ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 86 บ้านตระกูลเสิ่น
เสิ่นจั้งหนิงที่บนหัวมวยผมทรงหอยโข่งคู่ยกชายกระโปรงวิ่งวนอ้อมต้นเสาอยู่ในห้องโถงทั้งน้ำตา แถบดิ้นผ้าห้าสีที่ผูกกับม้วยผมของนางปลิวไหวไปตามจังหวะวิ่งของนางดูงดงามยิ่งนัก
แต่น่าเสียดายที่บรรยากาศในโถงยามนี้วุ่นวายเสียจนไม่มีผู้ใดมีแก่ใจมาชื่นชม…
ฮูหยินซูมีโทสะอยู่เต็มอกถือไม้เรียวอยู่ในมือ สวมร้องเท้าไม้เปิดส้น ไล่ตีไปพลางด่าทอไปพลาง “เจ้ากล้าดีนักนะ! ท่านพ่อรักใคร่เจ้า ให้เจ้าเข้าไปในห้องหนังสือ แต่เจ้ากลับบังอาจช่วยเฟิงเอ๋อร์ไอ้เจ้าลูกไม่รักดีนั่นขโมย ‘ลู่หู’! เจ้ารู้หรือไม่ว่ากระบี่เล่มนั้นเป็นเหล็กดาวตก[1]จากท้องฟ้าที่บิดาของเจ้าบังเอิญได้มาและตีมันออกมาด้วยมือของตนเอง? เป็นของที่แม้แต่ท่านอารองของพวกเจ้ายังอยากจะครอบครอบมาหลายสิบปีแล้ว! เจ้า! เจ้าบังอาจขโมยมันออกไป แล้วให้เฟิงเอ๋อร์เอามันไปมอบให้บุตรสาวสกุลเว่ยที่เฟิ่งโจว! เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำเช่นนี้แล้วเรื่องหมั้นหมายกับตระกูลเว่ยครานี้ก็ถอดถอนไม่ได้แล้ว?!”
เสิ่นจั้งหนิงหลบซ้ายหลีกขวา วิ่งอ้อมไปที่หลังเสาเพื่อหลบเลี่ยงไม่ต้องเจ็บปวดกับการถูกมารดาจับกดลงโบยตี แม้จะกำลังว้าวุ่นแต่ก็ไม่ลืมที่จะร้องทุกข์ว่า “ไม่เกี่ยวกับข้า! พี่ชายสามเป็นคนขโมยไปเองต่างหาก!”
“ยังกล้าพูดส่งเดช! ข้างนอกห้องหนังสือมีคนเฝ้า สองสามวันนั้นเฟิงเอ๋อร์ไม่ได้เข้าไปภายในเลยแม้แต่น้อย!” ฮูหยินซูโมโหเสียจนเกือบจะโยนไม้เรียวเข้าใส่ “หากมิใช่เจ้าแกล้งเอาของปลอมนั่นซ่อนไว้ในฉินแล้วเอาไปสับเปลี่ยน ท่ามกลางสายตาคนมากมายเช่นนั้น แล้วผู้ใดจักขโมยกระบี่เล่มนั้นไปได้อีก?”
“บางทีอาจเป็นพี่ชายสามปีนหน้าต่างเข้ามา!” เสิ่นจั้งหนิงร้องเสียงดังออกมาว่า “พี่ชายสามเจ้าเล่ห์ที่สุด! จักต้องเป็นเขาให้ร้ายข้า ท่านแม่ท่านต้องจัดการให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ!”
ฮูหยินซูกระทืบเท้า “แล้วนอกหน้าต่างไม่มีคนเฝ้าอยู่หรือไร?! ซูเหยียนก็ยังยอมรับแล้ว เจ้ายังกล้าโยนความผิดให้พี่ชายสามของเจ้ารึ? อาศัยว่าเขาไม่อยู่ที่นี่ ไม่อาจโต้แย้งต่อหน้าเจ้าได้เช่นนั้นรึ?! นิสัยปั้นน้ำเป็นตัวเช่นนี้ไปเอาเยี่ยงอย่างผู้ใดมา? ทำข้าเสียหน้าไปจนแทบหมดแล้ว! เจ้าออกไปข้างนอกอย่าได้บอกว่าเป็นลูกสาวข้าเชียว!”
“อะไรนะ? ซูเหยียนยอมรับเสียแล้วหรือ?” เสิ่นจั้งหนิงตื่นตระหนกยกใหญ่จนหน้าถอดสี พักหนึ่งก็กล่าวว่า “นางนี่ช่าง…” ในเวลาแค่ชั่วขณะเช่นนี้ ตัวนางก็หยุดลงไปด้วย แม้ฮูหยินซูจะมิได้ขยับตัว แต่กลับส่งสายตาไปยังสาวใช้ที่อยู่ใกล้ๆ สองคน สาวใช้อาศัยจังหวะที่เสิ่นจั้งหนิงกำลังเสียสมาธิและโอดครวญว่าหลานสาวไม่มีน้ำใจพออยู่นั้น พุ่งตัวเข้าใส่นางทันใด!
เสิ่นจั้งหนิงรู้สึกตัวว่าตนตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว จึงร้องครวญออกมาคราหนึ่ง พลางกระโดดโหย่งและกำลังจะวิ่งหนีต่อ แต่ก็ยังสายไปก้าวหนึ่ง นางจึงถูกสาวใช้จับแขนทั้งสองไว้คนละข้าง แล้วถูกบังคับคุมตัวมาอยู่ต่อหน้าฮูหยินซู เมื่อเห็นท่าไม่ดี เสิ่นจั้งหนิงก็พลันน้ำตาร่วงอย่างหนัก “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าสำนึกผิดแล้ว! ท่านโปรดฟังข้า ความจริงแล้วล้วนเป็นซูเหยียนยุยง…”
ฮูหยินซูเห็นว่ามาจนถึงขั้นนี้แล้วนางยังไม่ลืมจะปัดความรับผิดชอบ จึงโมโหหนักและสั่งสาวใช้ว่า “หม่านถัง หม่านถิง จับมือนางยกขึ้นมาบัดเดี๋ยวนี้!”
“อย่าเจ้าค่ะท่านแม่! ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ” เสิ่นจั้งหนิงร้องไห้ขี้มูกโป่ง แก้ตัวไปต่างๆ นานา แต่กลับยังถูกฮูหยินซูเอาไม้เรียวตีไปที่ผ่ามือสีห้าครั้ง จึงได้ถามไปอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ยังจะกล้าพูดคำเท็จอีกหรือไม่?!”
เสิ่นจั้งเหนิงน้ำตาคลอพลางหดมือกลับ ทางหนึ่งร้องว่าเจ็บ ทางหนึ่งก็กล่าวอย่างเสียอกเสียใจว่า “ข้าไม่ได้หลอกท่านแม่ เป็นซูเหยียนยุยงจริงๆ นะเจ้าคะ!”
“เจ้ายังกล้าพูดอีก!” ฮูหยินซูโกรธเสียจนพูดไม่ออก กำไม้เรียวขึ้นมา และไม่ต้องให้หม่านถังและหม่านถิงช่วยเจ้าบุตรสาวแล้ว หากแต่ตรงเข้าไปนับมือซ้ายของเสิ่นจั้งหนิงที่เพิ่งจะถูกตีก่อนหน้านี้ขึ้นมา และตีลงไปอย่างแรง แล้วกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เหตุใดข้าจึงได้มีลูกเวรที่ไม่รักดีเช่นเจ้านี่! ไปลากเอาซูเหยียนที่ยังไม่รู้ความมาช่วยพี่ชายสามของเจ้าขโมยกระบี่ยังไม่พอ เมื่อถูกจับได้แล้ว ยังมีหน้าโยนความผิดไปให้หลานสาวอายุสามขวบอีก!”
เสิ่นจั้งหนิงน้อยใจเสียจนกระทืบเท้า ทั้งร่ำไห้ทั้งเอะอะโวยวายว่า “ข้าพูดจริงๆ! ซูเหยียนไม่รู้ความที่ใดกัน? ทั้งเมืองหลวงมีผู้ใดไม่รู้ว่าบ้านเรามีเทพธิดาน้อย อายุยังมิทันสี่ขวบก็สามารถอ่านกลอนแต่งกวี… ข้าโตกว่านางสิบปี แต่งกลอนยังไม่ดีได้เท่านางเสียด้วยซ้ำ! นางอยากจะช่วยว่าที่พี่สะใภ้สาม ดังนั้นจึงได้ยุยงให้ข้าไปรบเร้าพี่ชายสามว่าต้องการมีส่วนร่วมด้วย! เดิมทีก็เป็นความคิดของนาง เหตุใดเพียงเพราะข้าโตกว่านาง ท่านแม่จึงมาโทษข้าไปเสียหมดเล่าเจ้าคะ?”
ฮูหยินซ่งเบิกตากว้างปากคอสั่น แล้วหยุดตีนาง คิดสักพักจึงว่า “แม้ซูเหยียนจะมีพรสวรรค์ในด้านโคลงกลอน แต่อย่างไรก็ยังเป็นเด็ก…ทั้งนางยังไม่เคยได้เห็นบุตรสาวสกุลเว่ย แล้วเหตุใดจึงคิดจะช่วยนางเช่นนี้?”
เสิ่นจั้งหนิงอ้ำๆ อึ้งๆ เอาแขนเสื้อเช็ดหน้าไปเรื่อยเปื่อย จึงได้กล่าวออกมาอย่างน้อยใจว่า “ก็เพราะว่าว่าที่พี่สะใภ้สามแซ่เว่ยเช่นไรเจ้าคะ!”
“นางชื่นชอบตระกูลเว่ย?” ฮูหยินซูเกิดความงุนงง หลานสาวตัวน้อยแม้จักมีพรสวรรค์ด้านโคลงกลอนจนได้ฉายาว่ามีความสามารถเป็นเลิศ แต่หากว่ากันถึงด้านอื่นๆ ก็เหมือนๆ กับเด็กเล็กๆ อายุสามขวบทั่วไป แล้วจู่ๆ จักมาเกิดความสนใจในตระกูลเว่ยได้อย่างไร?
ปากน้อยๆ ของเสิ่นจั้งหนิงหดห่อเข้ามาและเชิดขึ้นสูง กล่าวอย่างโมโหว่า “ตระกูลเว่ยแห่งเฟิงโจวเลื่องชื่อด้านการอักษร ตำรามีชื่อที่สะสมไว้ในตระกูลไม่รู้ว่าล้ำค่าเท่าใดต่อเท่าใด… ได้ยินมาว่าว่าที่พี่สะใภ้สามเป็นที่รักใคร่อย่างยิ่งในบ้านตระกูลเว่ย…” พูดถึงตรงนี้ นางสะอื้นไห้และมองมารดาคราหนึ่ง แล้วแค่นเสียงกล่าวว่า “ข้าและว่าที่พี่สะใภ้สามเป็นบุตรสาวบ้านใหญ่เช่นกัน แต่ข้ากลับน่าสงสาร ฐานะในบ้านตนเองมีหรือจะเทียบพี่สะใภ้สามได้!”
ฮูหยินซูยิ้มเยาะแล้วยกไม้เรียวขึ้นมา กล่าวว่า “นี่เพราะเจ้าทำตนเอง! บุตรสาวสกุลเว่ยผู้นั้นเคยขโมยของรักของห่วงของทั้งบิดาและท่านอาแล้วเอาไปให้ผู้อื่นหรือไม่? หากไม่ตีลูกสาวเนรคุณเช่นเจ้านี้ แล้วยังจะมีความกฎสวรรค์อยู่หรือไม่!”
เมื่อเห็นไม้เรียว เสิ่นจั้งหนิงพลันหดคอลง ไม่กล้าอาศัยเรื่องที่เล่ามาโอดครวญใดๆ อีกแล้ว พลางพึมพำว่า “สรุปก็คือ เมื่อว่าที่พี่สะใภ้สามแต่งเข้ามาอย่างน้อยก็จักต้องนำตำราเลื่องชื่อมาเก็บไว้ในหีบสักเล่มสองเล่ม เมื่อถึงเวลานั้น ซูเหยียนก็คิดอยากจะไปขอเล่มจริงสักเล่มมาเก็บไว้เสียเหลือเกิน เมื่อพบว่าพี่ชายสามคิดการจะ…อืม คิดการจะขโมยกระบี่ไปเฟิ่งโจว จึงได้รบเร้าให้ข้าช่วย ด้วยคิดว่าจักสามารถใช้น้ำใจที่เคยช่วยเหลือในครานี้ไปแลกกับตำราเล่มจริงกับว่าที่พี่สะใภ้สามเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินซูโมโหเสียจนอดจะดุด่านางอีกคราไม่ได้ “เจ้า! เจ้าก็อายุสิบสามปีแล้ว หากนับจากอายุเจ้าก็โตกว่าซูเหยียนสิบปี! หากว่ากันตามศักดิ์เจ้าก็เป็นอาของนาง! เหตุใดกลับมิใช่เจ้าที่เป็นผู้กล่าวตักเตือนนางว่าอย่าได้ทำเรื่องเลอะเลือน แต่กลับเป็นเจ้าที่ถูกนางหวานล้อมให้ไปทำเรื่องเลอะเลือนกับนาง?! เจ้า…เจ้ามีสมองหรือไม่กันแน่!”
เสิ่นจั้งหนิงกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ข้าจะไม่มีสมองได้อย่างไร? เดิมทีซูเหยียนก็คิดไม่ถึงว่าตระกูลเว่ยมีตำราโบราณล้ำค่ามากมาย แล้วบุตรสาวบ้านใหญ่ที่เป็นที่รักออกเรือนทั้งทีก็จักต้องนำของเช่นนี้ติดตัวมาตอนแต่งงานด้วย… หากแต่เป็นข้าที่บอกนาง นางจึงได้รู้!”
ฮูหยินซูแทบจะกระอักเลือด แล้วเข้าไปดึงหูนางขึ้นมา ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “แล้วเจ้ายังจักมาบอกว่าเป็นซูเหยียนยุยงเจ้าอีก?”
“เจ็บๆๆ!” เสิ่นจั้งหนิงกุมหูเอาไว้พลางร้องเสียงหลง จากนั้นก็กล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “เดิมทีก็เป็นนางยุยงข้า! ข้าเพียงบอกนางไปเช่นนี้ เรื่องอื่นล้วนไม่ได้พูด! เป็นซูเหยียนที่เมื่อได้ยินแล้วก็มารบเร้าให้ข้าช่วยขโมยกระบี่! เรื่องนี้หาใช่ข้าเป็นคนต้นคิดไม่!”
“…!” ฮูหยินซูสูดหายใจลึกหนหนึ่ง แล้วสั่งบ่าวทั้งซ้ายขวาว่า “ลากเจ้าลูกเวรคนนี้กลับเข้าไปให้ห้อง! ทำโทษให้นางคัด ‘กฎสตรี’ หนึ่งร้อย ไม่ สามร้อยรอบ! คัดไม่ดี ห้ามออกจากห้อง และห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปทั้งนั้น”
“ฮือๆๆ…” เมื่อได้ยินคำเสิ่นจั้งหนิงก็ร้องไห้ยกใหญ่ออกมาทันที “ท่านแม่ใส่ความข้า! ทั้งที่คนต้นคิดเป็นพี่ชายสามและซูเหยียนชัดๆ แล้วถือสิทธิ์ใดมาลงโทษแต่เพียงข้าผู้เดียวเล่า?”
ฮูหยินซูกัดฟันคำรามออกมาว่า “ซูเหยียนเพิ่งอายุสามขวบ เด็กเล็กเช่นนั้นเจ้าคิดจักลงโทษนางเช่นไร? ส่วนพี่ชายสามของเจ้านั้น เจ้าวางใจได้ รอจนเขากลับมา ก็จักต้องมีกฎบ้านไว้เล่นงานเขาอยู่แล้ว!”
นางพูดไปพลางตบโต๊ะ “รีบลากนางลงไป! ในระหว่างที่คัดหนังสือ ห้ามให้ในอาหารมีเนื้อสัตว์… อายุน้อยๆ เพียงเท่านี้กลับเหิมเกริมนัก หากไม่สั่งสอนเจ้าสักหน่อย วันหน้าจะยิ่งเป็นเช่นใด?!”
เสิ่นจั้งหนิงร้องห่มร้องไห้ขณะถูกเอาตัวออกไปนอกประตู ฮูหยินซูพลันนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีคำถามที่ยังไม่ได้สอบถาม จึงรีบเรียกให้คนเอาตัวนางกลับมาแล้วว่า “เจ้าประเหลาะให้ซูเหยียนร่วมมือทำเรื่องนี้เพื่อสิ่งใด? หรือว่ามีผู้ใดบอกเจ้าเรื่องเกี่ยวกับบุตรสาวสกุลเว่ย?”
“ข้า…” เสิ่นจั้งหนิงเบ้ปาก มองมารดาทั้งน้ำตานองหน้าอยู่เป็นนาน แล้วพลันกระทืบเท้า กล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “เรื่องที่คนสามคนทำ แต่กลับมีข้าถูกลงโทษเพียงผู้เดียว! ยิ่งไปกว่านั้นเห็นชัดๆ อยู่ว่าความผิดของข้าเบาที่สุด! ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ข้าจะไม่บอกท่านแม่หรอก!”
ฮูหยินซูโมโหเสียจนหงายหลัง แล้วกำไม้เรียวแน่นเข้าอีกครา “เจ้าจะพูดหรือไม่พูด?!”
“ไม่ พูด!” เสิ่นจั้งหนิงเชิดหน้าขึ้น แล้วกล่าวอย่างเต็มแรงว่า “ตีจนตายก็ไม่พูด!”
“ตีให้เจ้าเกือบตาย ดูซิว่าเจ้าจะพูดหรือไม่พูด!” ฮูหยินซูถลกแขนเสื้อขึ้น ขบฟันและกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด!
…เสียงดังเอ็ดตะโล กันอยู่เช่นนี้เกือบครึ่งชั่วยาม เสิ่นจั้งหนิงจึงได้ร้องห่มร้องไห้และวิ่งเตลิดออกไป
เมื่อเห็นสิ่งของที่เกลื่อนกลาดเละเทะภายในห้องโถง ฮูหยินซูทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งเหน็ดเหนื่อย จึงได้สะบัดมือสั่งให้พวกของหม่านถังจัดเก็บเสีย ส่วนตนเองกลับไม่ได้มาพักผ่อน หากแต่เร่งไปยังห้องหนังสือเพื่อไปรายงานเสิ่นเซวียนผู้สามี ที่เช้าวันนี้ต้องการฝึกกระบี่ แต่กลับไม่ต้องการใช้เพียงฝักกระบี่เปล่าๆ และกำลังโกธรเกรี้ยวอย่างหนักเช่นกัน “หนิงเอ๋อร์เลอะเลือนนัก เพื่อเล่นสนุกจึงได้ไปช่วยเฟิงเอ๋อร์ขโมยกระบี่! แต่กลับมิได้มีเรื่องราวเบื้องลึกอื่นใด”
สีหน้าของเสิ่นเซวียนนั้นน่ากลัวยิ่งนัก “โตจนใกล้จะปักปิ่นแล้ว เหตุใดจึงยังมิรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรเช่นนี้!”
“ก็มิใช่ล้วนเพราะท่านตามใจรึ” ก่อนหน้านี้ฮูหยินซูไล่ตีเสิ่นจั้งหนิงเสียจนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่วห้อง แต่ครานี้กลับออกปากแทนบุตรสาวขึ้นมา “ข้าก็เคยบอกท่านตั้งนานแล้วว่า ห้องหนังสือนี้ อย่าได้ให้พวกเด็กผู้หญิงเข้ามา แต่ท่านก็ยังปล่อยปละละเลย พวกนางถูกท่านเอาใจจนเคยตัวแล้ว ที่ไหนเล่าจักรู้ว่าผลจากการขโมยกระบี่เล่มนั้นให้แก่เฟิงเอ๋อร์จักเป็นเช่นไร?”
เสิ่นเซวียนกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ก่อนนี้เพียงคิดว่านางซุกซกนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเลยเถิด… นับแต่วันนี้ไป ข้าจักไม่อนุญาตให้พวกนางเข้าไปอีกแล้ว!”
ฮูหยินซูถอนหายใจอีกครา กล่าวว่า “เรื่องนี้ก็ยังมิเท่าใด แต่เรื่องที่เฟิ่งโจวนั้น…เหตุใดเฟิงเอ๋อร์จึงได้ปักใจเช่นนี้? จะอย่างไรบุตรสาวสกุลเว่ยผู้นั้นก็เป็นถึงหลานสาวบ้านใหญ่เพียงผู้เดียวของเว่ยฮ่วน มารดาสกุลซ่งของนางแต่งเข้ามาเกือบสิบปีจึงเพิ่งจะมีบุตรสาวผู้นี้ จึงรักนางเสียยิ่งกว่าชีวิตตน แม้บ้านเราจะถอนหมั้น นางก็เพียงแค่แต่งกับผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่าสักหน่อยเท่านั้น ด้วยความมั่งคั่งของตระกูลเว่ย หากจะประกันทั้งแพรพรรณอาภรณ์อาหารชั้นเลิศให้นางไปชั่วชีวิตก็มิได้เป็นเรื่องยาก… แต่เรื่องที่เฟิงเอ๋อร์ยังยืนยันจะเสียสละเช่นนี้ ก็หาได้ทำให้นางยอมรับในตัวเขาไม่! เขาไม่ยอมให้บุตรสาวสกุลเว่ยต้องรับเคราะห์ แต่กลับมิได้คิดบ้างเลยว่าเมื่อบุตรสาวสกุลเว่ยแต่งเข้ามาแล้ว คนที่ต้องรับเคราะห์ก็คือตัวเขาเอง!”
เมื่อเห็นเสิ่นเซวียนมีสีหน้าหนักอึ้งไม่พูดจา จึงได้ถามว่า “ท่านพี่ เรื่องแต่งงานกับตระกูลเว่ยครานี้… ดีชั่วอย่าไร น้องรองก็ลงมือไปก่อนก้าวหนึ่ง จักต้องสามารถชิงถอนหมั้นได้ก่อนที่เฟิงเอ๋อร์จะไปถึงกระมังเจ้าคะ?”
เสิ่นเซวียนกล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า “กระบี่ ‘ลู่หู’ ก็ถูกเขาเอาไปแล้ว และจักต้องนำไปมอบแก่บุตรสาวสกุลเว่ยในนามของข้า บุตรชายของเจ้าเจ้ายังมิเข้าใจเขาหรือ? แม้ยามเขาไปถึงเฟิ่งโจว แล้วตานเซียวจะบอกถอนหมั้นกับตระกูลเว่ยไปแล้ว เขาก็สามารถใช้ ‘ลู่หู’ เป็นธนูเบิกทาง และบอกค้านต่อหน้าว่าพวกเราเปลี่ยนใจแล้ว หรือไม่ก็บอกว่าตานเซียวฟังผิดไปแล้ว!”
ฮูหยินซูไม่มีคำจะพูดไปพักหนึ่ง สักครู่จึงได้กล่าวด้วยความน้อยใจว่า “เป็นลูกข้า แล้วมิใช่บุตรชายท่านหรือ? จะว่าไปแล้วเป็นท่านที่สอนสั่งเฟิงเอ๋อร์มาด้วยตนเองจนโต”
“…เจ้าเตรียมการแต่งสะใภ้ใหม่เข้าบ้านตามวันเวลาเดิมที่เคยกำหนดเอาไว้เถิด” เสิ่นเซวียนไม่มีแก่ใจจะโต้เถียงกับนางเรื่องนี้ ถอนหายใจคราหนึ่ง สั่งความพลางกุมขยับด้วยความอ่อนใจ
ฮูหยินซูไม่ยินยอมพร้อมใจเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “ชื่อเสียงของบุตรสาวสกุลเว่ยนั้นก็… เฟิงเอ๋อร์เลอะเลือนนัก ท่านก็ยังจะยอมรับที่เขาทำเช่นนี้จริงๆ อีกรึ?”
“เจ้าลูกหัวรั้นก็ขโมยกระบี่ ‘ลู่หู’ ไปแล้ว เจ้าจะคอยกระแนะกระแหนข้าอีกเพียงใด…เจ้าคิดหรือว่าในยามนี้ยังสามารถกลับลำได้อีก? หากถอนหมั้นคราหนึ่งอย่างมากก็แค่ไม่ได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลเว่ย ตระกูลเว่ยก็คงพอจะเข้าใจ แต่ถอนหมั้นแล้วหมั้นใหม่ หมั้นแล้วก็ถอนหมั้นอีกเช่นนี้ คิดว่าตระกูลเว่ยเป็นสิ่งใด?! หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ตระกูลเสิ่นก็จักกลายเป็นตัวตลกในบรรดาตระกูลสูงศักดิ์เอาได้!” เสิ่นเซวียนแค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าลูกหัวรั้นคนนี้จัดการปิดตายหนทางถอยร่นของบ้านเราไปจนหมดแล้ว ไม่รับบุตรสาวสกุลเว่ยเข้าบ้านแล้วจักยังทำสิ่งใดได้อีก?”
ฮูหยินซูกล่าวอย่างขัดเคืองว่า “ลูกชายของข้าอยู่ดีๆ แท้ๆ…”
“วาจาเช่นนี้มิต้องพูดอีกแล้ว!” เสิ่ยเซวียนขมวดคิ้วแล้วว่า “ดีชั่วอย่างไร เรื่องแต่งงานนั้นก็ยกเลิกไม่ได้แล้ว หากจะมัวมาร่ำไรว่าเฟิงเอ๋อร์เป็นคนรับเคราะห์หรือไม่อยู่เช่นนั้น กลับมิสู้คิดถึงข้อดีของการที่ยังมีการแต่งงานหนนี้อยู่ต่อไปดีกว่า!”
ฮูหยินซูบันดาลโทสะเสียจนลุกขึ้นมา “เรื่องใหญ่ชั่วชีวิตของเฟิงเอ๋อร์! ท่านไม่ช่วยจัดการดูแลให้เขา แต่กลับเอาแต่คิดว่าเมื่อบุตรชายของท่านแต่งกับหญิงที่มีชื่อเสียงเสื่อมเสียแล้วจะสามารถแลกผลประโยชน์ใดบ้างหรือ? ท่านเป็นบิดาประสาอะไรกัน!”
เสิ่นเซวียนแค่นเสียงกล่าวว่า “ข้ามิได้ถอนหมั้นให้เขาหรอกหรือ? แต่เจ้าลูกหัวรั้นไม่ยอมเอง ทั้งยังขโมยกระบี่ของข้าวิ่งโร่ไปสร้างความมั่นอกมั่นใจให้ตระกูลเว่ยถึงเฟิ่งโจวด้วยตนเอง! ยามนี้ความจริงก็กระจ่างชัดแล้ว จะเอาแต่ร่ำไรถึงเรื่องนี้จักมีประโยชน์อันใด? เจ้าก็รู้สึกว่าบุตรชายของเจ้าเป็นผู้รับเคราะห์ หรือว่าข้าจะอาศัยโอกาสนี้สร้างชื่อเสียงให้เฟิงเอ๋อร์สักครา แล้วมันไม่ถูกต้องหรืออย่างไร?”
แล้วว่า “อีกสักพักข้าจะเรียกเสนาธิการทหารเข้ามา ให้พวกเขาตั้งใจเขียนบทสรรเสริญที่มีถ้อยคำล้ำเลิศสักสองสามบท ใจความว่าในสถานการณ์ที่ชื่อเสียงของบุตรสาวสกุลเว่ยย่อยยับ…อื่ม ไม่ถูกสิ ควรจะเป็นนางถูกคนให้ร้าย บ้านเรามิได้ละทิ้งนาง แต่ยังสืบสวนดูอย่างละเอียด และยังคงรักษาคำมั่น… โดยเฉพาะเฟิงเอ๋อร์ที่นำกระบี่ไปเฟิ่งโจว เพื่อเป็นการพิสูจน์น้ำใจของเรา ดังส่งถ่านไฟไปให้ท่ามกลางหิมะ…อาศัยโอกาสนี้ให้ผู้คนใต้หล้าได้รู้ว่าตระกูลเสิ่นของเราให้ความสำคัญกับคุณธรรมและน้ำใจ! และรู้ว่าเฟิงเอ๋อร์มีน้ำใจกว้างขวางยิ่งนัก!”
ฮูหยินซูกล่าวอย่างงวยงงว่า “บุตรสาวสกุลเว่ยถูกให้ร้ายจริงหรือ? นางมิได้เสียความบริสุทธิ์หรอกหรือเจ้าคะ?”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?!” เสิ่นเซวียนขมวดคิ้วพลางว่า “แต่ตระกูลเว่ยมิได้ยอมรับ บ้านเราเองก็ไม่ยอมรับ… เช่นนั้นก็ต้องถูกให้ร้ายอย่างไรเล่า! หรือเจ้าชอบใจให้นางแบกเอาชื่อเสียงว่าเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วมาแต่งเข้าบ้านเรา? ในเมื่อไม่ชอบใจ เช่นนั้นก็คิดเสียว่านางยังบริสุทธิ์อยู่เสียสิ!”
ฮูหยินซู “…”
เสิ่นเซวียนกล่าวอีกว่า “ยามเจ้าออกไปสมาคมกับสตรีบ้านอื่นก็จักต้องว่าเช่นนี้! ใช่แล้ว ก่อนนี้ไม่นาน คล้ายได้ยินว่าบุตรสาวบ้านใหญ่ของตระกูลหลิวผู้หนึ่งสนใจจั้งเฟิงเป็นอย่างมาก? เจ้าจงบอกเป็นนัยแก่ผู้คนว่า เจ้าลูกหัวรั้นของเราคนนี้เป็นเลิศทั้งความสามารถและหน้าตา เป็นที่ต้องใจของสตรีตระกูลใหญ่ต่างๆ นับไม่ถ้วน ส่วนเรื่องที่ว่ากันว่าบุตรสาวสกุลเว่ยไม่บริสุทธิ์แล้วนั้น ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าด้วยสาเหตุบางประการ ทำให้สตรีที่ริษยาบุตรสาวสกุลเว่ยเหล่านั้นจงใจสร้างข่าวลือออกมา! หากวันหน้ามีฮูหยินบ้านใดว่าร้ายบุตรสาวสกุลเว่ย เจ้าก็จงบอกไปว่าสงสัยว่านางต้องการจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับบ้านเรา! คุณหนูตระกูลใหญ่ที่ว่าร้ายบุตรสาวสกุลเว่ย ก็สงสัยว่าจักต้องใจในเฟิงเอ๋อร์… ในเมื่อต้องการให้บ้านเราเสียหน้า เช่นนั้นก็ไม่ต้องห่วงหน้าตามันเสียเลย!”
เสิ่นเซวียนพูดไปก็ขยำหนังสือราชการในมืออย่างไม่สบอารมณ์ กล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าลูกหัวรั้นคนนี้…สร้างความเดือดร้อนถึงเพียงนี้ ทำให้ยามนี้คนทั้งบ้านต้องมาช่วยมันเก็บกวาด! ที่หนักหนาที่สุดคือ ของใดในห้องหนังสือนี้ไม่เอาไป? แต่กลับต้องมาเอา ‘ลู่หู’ ไป! ตานเซียวขอข้ามาหลายสิบปีข้ายังทำใจยกให้ไม่ได้เลย เจ้าลูกเนรคุณนี่กลับบังอาจนัก!!! รอมันกลับมาก่อน ข้าไม่ตีมันจนขาหักก็คงไม่ได้แล้ว!”
ครานี้ถึงคราวฮูหยินซูแค่นเสียงบ้าง “เขาไปขอลากับองค์ฮ่องเต้จึงออกไปนอกเมืองหลวงได้ เมื่อกลับมาก็จักต้องไปเข้าเวรต่อหน้าพระพักตร์ต่อ เจ้าตีเขาขาหัก แล้วจักทูลฮ่องเต้ว่าอย่างไร?!”
“เจ้ากลับเรือนหลังไปสอนสั่งหนิงเอ๋อให้ดีๆ เถิดไป!” เสิ่นเซวียนจุกในลำคอ จึงไล่นางไปอย่างอดรนทนไม่ไหว…
_________________________
[1] เหล็กดาวตก หรือเรียกกันทั่วไปว่าแร่เหล็กอุกาบาตร (meteoric iron) เป็นอุกาบาตรที่ตกลงมาบนโลกและมีส่วนผสมของแร่เหล็ก