ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 87 หินดี จริงๆ!
เมื่อฝั่งศพเว่ยจิ้งหย่าเรียบร้อยแล้ว และเสิ่นโจ้วอาหลานอำลาไปแล้ว แต่ในเมืองเฟิ่งโจวกลับยังมิได้กลับมาสงบดังเดิม
เพราะเสนาบดีฝ่ายปกครอง เว่ยฉีได้ลาพักและกลับมาบ้านเกิดแล้ว
แม้ทางสายของจือเปิ่นถังจะมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองหลวงมาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว อย่างไรก็มิอาจได้ชื่อว่าเป็นตระกูลเว่ยแห่งเมืองหลวงไปได้ ภูมิลำเนาของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวก็คือเฟิ่งโจว ไม่ว่าบุตรหลานจะอยู่แห่งหนตำบลใด จะมีความก้าวหน้ามากมายเพียงใด บ้านเดิมก็ยังมีเพียงเฟิ่งโจวเท่านั้น แม้จะมีศาลบรรพชนใหม่อยู่ที่เมืองหลวงเช่นกัน แต่เมื่อศาลบรรพชนในคฤหาสน์หลักได้รับความเสียหาย แล้วจือเปินถังจะไม่ไยดีได้อย่างไร?
โดยเฉพาะเมื่อสาเหตุที่ศาลบรรพชนได้รับความเสียหายครานี้ยังเป็นเพราะถูกพวกหรงวางเพลิง
หากเป็นเพราะเกิดเพลิงไหม้ธรรมดาๆ เว่ยฉีก็เพียงแค่ส่งลูกหลานสักคนกลับมาดูแลบูรณะเสียหน่อย แล้วจุดธูปเทียนคารวะสักคราก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่ครานี้กลับเกี่ยวพันถึงเรื่องที่พวกหรงลอบเข้ามาในเฟิ่งโจว เพื่อแก้แค้นตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวอย่างอุกอาจ… ยามนี้คนทั้งใต้หล้าต่างรู้กันว่าในฎีกาของเว่ยฮ่วนที่แต่ละตัวอักษรพรรณนาถึงความชั่วช้าของพวกหรงออกมาด้วยเลือดและน้ำตานั้น ได้เขียนเรื่องศาลบรรพชนของจือเปิ่นถังถูกทำลายเอาไว้เป็น…อื่ม อันดับแรก
เมื่อประมุขของตระกูลให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ หากเว่ยฉียังไม่กลับมาดูแลการบูรณะด้วยตนเอง แล้วจะยังเป็นคนอยู่อีกหรือ?
ดังนั้นไม่ว่าเว่ยฉีจะยินยอมหรือไม่ในเวลาเช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงไปเข้าเฝ้าขอลาพักจากฮ่องเต้ทั้งน้ำตานองหน้า พาภรรยาและบุตรกลับมาบ้านเกิดเพื่อซ่อมแซมศาลบรรพชน และขอขมาต่อบรรพบุรุษผู้ล่วงลับที่ต้องตื่นตระหนกจากการถูกรบกวน
เมื่อมีตัวอย่างของซ่งหาน ซ่งตวน และเว่ยเจิ้งหย่าที่ถูก ‘เผ่าหรง’ ลอบสังหารอยู่ก่อนหน้า เว่ยฉีจึงกลับมาอย่างระมัดระวังเป็นที่ยิ่ง เขาอาศัยอำนาจที่ตนเป็นผู้ดูแลป้อมปราการที่เยี่ยนโจว และอ้างเหตุผลที่เมืองเหลียวถูกก่อสร้างให้เป็นหอศพ[1] มาทูลขอพระบรมราชโองการฉบับหนึ่งจากฮ่องเต้ เพื่ออนุญาตให้เขานำกองทหารส่วนหนึ่งจากเยี่ยนโจวมา ประการแรกเพื่อคุ้มกันตนกลับมายังเฟิ่งโจว ประการต่อมาคือเมื่อเว่ยฉีมาถึงเฟิ่งโจวแล้ว กองทหารนี้จะตั้งค่ายอยู่ทางเหนือของเฟิ่งโจว เพื่อตรวจตราและต่อต้านพวกหรง
ดังนี้เมื่อเว่ยเฉีกลับมาจึงได้ล้าช้ากว่าอาหลานสกุลเสิ่นอยู่มาก
กระทั้งวันที่สองหลังจากที่อาหลานสกุลเสิ่นเดินทางออกจากเฟิ่งโจว พวกเขาจึงเพิ่งจะเข้าถึงเฟิ่งโจวทั้งฝุ่นที่ตลบอบอวลไปหมด
เรื่องแรกหลังจากที่ต้องทำเมื่อมาถึงในตัวเมือง แน่นอนว่าย่อมต้องกลับไปขอขมาต่อบรรพบุรุษผู้ล่วงลับที่หอบรรพชนโดยทันที
เมื่อเว่ยฮ่วนได้ข่าวจึงพาคนไปรออยู่ที่หน้าคฤหาสน์จือเปิ่นถังก่อนหน้านั้นตั้งนานแล้ว
เว่ยฉีลงมาจากเกี้ยวเพื่อมาคารวะประมุของตระกูลเสียก่อน พร้อมพาบุตรของตนเข้าพบด้วยพร้อมกัน… อย่างไรก็ดี เว่ยฮ่วนไม่เพียงเป็นประมุขตระกูล ทั้งยังมีศักดิ์เท่าเทียมกับเว่ยฉี การที่เขามารออยู่นอกจือเปิ่นถังตัวตนเอง เป็นการแสดงออกชัดเจนว่าเขาให้ความสำคัญกับเรื่องที่ศาลบรรพชนของจือเปิ่นถึงได้รับความเสียหาย ไม่ว่าด้วยน้ำจิตน้ำใจหรือด้วยหลักการแล้ว สายของจือเฟิ่นถังก็ควรต้องขอบคุณเขาเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพบปะและทักทายกันตามธรรมเนียมเรื่อยมา ก็พ้นเวลาเที่ยงมาแล้ว
และเมื่อคราวะกันเรียบร้อยแล้วก็ย่อมไม่อาจจะส่งให้เว่ยฮ่วนจากไปทันที เว่ยฉีจึงทำได้เพียงเชิญให้เว่ยฮ่วนเข้าไปพักในจวนต่อสักครู่
การพักสักครู่นี้ เว่ยฉีถึงกับแทบจะต้องกระอักเลือด…เพราะเมื่อเว่ยฮ่วนนั่งลงก็แจกแจงออกมาว่า ตามที่เขาสำรวจและสอบสวนด้วยตนเอง สาเหตุที่คฤหาสน์หลักของจือเปิ่นถังถูกพวกหรอลอบเข้ามาวางเพลิงทำลายนั้น ประการแรกคือเวรยามเพิกเฉยต่อหน้าที่ ประการที่สองก็คือรั้วรอบศาลบรรพชนนั้นล้วนสร้างจากไม้ จึงถูกเพลิงเผาทำลายได้ง่ายดายนัก
ดังนั้นเขาจึงได้เสนอแนะให้เว่ยฉีอย่าได้ไปซ่อมแซมบูรณะเสียเลย อาศัยจังหวะที่กลับมาครานี้สร้างศาลบรรพชนใหม่ทั้งหมด และที่ถูกต้องคือไม่ใช้ไม้สร้างแต่ใช้หินสร้าง! ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องเป็นหินคราม[2]ยาวที่เพิ่งงอกออกมาจากในกลางเขาลึก
เว่ยฮ่วนถึงกับให้คนยกหินสองก้อนมาว่าไว้ที่หน้าศาลบรรพชนเพื่อให้เว่ยฉีไปดูได้ตามใจ
“ท่านชิงเหยี่ยโปรดวางใจเถิด หินชนิดนี้ข้าไปดูมาด้วยตนเองแล้ว เมื่อลองให้คนตัดดู ทั้งดาบและกระบี่จากเหล็กเนื้อดียังไม่อาจทำให้เกิดร่องรอยได้ ลองให้คนเผา มันก็ไม่เปลี่ยนสี” สีหน้าของเว่ยฮ่วนเต็มไปด้วยความเปรมปรีดิ์ ประหนึ่งว่าสามารถจัดการกับภาระอันหนักอึ้งไปได้ แม้ว่าการแก้ปัญหาใหญ่หลวงคับฟ้านี้จะต้องผ่านเรื่องที่ลำบากแสนสาหัสมาก็ตามที แล้วกล่าวอย่างจริงใจเป็นที่สุดว่า “หินครามท่อนหนึ่งนั้น ต่อให้เป็นชายฉกรรจ์ หากมิได้สี่ห้าคนก็จักยกไม่ขึ้น! นับว่าเป็นหินที่มีคุณภาพดีเป็นที่สุด! หากใช้หินชนิดนี้สร้างศาลบรรพชน ก็จะไม่มีวันเกิดข้อผิดพลาดใดอีก!”
…ทั่วเมืองเฟิ่งโจวนั้นมิได้มีภูเขาใหญ่ใดที่ใช้การได้ หินครามยาวที่เว่ยฮ่วนเอ่ยถึงชนิดนี้จักต้องไปเอามาจากเมืองอื่น โอ้..ที่ที่ใกล้ที่สุดที่จะไปเอามาได้ ก็จักต้องใช้ม้าเร็วควบไปหลายวันจึงจะเร่งไปถึงภูเขาที่อยู่ในชิงโจว ชิงโจวเป็นถิ่นฐานของตระกูลซู จึงไม่อาจไม่ไปทักทายปราศรัยกับตระกูลซูอีกด้วย
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าการเดินไปทางไปกลับ รวมทั้งเข้าไปพบปะกับตระกูลซูจักต้องใช้เวลามาก หินชนิดนี้ทั้งดาบและกระบี่เหล็กเนื้อดียังทำให้เกิดร่องรอยไม่ได้แม้แต่น้อย! ใช้ไฟเผาก็ยังไม่เปลี่ยนสี… การไปเก็บมานั้นเพียงคิดก็รู้แล้วว่าจักต้องลำบากยากเย็นเพียงใด!
แล้วมาดูเรื่องการขนส่ง หินก้อนหนึ่งก็หนักเสียจนต้องใช้ชายฉกรรจ์สี่ห้าคนยก…
นะ….นี่จักต้องใช้ม้ากี่ตัว?!
แม้จักสามารถขนส่งกลับมาถึงเฟิ่งโจวได้อย่างราบรื่น เรื่องการก่อสร้างนั้นยังต้องใช้กำลังคนอีกกี่มากน้อย?
เรื่องงบประมาณนั้นก็ช่างเถิด เพราะไม่ว่าจะเป็นฐานะของรุ่ยอวี่ถังหรือจือเปิ่นถัง ล้วนไม่ใช่ว่าไม่สามารถสร้างศาลบรรพชนได้ แต่ปัญหาคือ ยามนี้เว่ยฉียังคงดำรงอยู่ในตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครอง และครานี้เพราะจักมาซ่อมแซมศาลบรรพชน ตัวเว่ยฉีเองก็ยังกลับมาแล้ว แล้วคนอื่นๆ ในจือเปิ่นถังจะไม่ลางานและติดตามมาด้วยหรือ?
ผู้คนเหล่านี้มีจำนวนไม่มากก็น้อยที่มีตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เพราะเรื่องภายในวังไม่อาจหยุดและรออยู่เช่นนั้นเพียงเพราะคนจวนหนึ่งจากมา เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าหากคนทั้งจวนจือเปิ่นถังอยู่ที่เฟิ่งโจวอีกหนึ่งวัน ตำแหน่งงานที่เมืองหลวงก็อาจจะถูกชิงเอาไปหรือถูกผู้อื่นควบคุม รวมทั้งตำแหน่งของเว่ยฉีด้วยเช่นกัน
เดิมทีศาลบรรพชนเสียหายมิได้หนักหนา เสียหายแค่เพียงมุมมุมหนึ่ง ในคฤหาสน์ของจือเปิ่นถังก็มีไม้ที่แปรรูปเอาไว้แล้ว เพียงหาช่างมาซ่อมแซมสักหน่อย อย่างมากก็ใช้เวลาเพียงสามวันห้าวัน แม้แต้ป้ายวิญญาณบรรพบุรุษที่อยู่ภายในก็ยังไม่ต้องอัญเชิญออกมาเสียด้วยซ้ำ
ปรากฏว่าเมื่อเว่ยฮ่วนออกปากมาดังนี้ เมื่อต้องสร้างใหม่ ลำพังเพียงแค่ย้ายป้ายวิญญาณบรรพบุรุษไปที่แห่งอื่น แล้วรื้อถอนศาลบรรพชนเดิมออกก็ไม่อาจทำได้เรียบร้อยภายในสามวันห้าวันแล้ว!
หลังจากรื้อถอน ก็ยังต้องใช้หินครามน่ากลัวนั่นสร้างใหม่อีก…
เว่ยฉีลอบกลืนเลือดลงลำคอไปหลายอึก แล้วจึงฝืนยิ้มออกมาพลางว่า “ท่านประมุขกล่าวถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง แต่จนใจที่…”
เขายังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกขัดจังหวะ เว่ยฮ่วนกล่าวด้วยสีหน้าที่เข้าใจชัดแจ้งว่า “ท่านชิงเหยี่ยโปรดวางใจ ที่พวกหรงลอบเข้ามาในเฟิ่งโจวครานี้ ล้วนเป็นความผิดของเซิ่งเหนียนซึ่งเป็นผู้ตรวจการ! ข้าได้สั่งให้เขาเข้าไปขอพระราชทานอภัยจากฮ่องเต้แล้ว คาดว่าท่านเองก็คงได้เห็นฎีกาแล้ว… สรุปว่า เหตุที่คฤหาสน์และศาลบรรพชนของจือเปิ่นถังถูกทำลาย เป็นความผิดของเซิ่งเหนียนที่ยากจะปัดป้องได้ ค่าใช้จ่ายในการสร้างศาลบรรพชนขึ้นมาใหม่ รวมทั้งการตัดแต่งและขนย้ายหินครามนั้น รุ่ยอวี่ถังจะเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด!”
การซ่อมแซมศาลบรรพชนครานี่ยังต้องให้ตระกูลสายหลักช่วยออกเงินให้ แล้วตระกูลสายรองจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด? เช่นนี้แล้วอย่าว่าแต่ช่วงชิงตำแหน่งเสาหลักของแคว้นเลย วันหน้ายังจะมีหน้าวางแผนให้จือเปิ่นถังกลายมาเป็นตระกูลเว่ยแห่งเมืองหลวงได้อีกหรือ!”
ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยฉีก็มิได้มองผ่านเรื่องที่เว่ยฮ่วนบอกว่าจะให้รุ่ยอวี่ถัง ‘รับผิดชอบ’ นั้น หาใช่เป็นเรื่องค่าใช้จ่ายไม่! นั่นก็เพราะว่ารุ่ยอวี่ถังจะไปตัดและขนส่งมาเอง เช่นนั้นแล้วศาลบรรพชนนี้จะต้องซ่อมแซมอีกนานเท่าใด ก็ย่อมเป็นรุ่ยอวี่ถังว่าเช่นไรก็ต้องเป็นตามนั้น… ดีชั่วอย่างไรเว่ยฮ่วนก็ได้ประกาศออกมาชัดเจนเอาไว้แล้วว่า หินครามนี้จะต้องไปเอามาจากที่ห่างไกล ทั้งยังเอาไปมายาก ยาก ยากมากๆ…
เว่ยฉีรีบเอ่ยปากปฏิเสธไปในทันใด “จือเปิ่นถังก็พอจักมีแรงงานและเครื่องมือศาลบรรพชนนั้นจักให้ท่านประมุขต้องลำบากได้อย่างไร?”
“โธ่! ก็เพราะข้าเป็นประมุขอย่างไรเล่า!” เมื่อเว่ยฮ่วนได้ยินคำ เขาก็มีท่าทีเศร้าเสียใจอย่างที่สุดขึ้นมาในทันใด แล้วเริ่มระบายความเจ็บปวดและเศร้าโศกที่ศาลบรรพชนของจือเปิ่นถังถูกทำลาย… สรุปแล้ว ดูท่าว่าหากเว่ยฉีไม่รับปากว่าจะสร้างใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นจักต้องใช้หินครามมาสร้างศาลบรรพชนเสียใหม่ เขาก็จักไม่ยอมไป…
สุดท้าย เว่ยฉีจึงทำได้เพียงงัดไม้ตายออกมา ตนเองพลันหงายหลังล้มลง บุตรชายพากันกระโจนเข้ามาแล้วร้องลั่นไปทั่ว บอกว่าตลอดทางที่เดินทางมาเขาเศร้าเสียใจเรื่องศาลบรรพชนมาเกินไป กอปรกับตรากตรำกับการเดินทาง ยามนี้ทั้งโมโหและเหนื่อยอ่อนจึงได้หมดสติไปเสียแล้ว… นั่นเองจึงสามารถทำให้เว่ยฮ่วนจากไปได้
ครานี้เว่ยฉีใช้การเป็นลมหมดสติไล่เว่ยฮ่วนไปได้ ทว่าวันต่อมาเว่ยฮ่วนก็ยังกลับมาอีก
เรื่องนี้ขัดขากันไปมาอยู่สี่ห้าวัน เมื่อมองเห็นว่าจือเปิ่นถังไม่ยอมรับคำแนะนำของประมุข…ข่าวคราวเรื่องสร้างศาลบรรพชนที่ไม่กลัวไฟ ไม่ถูกทำลายโดยง่ายก็แพร่สะพัดออกไป ด้วยความจนใจ เว่ยฉีจึงทำได้เพียงขอร้องเว่ยฮ่วนให้มาเจรจากันเป็นการส่วนตัวสักหน
หลังจากการสนทนานี้ แม้เว่ยฮ่วนจะไม่ได้คะยั้นคะยออย่างเอาเป็นเอาตายให้จือเปิ่นถังใช้หินครามยาวที่มาจากภูเขาแดนไกลเช่นคราวก่อนๆ แต่เว่ยฉีกลับล้มป่วยติดต่อกันไปหลายคืน…อาการเจ็บป่วยนี้ก็มีสาเหตุที่สมเหตุสมผลเสียด้วย นั่นเพราะศาลบรรพชนเกิดเรื่องก็ต้องเศร้าเสียใจอย่างไรเล่า! เดินทางรอนแรมลำบาก จึงเหนื่อยอ่อนอย่างไรเล่า… ตอนที่คุยกันเมื่อกลับมาหนแรกก็ไม่ใช่ว่าเป็นลมล้มพับไปคราหนึ่งแล้วหรือ?
…ด้วยวัยของเว่ยฉี หากอาการเจ็บป่วยนี้หนักหนาสักหน่อย ก็ควรจักต้องขอเกษียณตัวกลับมาบ้านเดิมแล้ว
“หากเจ้าแก่เว่ยฉีเกษียณตัวเอง จากนั้นต่อไปก็จะต้องมาอยู่ที่เฟิ่งโจว แล้วลูกหลานของเขาเล่า?” ฮูหยินซ่งเอ่ยถามพลางละเลียดจิบน้ำชา
เว่ยฮ่วนกล่าวว่า “หากเขายอมเกษียณตัวเอง ก็ย่อมต้องให้บุตรหลานกลับมาด้วยเป็นธรรมดา”
“ช่างประไร” แม้ฮูหยินซ่งจะไม่พอใจนัก แต่จือเปิ่นถังสามารถไปเปิดจวนอีกแห่งนอกจากจวนของตระกูลสายหลัก ร้อยปีไม่ล้ม ก็จักต้องมีวิธีการของพวกเขาเอง หากคิดจักอาศัยการสร้างศาลบรรพชนขึ้นมาใหม่มาทำลายจือเปิ่นถังให้ไม่เหลือซากนั้นจึงไม่อาจเป็นไปได้ ครานี้สามารถบีบให้เว่ยฉีเกษียณตัวก็นับว่าไม่เลวมากแล้ว จึงได้ถามว่า “แล้วตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครองเล่า?”
“ข้าคิดว่าจะให้ เสนาธิการทหารผู้ดูแลป้อมปราการหลักเว่ยอวี้รับตำแหน่งนี้ต่อ” เว่ยฮ่วนกล่าวเสียงหนักว่า “คนผู้นี้แม้จักเถรตรงไปสักหน่อย แต่อย่างไรก็เป็นคนของรุ่ยอวี่ถังของเรา ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งเสนาธิการทหารผู้ดูแลป้อมปราการหลักก็ต่ำกว่าตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครองอยู่หนึ่งขั้น เมื่อเว่ยฉีเกษียณตัว เขาได้เลื่อนขั้น ก็นับว่าสมควรแล้ว”
แม่เฒ่าซ่งครุ่นคิดอยู่เป็นนาน แล้วว่า “ผู้สืบสกุลของเขา…”
“แม้ผู้สืบสกุลของเขาจะมีมาก แต่ก็ล้วนจงรักภักดี” ความหมายของจงรักภักดีก็สามารถเข้าใจได้ว่าซื่อตรง คนที่ซื่อตรงนั้น ประการแรกจะไม่มีจิตใจที่ไม่ควรมี ประการที่สองก็คือไม่มีความสามารถที่จะมีจิตใจที่ไม่ควรมี
แม่เฒ่าซ่งพยักหน้ารับ “ฉางเฟิงอายุยังน้อยนัก จือเปิ่นถังเหมือนเสือคอยจ้องตะครุบ ทางสายรุ่ยอวี่ถังของเราก็บอบบาง ก็คงจักประคับประคองได้เพียงตำแหน่งสายรองเท่านั้น”
“วันก่อนฉางเฟิงขอให้เว่ยชิงไปทางเหนือ เดิมทีข้าคิดจะรับคำ แต่ยามนี้เว่ยฉีพาทหารของเยี่ยนโจวมาและจะไปทางเหนือเช่นกัน….จึงกลับรู้สึกกังวลขึ้นมา” เว่ยฮ่วนขมวดคิ้ว “อย่างไรเสียโม่ปิ่นอวี่ก็ถูกเว่ยซินหย่งยุยงและเอาตัวไปแล้ว ผู้ที่ชำนาญการศึกในตระกูลของเราก็มีน้อยเกินไป ในบรรดาคนหนุ่มแน่นในตระกูลก็มีเว่ยชิงที่เป็นเลิศที่สุด หากถูกทหารของเยี่ยนโจวทำร้ายเอาก็จะไม่ใช่เรื่องดี แม้บ้านเราจะเน้นในเรื่องบุ๋น แต่ใต้หล้านี้ไร้ความยุติธรรม อย่างไรก็ยังต้องการผู้มีความสามารถที่เข้าใจเรื่องกลยุทธฝ่ายบู๊อยู่ดี”
แม่เฒ่าซ่งเอ่ยถามว่า “ไม่อาจทำให้เว่ยฉีนำกองทหารเยี่ยนโจวย้ายกลับไปที่เยี่ยนโจวหรือเจ้าคะ?”
เว่ยฮ่วนกล่าวว่า “เขาก็บอกชัดเจนแล้วว่าเขาไม่วางใจพวกเรา”
“ในเมื่อเขาจักต้องเอากองทหารเยี่ยนโจวนี้มาปักหลักที่เฟิ่งโจวเสียให้ได้ เช่นนั้นก็ควรจักบอกเรื่องของเว่ยซินหย่งให้จือเปิ่นถังได้รู้เสีย” แม่เฒ่าซ่งกล่าวออกไปโดยไม่ทันยั้งคิด “เว่ยซินหย่งอาศัยการมารับตำแหน่งเลขาธิการในฉาวอวิ๋นจวิ้น เป็นเหตุผลในการเดินทางจากเมืองหลวงมา แต่ฉาวอวิ๋นจวิ้นนั้นเป็นดินแดนที่รกร้างว่างเปล่าในซีหนาน เกรงว่าเว่ยฉีจะมิทันได้สังเกตเห็นเรื่องนี้ การเสียชีวิตของบิดาของเว่ยซินหย่งนั้นมีความเกี่ยวพันกับเว่ยซินหมิงบุตรชายคนโตของเว่ยฉีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เว่ยฉีย่อมต้องปกป้องบุตรชายคนโตของตน… หากไม่ใช่เพราะครานั้นเว่ยซินหย่งยังเด็กนัก ก็คงจักถูกฆ่าปิดปากไปเสียตั้งนานแล้ว!”
“หากเว่ยฉีรู้ถึงสาเหตุที่เว่ยซินหย่งจากเมืองหลวงมาเพื่อซ่องสุ่มกำลังพลเตรียมการล้างแค้นพวกเขาพ่อลูก ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ผู้ที่มีคุณงามความดีที่แท้จริงจากศึกครั้งใหญ่ทางเหนือไปเป็นพวก… ดูซิว่าเขายังจักมีแก่ใจเอากำลังทหารของเยี่ยนโจวไปอยู่เป็นตอขวางหูขวางตาทางเหนือแคว้นอีกหรือไม่!”
เว่ยฮ่วนกล่าวเสียงหนัก “หากเป็นเช่นนั้น เว่ยฉีก็อาจมาหารือให้ข้าไปตอบโต้เว่ยซินหย่งด้วยกัน…”
“หากเขาเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่เพียงพอ ก็หาเป็นไปมิได้ไม่” แม่เฒ่าซ่งเยาะหยัน “คราก่อนทั้งที่เว่ยซินหย่งรู้เรื่องแผนการลอบสังหารมาก่อน แต่กลับไม่ได้แจ้งต่อพวกเราล่วงหน้า ก็มิใช่เป็นเพราะเขาต้องการแก้แค้น แต่แท้จริงแล้วตนกลับมีกำลังไม่พอ จึงได้จงใจเล่นบทนั่งดูเสือกัดกันอยู่บนเขา รอจนฉางเฟิงและฉางอิ๋งไร้หนทางไปแล้วจึงได้พาคนเข้ามาช่วยพวกเขา ประการแรกก็เพื่อให้ฉางเฟิงและฉางอิ๋งติดหนี้บุญคุณเขา ประการที่สองก็เพื่อให้ความแค้นระหว่างบ้านเราและจือเปิ่นถังยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอีก!”
“หากมิใช่ว่าฉางเฟิงเป็นหลานชายบ้านใหญ่เพียงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็ล้วนฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ที่ตัวเขา หากไม่มีฉางเฟิงแล้ว ชื่อเสียงของรุ่ยอวี่ถังของเราก็จะล่มสลาย เว่ยซินหย่งยังถึงขั้นรั้งรอออกโรงช้าก้าวหนึ่ง ให้ระหว่างพวกเราและจือเปิ่นถังได้มีความแค้นใหญ่หลวงเรื่องที่ต้องการจักสังหารหลานชายของเรา! ส่วนฉางอิ๋งนั้น ฮึๆ! เขาก็เกรงว่าหลายปีมานี้อำนาจของบ้านเราถดถอยลงแล้วจักต่อสู้กับจือเปิ่นถังไม่ได้ หากมีการแต่งงานกับตระกูลเสิ่นครานี้ก็พอจักดีขึ้นมาบ้าง จึงได้อาศัยโอกาสเดียวกันช่วยเหลือเอาไว้เท่านั้น! หาไม่แล้ว เขาก็จักนั่งคอยดูให้หลานบ้านใหญ่ทั้งคู่ของเรามีคนหนึ่งต้องตายไป เพื่อให้พวกเราอดรนทนไม่ได้และรู้สึกยินดีปรีดาหลังได้ทำลายจือเปิ่นถังให้สิ้นซาก เช่นเดียวกับที่เขาเป็น!”
แม่เฒ่าซ่งกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ที่น่าแค้นที่สุดก็คือ ทั้งที่เขารู้ว่าบ้านเราได้ทาบทามโม่ปินอวี่เอาไว้แล้ว แต่ก็ยังกล้ายื่นมือเข้ามาแทรกกลางคัน! หลังจากช่วยฉางเฟิงและฉางอิ๋งแล้ว เขาก็ปิดบังฐานะตนจงใจทำให้ฉางเฟิงและฉางอิ๋งเข้าใจผิดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้นมิได้มีเจตนาดีอันใด แล้วบีบบังคับให้ฉางเฟิงเขาไปเจรจาด้วยในหุบเขาที่ปิดมิดชิดเช่นนั้น…เขามองประมุขรุ่นต่อไปของรุ่นอวี่ถังเป็นเช่นไร! ช่างเลอะเลือนไร้แก่นสารสิ้นดี! เดิมทีทั้งเราและเขาต่างก็แลกเปลี่ยนในสิ่งที่ตนต้องการ หากมีความจำเป็นขึ้นมาก็สามารถหักหลังอีกฝ่ายหนึ่งได้ตลอดเวลา แล้วยังต้องการจะดำรงความสัมพันธ์เช่นนี้ไปอีกกี่ปีกัน?”
“หลานทั้งสองคน เขาเก็บไว้คนหนึ่งปล่อยมาคนหนึ่ง เมื่อคนที่ถูกปล่อยกลับมาบอกเล่าข่าวคราว แล้วพวกเราจักไม่ส่งคนไปตรวจตราในป่าแห่งนั้นให้ถ้วนถี่ได้หรือ?! เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่คอยดูโม่ปินอวี่อยู่ก็ย่อมต้องน้อยลงเป็นธรรมดา เขาอาศัยโอกาสนี้และใช้ฐานะโจรโฉดแห่งเขาเฟิ่งฉี สร้างข่าวลือเท็จว่าบ้านเราตัดสินใจแล้วว่าหากโม่ปิ่นอวี่ไม่ยอมเป็นข้าของฉางเฟิงก็จะจัดการเขาเสีย ทั้งยังล่อหลอกเสียจนโม่ปินอวี่สังหารองครักษ์เฝ้าประตูเพื่อเป็นเครื่องแสดงความภักดี แล้วจากไปพร้อมกับเขา!”
“หากมิใช่ว่าเจ้าเด็กนี่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราววางแผนจัดการโม่ปิ่นอวี่ ฉางอิ๋งจักเข้าใจผิดและคิดว่าหากฉางเฟิงไปแล้วจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นได้ จึงปลอมตัวเป็นฉางเฟิงและไปพบเขา จนเป็นเหตุให้ถูกคนทำลายชื่อเสียงจนย่อยยับหรอกรึ!” แม่เฒ่าซ่งพูดพลางกำผ้าเช็ดหน้าแน่น “หากจือเปิ่นถังให้ราคาดีพอ ขายเขาไปเสียก็สมควรแล้ว”
เว่ยฮ่วนกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เดิมทีเขาก็มิใช่คนของรุ่ยอวี่ถังของเรา ย่อมเป็นธรรมดาที่ไม่อาจหวังให้เขาคิดถึงรุ่ยอวี่ถังไปเสียทุกเรื่อง ประสาอะไรกับโม่ปิ่นอวี่ที่ถูกเขาหลอกไปก็มิได้มีสิ่งใดไม่ดี หากไม่มีโม่ปินอวี่แล้ว เว่ยซินหย่งในยามนี้จะสามารถทำให้เว่ยฉีหวาดกลัวได้หรือ? เมื่อเว่ยฉีไม่หวาดกลัวเขา กำลังทหารของเยี่ยนโจวกองนี้ทั้งหมดก็จักต้องหันมาจัดการพวกเราแล้ว!”
___________________________ท
[1] หอศพ คือการรวบรวมศพของข้าศึก แล้วนำมาผสมกับดินเหนียวและก่อขึ้นมาเป็นแท่นสูง เพื่อเป็นการประกาศชัยชนะ
[2] หินคราม แปลตรงตัวตามภาษาจีนว่า 青石 คือหินแกรนิตที่มีสีออกฟ้าน้ำเงิน