที่เมืองหลวง เพื่อคอยเตรียมการไว้ให้คุณหนูใหญ่ ยามนี้นับได้ว่าถึงเวลาที่จะได้พบกับคุณหนูใหญ่อีกคราแล้ว แล้วจักไม่อาจทำอย่างสุดหัวใจสุดกำลังหรือเจ้าคะ? วันหน้านั้น คุณหนูใหญ่ก็คือชีวิตของข้าน้อยเจ้าค่ะ!”
คำกล่าวนี้ทำให้ฮูหยินซ่งฟังได้เข้าหูยิ่งนัก นางจึงพูดจากใจจริงว่า “จะว่าไปนี่เรียกว่าบ้านมีคนชราเท่ากับมีของล้ำค่าจริงๆ ปีนั้นท่านพ่อป่วยหนัก คนทั้งบ้านเร่งร้อนกลับเฟิ่งโจวกันอย่างลนลาน ครานั้นฉางอิ๋งยังไม่ครบเดือน ข้าก็เอาแต่เป็นกังวลว่านางจะทนแรงสะเทือนระหว่างทางได้หรือไม่ กลับไม่คิดว่าเวลานั้นท่านแม่ได้คิดคำนวณไปจนถึงเรื่องหลังนางออกเรือนแล้ว จึงได้จงใจให้เจ้าอยู่ต่อ หาไม่แล้ว ครานี้เมื่อคิดถึงว่านางแต่งไปอยู่เมืองหลวงและไม่คุ้นกับสิ่งใดๆ เลย อยู่ในบ้านตระกูลเสิ่นก็ไม่มีคนที่พึ่งพาและคุ้นเคยกับเมืองหลวงคอยช่วยเหลือ ข้าก็จักต้องเป็นกังวลเสียจนไม่รู้จะพูดเช่นไรเชียว!”
ว่าแล้วสายตาของนางที่มองนางหวงก็อ่อนโยนลงไปมาก พลางกล่าวว่า “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ น้องรองทั้งชายหญิงดูไปก็เรียบร้อยดี แต่ก็คบหาไม่ได้สนิทใจนัก ได้ยินว่าตลอดมาเจ้าล้วนสามารถเข้าไปแทรกแซงทุกเรื่องในจวนได้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายดายเลย… ทั้งยังต้องคอยดูบ้านเสิ่นอีก”
นางหวงยิ้มอย่างอ่อนโยน กล่าวว่า “ไม่ปิดบังฮูหยินใหญ่ แรกเริ่มนั้น ความจริงแล้วฮูหยินรองไม่ชอบข้าน้อยเลย แต่ภายหลังเมื่อเห็นข้าน้อยคอยไถ่ถามถึงเรื่องของตระกูลเสิ่น จึงได้มองออก ภายหลังนางก็กลับมาเป็นมีอัธยาศัยไมตรีด้วย บางครั้งยังช่วยข้าน้อยเลียบๆ เคียงๆ สอบถามนิสัยใจคอของคุณชายสามตระกูลเสิ่นจากบรรดาฮูหยินด้วยกันด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซ่งรีบทิ้งเรื่องบ้านรองไป แล้วถามว่า “เด็กผู้นี้เป็นเช่นไร?”
“ได้ยินว่าคุณชายสามตระกูลเสิ่นเอาการเอางานเป็นอย่างมาก ไม่ชื่นชอบเรื่องมัวเมาอิสตรี ทว่ามีคนคอยปรนนิบัติอยู่ภายในจวนหรือไม่นั้นกลับไม่รู้เจ้าค่ะ” นางหวงเอามือปิดปาก แล้วว่า “ฮูหยินใหญ่ก็ทราบ คุณหนูใหญ่ยังไม่ทันแต่งเข้าบ้าน ข้างกายคุณชายสามตระกูลเสิ่นก็ไม่อาจมีผู้ใดออกหน้าออกตาได้ เรื่องที่เป็นการส่วนตัวนั้น…จึงสอบถามไม่ใคร่ได้เลยจริงๆ เจ้าค่ะ”
ฮูหยินซ่งพูดเสียงหนักว่า “เอาการเอางานแต่ไม่ชื่นชอบมัวเมาอิสตรี ในเมื่อเด็กผู้นี้มีนิสัยใจคอเช่นนี้ ต่อให้ในเรือนเขารับคนไว้คอยปรนนิบัติแล้ว คาดว่าก็คงไม่ถึงกับหลงหัวปักหัวปำ อย่างมากก็คงเห็นเป็นเพียงของเล่นชั่วครั้งชั่วคราว ยิ่งไปกว่านั้นหากมีสิ่งใดขวางหูขวางตา อย่างไรก็ยังมีเจ้าอยู่”
นางหวงก้มตัวลงคำนับพลางยิ้ม “ฮูหยินใหญ่โปรดวางใจเจ้าค่ะ ข้าน้อยมิได้มีความสามารถอื่นใด ชั่วชีวิตนี้ก็ล้วนขัดเกลาตนให้ช่วยแบ่งเบาความกังวลของฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินใหญ่ และต่อไปก็คือคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรเจ้าค่ะ”
หลังจากเว่ยฉางเฟิงเข้าพบเสิ่นจั้งเฟิงสองวัน ก็เป็นวันพิธีแห่ศพของเว่ยเจิ้งหย่า
อาหลานตระกูลเสิ่นเข้าร่วมงานในฐานะแขก ต่อมาหลังวันพิธีแห่ศพหนึ่งวัน เสิ่นโจ้วก็พาหลานชายกล่าวคำอำลา ตระกูลเว่ยไม่สะดวกใจที่จะรั้งตัวเสิ่นจั้งเฟิงซึ่งวันลาจวนเจียนจะหมดลง จึงพยายามรั้งตัวเสิ่นโจ้วอยู่ต่ออีกวันสองวันด้วยความเกรงใจ
เดิมทีนั้นเสิ่นโจ้วรับคำสั่งของพี่ชายและพี่สะใภ้ให้มาถอนหมั้น ปรากฏว่ายังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เอาหยกประดับใบไม้ล้อมบุปผากลับมาไม่ได้ ยังถูกหลานชายที่ตามมาภายหลังนำกระบี่ ‘ลู่หู’ ที่ตนหมายปองมาแสนนานมามอบให้แก่เว่ยฉางอิ๋งอีก… เดิมทีในวันที่สองเขาก็อยากจะขออำลาเสียทันใด แล้วเร่งปรี่กลับเมืองหลวงไปอธิบายกับพี่ชายและพี่สะใภ้เสียให้ได้
แต่จนใจเหลือเกินที่เวลานี้ยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยแก่เว่ยเจิ้งหย่า และเพราะว่าในยามนี้เรื่องการแต่งงานสานสัมพันธ์ยังคงดำเนินต่อไป จะอย่างไรก็ยังต้องทำตนประหนึ่งเป็นญาติ ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยเจิ้งหย่ายังเป็นบุรุษเรืองนามแห่งดินแดนแถบทะเล และตัวของเสิ่นโจ้วอาหลานเองยามนี้ก็อยู่ที่เฟิ่งโจว ไม่อาจไม่แสดงน้ำใจได้ จึงได้รอจนถึงวันพิธีเคลื่อนศพแล้วค่อยจากไป
ดังนั้นเมื่อถูกเว่ยฮ่วนรั้งตัวให้อยู่ต่อ เสิ่นโจ้วจึงได้รีบปฏิเสธไปทันควัน “พี่ใช่โปรดปรานกระบี่ ‘ลู่หู’ ยิ่งนัก แต่ข้าก็กลับหลงลืมมันไปเสียได้ พี่ใหญ่ไม่วางใจให้ผู้อื่นนำมาส่ง จึงต้องให้หลานจั้งเฟิงมาด้วยตนเอง ก่อนนี้เด็กผู้นี้เร่งออกเดินทางมา มิได้พาคนมาด้วยมากนัก ยามนี้หากให้เขากลับไปเพียงลำพังก็ยากจะวางใจได้จริงๆ ขอรับ…”
เว่ยฮ่วนเองก็ไม่ได้ต้องการจะรั้งตัวเขาเอาไว้จริงๆ ยามนี้เมื่อเห็นว่าเสิ่นโจ้วให้เหตุผลออกมาดังนี้แล้ว จึงได้ยินยอมตามเหตุผลให้พวกเขาอำลาจากไป และสั่งให้ตระเตรียมงานเลี้ยงภายในจวน เพื่อเป็นการเลี้ยงส่งพวกเขา
ข่าวนี้แพร่ไปถึงเรือนเสียซวง แม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่ตลอดทั้งวันกลับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
นางหวงและนางเฮ่อล้วนมองออก นางเฮ่อจึงได้แอบๆ ถามว่า “คุณหนูใหญ่อยากจะเห็นท่านเขยอีกคราหรือเจ้าคะ?”
“พูดส่งเดช!” เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดง และถลึงตาใส่นาง กล่าวว่า “ข้าจะไปดูเขาทำสิ่งใด?”
นางเฮ่อไม่ได้สนใจ หัวเราะพลางว่า “ดีชั่วยามนี้ก็ปลายปีแล้ว ปีหน้าท่านเขยก็จะมาอีก คุณหนูใหญ่อย่าได้เป็นทุกข์ไปเลยเจ้าค่ะ”
“ท่านอาเฮ่อพูดจาส่งเดช!” เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงขึ้นมาอีก ปล่อยของในมือออก ลุกขึ้นยืนแล้วหอบหายใจฟึดฟัดเดินไปข้างๆ เดินไปพลางพูดไปพลางว่า “ข้าต้องเป็นทุกข์เรื่องใด? ก็เพียงแค่ฝนตกติดต่อกันสองสามวัน ไปยืดเส้นยืดสายในสวนไม่ได้ จึงรู้สึกอุดอู้เท่านั้น!”
นางหวงยิ้มตาหยีมองนาง แล้วว่า “ในเมื่อคุณหนูใหญ่รู้สึกอุดอู้ หรือว่าเช้าพรุ่งนี้จะลองไปดูทิวทัศน์ที่หอหลิวเขียว คลายความเบื่อหน่ายดีเจ้าคะ”
“หอหลิวเขียว?” เว่ยฉางอิ๋งคิดไปคิดมา คลับคล้ายว่านั่นเป็นอาคารที่อยู่ห่างไกลจากเรือนเสียซวงของตนอย่างยิ่ง สถานที่คับแคบน่าอึดอัด มิได้มีผู้คนอาศัยอยู่มานานแล้ว ทิวทัศน์รอบๆ ก็มิได้น่าดูแต่อย่างใด จึงมิได้เกิดความสนใจ จึงบอกไปว่า “ที่นั่นมิได้มีสิ่งใดน่าดูสักหน่อย”
นางหวงและนางเฮ่อสบตากันคราหนึ่งแล้วหัวเราะพร้อมกัน “คุณหนูใหญ่ไม่อยากไปจริงๆ หรือเจ้าคะ? หอหลิวเขียวนั้นสามารถมองเห็นไปถึงลานหน้าจวนเชียวนะเจ้าคะ!”
เว่ยฉางอิ๋งตื่นตะลึงขึ้นมา นางหวงอมยิ้มแล้วย้ำเตือนไปว่า “หากมีคนกำลังกล่าวคำอำลา แล้วคนในบ้านเราออกไปส่ง ก็จะต้องเดินไปสักระยะหนึ่ง บนหอหลิวเขียวนั้น…ก็พอดีว่าสามารถมองเห็น… ต้นหลิวย้อยอายุร้อยปีข้างหน้าหอซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อของหอแห่งนี้ เพราะอากาศที่เฟิ่งโจวของพวกเราอบอุ่น จนยามนี้ใบหลิวก็ยังร่วงไปไม่หมด เช่นนั้นเมื่อมองจากทางเรือนหน้ามายังเรือนหลัง ก็จะมองไม่ออกว่าเป็นผู้ใด…”
เมื่อสิ้นเสียงก็พลันเห็นดวงตาของเว่ยฉางอิ๋งลุกวาวขึ้นมา นางออกแรงกำหมัดแน่น จึงสามารถกดความปรีดิ์เปรมบนสีหน้าเอาไว้ได้ แล้วกล่าวออกไปด้วยสีหน้าเป็นปกติ “อ๋า…ท่านอาว่ามาข้าพอจะนึกออกแล้ว ต้นหลิวย้อยนั้นงดงามมาก ขึ้นหอไปชมต้นหลิวในฤดูนี้เหมาะสมยิ่งนัก!” เมื่อหาเหตุผลออกไปส่งเดชดังนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งกลับกลัดกลุ้มขึ้นมา “เพียงแต่ข้าจะสวมเสื้อผ้าใดไปเล่า? ท่านพ่อเคยชมว่าข้าสวมสีแดงทับทิมแล้วงดงาม แต่นี่เพิ่งจะฝังท่านลุงไป… สีม่วงอมชมพูท่านพ่อก็บอกว่าดี เพียงแต่ในฤดูที่ใบไม้ร่วงไปจนหมดเช่นนี้ สีจะจืดชืดเกินไปหรือไม่? แล้วก็…”
นางเฮ่อหัวเราะออกเสียงในทันใด “คุณหนูใหญ่ พี่หวงก็บอกแล้วว่าหอหลิวเขียวแห่งนั้นถูกต้นหลิวย้อยปกคลุมจนหมด หากมิได้ยืนอยู่ที่ข้างใต้หอ ก็จะมองไม่เห็นคนบนหอนะเจ้าคะ!”
“…” เว่ยฉางอิ๋งใบ้กินไร้คำพูดไปพักใหญ่ แล้วพลันหันหน้าหนี บ่นอุบว่า “ท่านอากล่าวสิ่งใดกัน! พวกเราไปชมต้นหลิว ข้าก็เพียงเลือกเสื้อผ้ายามไปชมต้นหลิวก็เท่านั้น… จะถูกคนพบเห็นเข้าหรือไม่สิ่งใดกัน ต้องการให้ผู้อื่นมองเห็นข้าทำสิ่งใด?”
นางหวงแอบดึงนางเฮ่อคราหนึ่ง แล้วกล่าวพลางแย้มยิ้มว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่าคุณหนูใหญ่สวมเสื้อเจี๋ยหรูสีเขียวต้นสนและกระโปรงหลัวฉวินจีบกว้างสีหยกก็ไม่เลวนะเจ้าคะ”
“เช่นนี้ก็มิใช่ว่าแทบจะเป็นสีเดียวกับต้นหลิวหรอกหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำจึงหันหน้าหนีไปทันใดพลางโพล่งถามออกมาโดยไม่ทันคิด
นางหวงหัวเราะขันบอกว่า “คุณหนูก็บอกเองว่า เรื่องในจวนจิ้งผิงกงเพิ่งจะผ่านไป ยามนี้ไม่เหมาะจนสวมสีแดงนี่เจ้าคะ!”
“…” เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ สูดหายใจลึก แล้วกล่าวอย่างไม่ไร้อารมณ์ว่า “ก็ได้!”
ครานี้นางไร้อารมณ์ ทว่าวันต่อมากลับไม่ต้องให้ฉินเกอปลุกก็ตื่นนอนเอง แล้วคอยจับตาดูนางเฮ่อมวยผมทรงหอยโข่งคู่ให้ตนอย่างละเอียดถี่ยิบ จากนั้นก็สวมกำไลที่นางเพิ่งจะเลือกออกมาได้ตอนดึกดื่นเมื่อคืนนี้ แล้วจึงสวมเสื้อผ้าที่นางหวงเสนอแนะให้ด้วยสีหน้าอมทุกข์…
เมื่อถึงหอหลิวเขียว สายตาของเว่ยฉางอิ๋งลอดผ่านกิ่งก้านต้นหลิวและคอยจับจ้องไปยังเรือนหน้า แต่ปากกลับบอกว่า “จนเพลานี้แล้ว ใบของต้นหลิวย้อยนี้ก็ยังร่วงไม่หมด แต่กลับถูกฝนชะล้างจนดูชุ่มช่ำขึ้นมา อืม…ดูไปก็สวยดี พวกเราดูอีกสักพักเถิด”
ทุกคนกลั้นหัวเราะและต่างพากันพยักหน้า “คุณหนูกล่าวถูกแล้ว ต้นไม้นี้ทั้งขาวทั้งอ่อน งดงามเป็นที่สุดเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเองก็กลับพยักหน้า “สุดยอด สุดยอดจริงๆ” และทุกคนต่างพากันหัวเราะเสียงดังออกมา
เสิ่นโจ้วปรารถนาจักกลับบ้านยิ่งนัก ตั้งแต่เช้าก็เร่งให้หลานชายตื่นนอนอาบน้ำเกล้าผม รีบสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ เมื่อสอบถามบ่าวไพร่ว่าเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว จึงได้นำหลานชายไปยังห้องโถงด้านหลัง เพื่อมากล่าวอำลากับเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งอีกครั้ง
หลังจากแสดงท่าทีรั้งตัวพวกเขาไปตามธรรมเนียมอีกหน เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งก็เดินไปส่งพวกเขาด้วยกันสองสามก้าว และสั่งให้คนเรียกเว่ยเซิ่งเหนียนมา เพื่อไปส่งพวกเขาที่หน้าประตูแทนตน… ตามหลักการแล้วพวกเขาต้องการจะไปส่งจนถึงศาลายาวที่อยู่ห่างจากนอกเมืองไปสิบลี้ ดังเช่นที่เว่ยฉางอิ๋งไปส่งซ่งไจ้สุ่ยเดินทางเช่นนั้น แต่หากไปถึงศาลายาวก็ไม่อาจไม่จัดสุรามาเลี้ยงส่งอีก เสิ่นโจ้วเร่งร้อนจะเดินทาง จึงได้บอกปัดการอำลาทั้งหมดเสีย และบอกว่าเพียงคอยส่งพวกเขาขึ้นม้าที่หน้าประตูก็เพียงพอแล้ว
แม้เว่ยเซิ่งเหนียนจะมีความสามารถไม่เพียงพอ แต่เพราะมีเว่ยฮ่วนคอยสอนสั่งอยู่ข้างกายมาโดยตลอด การออกหน้าพบปะผู้คนก็ถือว่ามีความชำนิชำนาญ เขาเดินไปพร้อมเสิ่นโจ้วอาหลาน สนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศไปพลาง เดินไปภายนอกไปพลาง เมื่อผ่านประตูรอง เสิ่นจั้งเฟิงที่อยู่รั้งท้ายก้าวหนึ่งพลันหันหน้ากลับมาและมองเอียงไปข้างหลังคราหนึ่ง
เว่ยเซิ่งเหนียนเหลือบมองแล้วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พลางมองไปตามสายตาของเขาแล้วหัวเราะและกล่าวว่า “จั้งเฟิงคงจะประหลาดใจว่าต้นหลิวนี้ยังคงดูสดอยู่?”
ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเสิ่นจั้งเฟิงเฉียบคมกว่าคนธรรมดา เหตุที่เขาหันหลังมองกลับไปนั้นก็ด้วยสัมผัสได้ว่ามีคนแอบมองตนอยู่ แต่กลับมองเห็นว่าที่ที่สายตาส่งมานั้นกลับอยู่ภายในเขตเรือนหลัง จึงพอจะเดาออกอยู่ในใจแล้ว เมื่อได้ยินคำจึงได้ว่าไปตามน้ำว่า “ท่านอาสามกล่าวถูกต้องแล้วขอรับ ยามนี้เป็นกลางฤดูใบไม้ผลิแล้ว ตามธรรมดาของต้นหลิวในเมืองหลวงต่างร่วงโรยไปหมดแล้ว ไม่คิดว่าที่นี่ยังสามารถมองเห็นใบหลิวย้อยที่แน่นขนัดเช่นนี้ขอรับ”
“อากาศที่เฟิ่งโจวอบอุ่น ความชอุ่มของต้นไม้ใบหญ้าก็จักมีเวลาที่ยาวนานกว่าสักหน่อย” เว่ยเซิ่งเหนียนอธิบายไปพร้อมรอยยิ้ม “ต้นหลิวย้อยที่มองเห็นนั้นอายุนับร้อยปีแล้ว อาคารที่อยู่ข้างๆ จึงได้ถูกตั้งชื่อว่าหอหลิวเขียว”
“นามนี้เหมาะกับทิวทัศน์ยิ่งนัก…” เขาคุยสรรเพเหระไปพลาง เร่งเดินต่อไปยังประตูหน้าไปพลาง บนหอหลิวเขียว เว่ยฉางอิ๋งปล่อยแขนเสื้อลงด้วยความกระวนกระวายใจ เอ่ยว่า “เฮ่อ เข้าหันหน้ากลับมาทำสิ่งใด?”
นางหวงกล่าวด้วยความขบขันว่า “อาจเพราะบังเอิญเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งกำลังจะพยักหน้า นางเฮ่อกลับพูดออกมาประโยคหนึ่งอย่างรวดเร็วว่า “นี่มิใช่ว่าใจสื่อถึงกันหรอกหรือเจ้าคะ?”
“ท่านอาเฮ่อชอบพูดจาส่งเดช!” เว่ยฉางอิ๋งตาขวางมองนางคราหนึ่ง พลางกระทืบเท้า “ข้าไม่สนใจท่านอาแล้ว!” และอาศัยโอกาสนี้วิ่งลงหอไป
นางหวงหัวเราะเสียงหลง “น้องเฮ่อ ดูเจ้าสิ อยู่ดีๆ ก็พูดให้คุณหนูใหญ่อารมณ์เสียแล้ว”
นางเฮ่อทำสัญญาณมือเรียกให้พวกเขาฉินเกอซึ่งเป็นสาวใช้ที่มีแข้งขาว่องไวรีบเดินตามไป เพราะหอหลิวเขียวคับแคบ บันใดทั้งชันทั้งสูง นางและนางหวงเป็นท่านอารับใช้จึงพอจะมีอายุแล้ว อีกทั้งโดยทั่วไปแล้วเมื่อมาเป็นท่านอารับใช้ก็ควรต้องวางท่าสำรวม เวลาลงหอก็จักต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ด้วยเกรงว่าหากไม่ระวังจะหกล้มและขายหน้าเอาได้
ได้ยินเสียงพวกสาวใช้วิ่งตามเว่ยฉางอิ๋งไปไกล นางเฮ่อจึงได้หัวเราะเหอะๆ ออกมา “คนก็ไปไกลแล้ว คุณหนูใหญ่หรือจะมีแก่ใจมาชมต้นหลิวอะไรนี่? ประจวบเหมาะให้คุณหนูใหญ่มีเหตุผลกลับไปพอดี!”
นางหวงนิ่งงัน เกือบจะหัวเราะออกมา “ที่แท้เจ้าก็เตรียมการมาอย่างยากเย็น… เพียงแต่ มิใช่ว่าข้าจะต่อว่าสิ่งใดเจ้า เจ้าก็เอาใจคุณหนูใหญ่เกินไป เจ้าก็ยังพูดเองว่าปีหน้าคุณชายสามตระกูลเสิ่นผู้นี้ก็จะมารับตัวเจ้าสาวแล้ว ครานี้ก็เพียงมองจากบนหอไกลๆ สักคราเท่านั้น อย่าได้พูดสิ่งใดไป ที่คุณชายสามตระกูลเสิ่นผู้นั้นหันหน้ากลับมาก็หาได้มองเห็นคนไม่ แล้วไยต้องรบเร้าให้ข้าต้องคิดแผนการนี้? หนนี้เคราะห์ดีที่มีหอคอยเช่นนี้อยู่ ทั้งยังมีต้นหลิวย้อยที่มีใบหน้าบังเอาไว้ หาไม่แล้วหากคุณชายสามตระกูลเสิ่นเห็นคุณหนูใหญ่เข้า ก็ยากจะไม่ทำให้มองว่าคุณหนูใหญ่ไม่สำรวมกิริยาพอ”
นางเฮ่อถอนหายใจ แล้วว่า “ก็มิใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตใด เพียงท่านพี่ท่านขยับสมองเล็กน้อยก็ทำได้แล้ว ให้คุณหนูใหญ่ดีใจสักหนแล้วจักเป็นไรเล่า? ข้ารู้ว่าตัวข้ามิได้มีฝีมือดูแลจัดการบ้านเรือน แม้จะคอยดูแลเรือนเสียซวงให้คุณหนูใหญ่ แต่สิบกว่าปีมานี้ คุณหนูใหญ่มีฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินคอยดูแลใส่ใจอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ข้าทำได้ก็มีเพียงตบตีพวกสาวใช้ที่เพิ่งจะเข้ามาทำงานปีสองปีแรกเท่านั้น เมื่อมีฮูหยินผู้เฒ่าละฮูหยินอยู่แล้ว ในจวนแห่งนี้ผู้ใดจักกล้าเพิกเฉยต่อเรือนเสียซวงเล่า?”
“นานวันเข้า พวกสาวใช้ก็ล้วนรู้จักกฎเกณฑ์กันหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ข้าคอยจับตาดูอีก สิ่งที่ข้าคอยคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นมีอยู่เพียงสองเรื่อง เรื่องแรกคือการคอยกล่าวเตือนไม่ให้คุณหนูใหญ่เรียนวรยุทธ์… แต่คราก่อนหากคุณหนูไม่เป็นวรยุทธ์ แม้แต่คุณชายห้าก็คงเกือบจะเกิดเรื่องไปด้วย ยิ่งมิต้องบอกว่าตระกูลเสิ่นยังได้ส่งกระบี่มาให้เล่มหนึ่ง ซึ่งในยามนี้ก็เป็นที่แน่นอนว่าข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก เรื่องที่สองก็คือคิดหาวิธีทำให้คุณหนูใหญ่มีความสุข ซึ่งเป็นเรื่องที่ข้าทำมาโดยตลอดตั้งแต่คุณหนูใหญ่ยังอยู่ในผ้าอ้อม ดีชั่วคุณหนูใหญ่ต้องการสิ่งใด อยากทำสิ่งใด… เกรงว่าแม้จะเพียงพูดลอยๆ ออกมา หากไม่ทำตามคำนางข้าก็…ก็จักไม่สบายใจ!”
นางหวงเงียบไปพูดไม่ออก เกือบเค่อจากนั้นก็กลับส่ายหน้าแล้วกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่วางใจเจ้า เจ้าเอาใจคุณหนูใหญ่มากเกินไป ทั้งคุณหนูใหญ่ก็ยังเยาว์วัยไม่ประสีประสา ยังไม่ถึงเวลาที่สามารถทำทุกสิ่งตามที่นางต้องการได้…เรื่องเช่นนี้จะต้องไม่มีอีก ครานี้เพราะมีสถานที่ที่เหมาะสมข้าจึงได้รับปาก หนหน้าหากมีเรื่องที่ไม่ถูกกฎเกณฑ์และไม่สลักสำคัญเช่นนี้อีก ข้าก็จะไม่ยอมรับปากโดยเด็ดขาด จักต้องรู้ด้วยว่าการละเมิดกฎนั้นมิได้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ทว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดคือละเมิดกฎแล้วแต่กลับมิได้มีประโยชน์ที่เพียงพอต่างหาก!”
และต่อว่านางว่า “เช่นเรื่องครานี้ ก็เพื่อให้คุณหนูใหญ่ดีใจสักหน่อย แต่ความจริงแล้วมีประโยชน์อันใด? หากเรื่องถูกเล่าลือออกไปก็ไม่น่าฟัง หากถูกจับได้ขึ้นมาก็ยิ่งทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก! ไม่สู้…”
หารู้ไม่ว่านางเฮ่อเอานิ้วมาปิดปาก แล้วกล่าวขัดว่า “พี่หวงท่านก็กลับมาแล้ว ดีชั่วอย่างไรภายหน้าจะทำการใดท่านว่าอย่างไรว่าตามนั้น ข้าจะไม่ไปคิดเล็กคิดน้อยใดๆ ดังนั้นท่านพี่ไม่จำเป็นต้องลำบากมาสอนสั่งข้า อย่างไรหากท่านพี่ไม่รับปากข้า ข้าก็รู้ว่าเรื่องนี้ทำไม่ได้…จำเพียงประโยคนี้เอาไว้ก็มิใช่ว่าสิ้นเรื่องแล้วหรือ?”
นางหวง “…”
_________________________
[1] กระบี่บุ๋น เป็นกระบี่ที่คนฝ่ายบุ๋นใช้พกติดตัว มักใช้เหมือนเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่ง ต่างกับกระบี่บู๊ที่เหมาะกับการสังหารมากกว่า