ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 88 ซ่งเหมียนเหอ
แม้ไม่ต้องใช้หินครามมาสร้างศาลบรรพชนขึ้นใหม่ แต่การบูรณะก็ต้องใช้เวลาหลายวัน หลังจากบูรณะซ่อมแซมเสร็จแล้วก็จำเป็นต้องมีพิธีเซ่นไหว้…จือเปิ่นถังมิได้กลับมาที่เฟิ่งโจวหลายปี ยามนี้ทั้งคนแก่และคนหนุ่มสาวล้วนกลับมาพร้อมกัน แน่นอนว่ามิใช่ทุกคนที่ต้องไปคอยเฝ้าดูความคืบหน้าอยู่ที่หอบรรพชน จึงขาดเสียมิได้ที่คนนอกนั้นต้องไปมาหาสู่กับคนอื่นๆ ในตระกูล
เมื่อต้องการจะไปมาหาสู่กันในตระกูล การเข้ามาคาราวะที่รุ่ยอวี่ถังจึงเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้
เช้าวันนี้ เว่ยฉางอิ๋งเน้นย้ำกับนางหวงและนางเฮ่ออย่างเป็นจริงจังว่า “สีสดเท่าใดก็จัดหามาให้หมด ปิ่นกำไลต่างหูหากไม่ล้ำค่าพอ ก็ให้ส่งคนไปยืมจากท่านแม่และท่านย่ามาอีก”
“บุตรชายท่านจิ้งผิงกงก็เพิ่งจะเสียไปในปีนี้ ใส่สีสดเกิดไปในนี้ยามจักไม่ค่อยงามนะเจ้าคะ” นางหวงยิ้ม “อีกประการหนึ่งเว่ยลิ่งเยวี่ยผู้นั้น ฮูหยินซูก็มองนางเป็นเช่นป้ายที่ตั้งเอาไว้เฉยๆ เท่านั้น จะควรค่าให้คุณหนูใหญ่ไปใส่ใจถึงเพียงนี้หรือเจ้าคะ?”
นางเฮ่อก็ว่า “ก็เพียงเพราะยามนั้นฮูหยินซูกำลังอารมณ์ดี จึงได้กำนัลสร้อยข้อมือลูกประคำไม้หอมเส้นหนึ่งแก่นางเท่านั้น… สร้อยข้อมือลูกประคำเช่นนั้นข้าน้อยก็ยังมีเส้นหนึ่งเลยนะเจ้าคะ! จะเทียบกับปิ่นหยกคู่สีเลือดของคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรกัน? ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าท่านเขยเป็นผู้นำกระบี่ ‘ลู่หู’ มามอบให้ด้วยตนเอง คุณหนูใหญ่ต่างหากที่เป็นสะใภ้ที่ถูกต้องของตระกูลเสิ่น เว่ยลิ่งเยวี่ยนั่นจะนับว่าเป็นสิ่งใดได้เล่าเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งทำปากจู๋ “ก็ด้วยสร้อยข้อมือประคำไม้หอมเส้นนั้น ทำเสียจนท่านย่าพลอยโมโหโกรธาไปด้วย! เมื่อคิดว่าวันนี้นางมาด้วย ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ!” ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ถูกลอบทำร้ายคราก่อน ในทางแจ้งนั้นไม่สะดวกจะเอ่ย ส่วนในทางลับจักไม่ทำให้รู้สึกผู้ใจเจ็บได้หรือ?
“คุณหนูใหญ่วางใจเถิดเจ้าค่ะ วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าของจือเปิ่นถังมาพบฮูหยินผู้เฒ่าของเรา ตามหลักการแล้วไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่เพียงทางนั้นที่จักไม่สบายใจ” นางหวงและนางเฮ่อสบตากันคราหนึ่ง ยามแม่เฒ่าซ่งอยู่ที่เมืองหลวงก็เก่งกาจเพียงนั้น สามารถเปิดศึกกับน้องสาวต่างมารดาผู้นี้ได้ตลอดเวลา บ่าวไพร่ทั่วไปที่เคยปรนนิบัติดูแลอยู่ที่เมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่รู้เรื่องนี้
ซึ่งก็หมายความว่าคนรุ่นหลานที่เติบโตมาในเฟิ่งโจวเช่นเว่ยฉางอิ๋งนี้ เมื่อไม่มีคนบอกจึงได้ไม่รู้เรื่อง
ยามนั้นเองนางหวงจึงได้เล่าเรื่องความแค้นระหว่างพี่น้องซ่งซินโหร่วและซ่งเหมียนเหอให้ฟังโดยคร่าวรอบหนึ่ง นางปิดปากหัวเราะแล้วว่า “ซ่งเหมียนเหอและฮูหยินผู้เฒ่าของเราขัดแย้งกันมาหลายสิบปี แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่นางจะเป็นสุขเมื่อตกอยู่ในมือของฮูหยินผู้เฒ่าของเรา ครานี้ในเมื่อพวกเขามาถึงเฟิ่งโจวแล้ว หากมิได้มาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าไม่ว่าอย่างไรก็จักฟังไม่ขึ้น… เช่นนั้นแล้ว ยามนี้สตรีในฝั่งของจือเปิ่นถังต่างหากที่ต้องกำลังปวดเศียรเวียนเกล้า ทั้งที่รู้ว่าเมื่อเข้าประตูมาก็จักต้องถูกจัดการ แต่ก็ไม่อาจไม่มาได้”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินแล้วเกิดความสนใจขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ที่แท้วันนี้ท่านย่าก็จักลงมือจัดการพวกนางหรือ? ช่างดีจริง ท่านอารีบช่วยข้าแปรงผมแต่งตัวเถิด ในเมื่อคนที่ท่านย่าต้องการจัดการเป็นฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเขา เช่นนั้นเว่ยลิ่งเยวี่ยก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใดแล้ว ทำตามที่พอใจเป็นพอ ดีชั่วอย่างไรคนเหล่านี้ก็ไม่ควรค่าให้ข้าต้องแต่งเนื้อแต่งตัวไปต้อนรับ ”
นางหวงพยักหน้าอย่างพอใจ “คุณหนูใหญ่กล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ แต่งเนื้อแต่งตัวออกไปต้อนรับ…หาใช่ว่าทุกคนจะควรค่าให้คุณหนูใหญ่ต้องให้ความสำคัญถึงเพียงนั้น”
ที่สุดนางจึงสวมชุดฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นชุดกระโปรงกับเสื้อตัวยาวฉวี่จวี[1] ปักภาพกิ่งก้านใบและดอกมู่ตานสีแดงเขียวบนผ้าพื้นสีเขียวซึ่งเพิ่งตัดมาใหม่ ซึ่งเสื้อชุดฉวี่จวีนี้มีความสุภาพเรียบร้อยอยู่ในตัว จึงไม่เหมาะจะแต่งหน้าสีฉูดฉาด ดังนั้นมวยผมทรงก้นหอยเดี่ยว ไม่ใช้อัญมณีประดับผมรูปดอกไม้และปิ่นที่มีพู่ห้อย รวมทั้งทาสีชาดที่แก้มเพียงบางๆ ยามนี้มาถึงที่ห้องโถงแล้ว แต่กลับเห็นแม่เฒ่าซ่งสวมเพียงเสื้อส้างหรูตัวสั้นแขนกว้างสีเขียวไพลที่กลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่ง กระโปรงหลัวฉวินจีบกว้างสีน้ำทะเล และเครื่องประดับที่ไม่แตกต่างกับที่เคยสวมใส่อยู่เป็นประจำ
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าที่แท้แล้วท่านย่าไม่ชอบฮูหยินผู้เฒ่าของจือเปิ่นถังจริงดังว่า ถึงขั้นที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใหม่สักหน่อยก็ยังไม่ยอม ด้วยเกรงว่าจะไม่แสดงออกถึงความเฉยชาที่มีต่ออีกฝ่าย
กลายเป็นว่าคนรุ่นหลังอย่างฮูหยินซ่งและนางเผยที่เป็นคนออกไปต้อนรับคนของจือเปิ่นถัง กลับเป็นฝ่ายที่เปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ออกมาต้อนรับแขกแทน
ฮูหยินผู้เฒ่าของจือเปิ่นถัง ซ่งเหมียนเหอนั้นมีอายุมากแล้ว แต่จากเค้าโครงหน้าของนางกลับยังสามารถดูออกว่ายามเยาว์วัยนั้นนางงดงามเพียงใด นางสวมชุดฉวี่จวีที่ตัดเย็บจากผ้าปักดิ้นทองลายกวางคู่ไล่สีครามเข้มลงมาเป็นแดง ผมสีขาวม้วนขึ้นเป็นมวยธรรมดา มีนางตวนมู่ซึ่งเป็นสะใภ้ใหญ่ประคองเข้าประตูมา
แม่เฒ่าซ่งกำลังจิบน้ำชาและสนทนาหัวร่อต่อกระซิกกับหลานชายและหลานสาว เมื่อเห็นว่านางนำเหล่าสตรีในฝั่งของนางเข้ามาก็มิได้มีท่าทีจะลุกขึ้นแต่อย่างใด หากแต่วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ แล้วกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เหมียนเหอเจ้านี่นับวันจะยิ่งใช้การไม่ได้ นี่แค่ไม่มิได้เจอกันสิบกว่าปี ก็ถึงขั้นต้องให้คนประคองจึงจะเดินเหินได้เชียวหรือ?”
เห็นได้ว่าซ่งเหมียนเหอไม่ใคร่จักมีเรี่ยวแรงนัก ก็มิน่าเล่า เพิ่งจะเร่งเดินทางพันลี้กลับมาจากเมืองหลวง คนในวัยนี้ต้องเร่งเดินทางทั้งยังมิได้พักผ่อนให้ดี หากยังดูมีเรี่ยวแรงดีก็แปลกแล้ว
นางได้ยินคำของพี่สาวบ้านใหญ่ก็มิได้โกรธเคืองใดๆ แล้วกล่าวไปอย่างราบเรียบเช่นกันว่า “ไม่เจอกันสิบกว่าปีทั้งที ก็ต้องให้ท่านพี่ดีอกดีใจสักหน่อย หรือท่านพี่ไม่ชื่นชอบที่ได้เห็นข้าในสภาพที่ใช้การไม่ได้เช่นนี้? หากข้ายังคล่องแคล่วมีเรี่ยวแรง ก็มิใช่เป็นการทำให้ท่านพี่ผิดหวังหรอกหรือ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าทั้งสองเพียงได้พบหน้ากันก็จงใจข่มขวัญอีกฝ่ายอย่างไม่ปิดบังใดๆ ทำให้ทั้งห้องโถงล้วนเงียบสงัดลงทันที
แล้วได้ยินแม่เฒ่าซ่งกล่าวออกมาอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้าก็ยังเป็นเช่นเดิม นึกคิดเอาเองว่าตนสำคัญ มองตนเองว่าสูงส่งนัก ลำพังตัวเจ้าหรือจะทำให้ข้าสนใจขึ้นมาได้?”
ครานี้ซ่งเหมียนเหออยู่ในฐานะรองจึงได้เลือกที่นั่งนั่งลง พลางสะบัดมือเพื่อให้สะใภ้ไปยืนรออยู่ข้างๆ แล้วตอบคำว่า “หากท่านพี่คิดว่าข้าทำให้ท่านพี่เกิดความสนใจขึ้นมาไม่ได้ ไยจึงไม่มาแนะนำพวกเด็กๆ เล่า?”
“ข้าจักทำการใดต้องให้เจ้ามาสอนสั่งหรือ?” แม่เฒ่าซ่งกล่าวเยาะไปคราหนึ่ง มองไปยังทุกคนแล้วว่า “ในเมื่อเป็นลูกหลานของเจ้า แต่กลับไม่รู้จักธรรมเนียมเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้จักเข้ามาคราวะหรือ?”
ซ่งเหมียนเหอกล่าวราบเรียบว่า “ต่อหน้าผู้อื่นบางทีอาจเป็นเช่นนี้ แต่ท่านพี่ท่านน่าเกรงขามจนเกินไป ทำเอาพวกเขาตกใจก็หาใช่เรื่องแปลกใดไม่”
แม่เฒ่าซ่งจึงว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าในบ้านมีชาติกำเนิดไม่สูงส่ง ก็คงยากจักให้ลูกหลานรู้จักมีจิตใจกว้างขวาง”
“หากพูดถึงเรื่องจิตใจกว้างขวางแล้ว ผู้ใดเล่าจะเทียบกับบุตรหลานบ้านใหญ่ของท่านพี่ได้?” ซ่งเหมียนเหอหรี่ตา พลันมองมายังเว่ยฉางอิ๋งที่อยู่ใกล้กับแม่เฒ่าซ่งที่สุด แล้วกล่าวเสียงเย็นชาว่า “เท่าที่ข้าดูก็คงจักเป็นผู้นี้สินะ? ยังนึกว่าครานี้กลับมาแล้วจะไม่ได้พบนางเสียแล้ว ไม่คิดว่ากลับเปิดเผยใจกว้างออกมาพบแขกได้”
แววตาของแม่เฒ่าซ่งฉายประกายโทสะขึ้นมา กำลังจะพูดจา ไม่คิดว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับเอ่ยปากออกมาเองเสียก่อน นางกล่าวอย่างแจ่มชัดว่า “ไม่กล้ารับคำชมจากฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
นางยังคงมีท่าทีสำรวมสีหน้าเป็นปกติ ประหนึ่งว่าเอาคำของซ่งเหมียนเหอเป็นคำชมเช่นนั้นจริงๆ จึงได้กล่าวคำถ่อมตัวออกมาในทันใด
แม้แต่ซ่งเหมียนเหอเองก็ยังลอบตกใจอยู่น้อยๆ จากนั้นจึงกล่าวเยาะว่า “ด้วยคำพูดเจ้าประโยคนี้ ก็เป็นดังข้าว่าแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มกว้าง เข้าใจตรรกะนี้ได้เป็นอย่างดี “ท่านย่าของข้าเป็นถึงบุตรของภรรยาเอก ลูกหลานได้ยินได้ฟังเสียจนชินมาแต่เล็ก หากจักใจกว้างเปิดเผยกว่าเหล่าบุตรหลานที่เกิดจากบุตรสาวของอนุเช่นฮูหยินผู้เฒ่าก็มิใช่เรื่องแปลกเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซ่งได้ยินพลันหัวเราะออกเสียงออกมา!
แม้ฮูหยินซ่งจักมิได้มีทางทีเพิกเฉยต่อซ่งเหมียนเหออย่างเปิดเผยเช่นฮูหยินผู้เฒ่า แต่นั่นก็เป็นเพียงการทำไปตามธรรมเนียมเท่านั้น ความจริงแล้วนางก็หาได้เกรงกลัวซ่งเหมียนเหอไม่ แม้จักบอกว่าซ่งเหมียนเหอนั้นเป็นถึงบุตรสาวอันเป็นที่รักของซ่งตานประมุขคนก่อนของตระกูลซ่งแห่งเจียงหนาน แต่ซ่งตานเสียไปตั้งนานแล้ว ยามนี้ประมุขตระกูลซ่งคนปัจจุบันคือซ่งซินผิง ผู้บิดาของฮูหยินซ่ง และประมุขคนต่อไปก็คือซ่งอวี่วั่ง พี่ชายแท้ๆ ของฮูหยินซ่ง… เมื่อเห็นว่าครานี้ซ่งเหมียนเหอหยิบยกเรื่องบุตรสาวของตนขึ้นมาพูด นางก็เคียดแค้นเสียจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมาตั้งนานแล้ว ยามนี้จึงได้หัวเราะออกเสียงขึ้นมาโดยมิได้เห็นแก่หน้าของซ่งเหมียนเหอเลยแม้แต่น้อย “ท่านน้าโปรดอย่าได้ถือสา เด็กคนนี้เป็นมุกในมือของบ้านเรา ถูกตามใจเสียจนมีสิ่งใดก็กล่าวออกไปเช่นนั้น”
เว่ยฉางอิ๋งพูดไปทันใดว่า “ข้าไม่เคยกล่าวคำเท็จนะเจ้าคะ”
ทั้งสะใภ้ใหญ่และหลานสาวในสายของรุ่ยอวี่ถังล้วนช่วยกันออกปากแล้ว สตรีทางฝั่งจือเปิ่นถังก็ไม่อาจจักนั่งดูดาย ทันใดนั้นจึงมีคนผู้หนึ่งออกมากล่าวว่า “เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองหลวงก็เคยได้ยินชื่อเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าแห่งรุ่ยอวี่ถัง ครานั้นนึกเพียงว่าเป็นคำเล่าลือ ยามนี้เพิ่งจักรู้ว่าคำเล่าลือนั้นมีมูลจริงๆ วันนี้พวกข้าติดตามท่านย่ามา เพื่อคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ทว่าฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้และบุตรสาวบ้านท่านกลับไม่เกรงใจถึงเพียงนี้ เกรงว่าจะเสียธรรมเนียมของตระกูลสูงศักดิ์ หาใช่สิ่งที่ตระกูลเว่ยของเราจักรับได้ไหว”
กลับเห็นว่าเด็กสาวที่ลุกขึ้นมาผู้หนึ่งนั้น สวมเสื้อส้างหรูแขนกว้างสีม่วงอมชมพู กระโปรงจีบรอบสีขาวนวลจันทร์ มวยผมทรงเซียนเหินที่ม้วนเป็นเส้นโค้งสองเส้นบนศีรษะ หน้าตาสมส่วน ผิวพรรณขาวผ่อง นางเชิดหน้าขึ้นสูงยามกล่าวคำ และมองมายังเว่ยฉางอิ๋งด้วยแววตาเหยียดหยาม
เว่ยฉางอิ๋งอยากจะหาเรื่องจือเปิ่นถังมานานแล้ว ยามนี้จึงได้ถามไปว่า “เจ้ามีนามใด?”
เด็กสาวผู้นี้ได้ยินนางพูดอย่างไม่เกรงใจ พลันขมวดคิ้ว แต่ก็ยังวางท่าและกล่าวไปว่า “ข้ามีนามว่าลิ่งจือ”
เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่เว่ยลิ่งเยวี่ย ทันใดนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงมองไปยังหญิงสาวชุดเหลืองนางหนึ่งข้างๆ นางที่มีท่าทีสงบเสงี่ยมและนิ่งเงียบไม่พูดจา คิดในใจว่าในบรรดาสตรีที่มากับซ่งเหมียนเหอในวันนี้ ผู้ที่อาจจักเป็นเว่ยลิ่งเยวี่ยก็คือสองคนนี้ ยามนี้ผู้ที่ออกมาพูดเป็นซ่งลิ่งจือ เช่นนั้นแล้วหญิงสาวชุดเหลืองก็จักต้องเป็นเว่ยลิ่งเยวี่ยแล้ว
จึงกล่าวว่า “อืม ดูเจ้าก็เป็นคนรุ่นหลานเช่นกัน ทั้งท่านแม่และท่านอาสะใภ้ของเจ้าก็ยังมิได้กล่าวสิ่งใด แล้วการที่เจ้าพูดแทรกขึ้นมาส่งเดชเช่นนี้ หรือคือสิ่งที่เรียกขานว่าธรรมเนียมของตระกูลสูงศักดิ์และเป็นสิ่งที่ตระกูลเว่ยรับได้ไหว?”
เว่ยลิ่งจือกล่าวอย่างมีโทสะว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าเพิ่ง…”
“เมื่อครู่นี้ท่านย่าของเจ้าเป็นผู้เอ่ยปากชมเชยข้าก่อน แล้วข้าจักไม่กล่าวคำถ่อมตนได้อย่างไร?” เว่ยฉางอิ๋งโต้เถียงไปอย่างฉะฉาน “ดังนั้นข้าจึงได้กล่าวตอบ ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าทั้งสองและท่านแม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเจ้าบ้าง? ในเมื่อไม่มี จู่ๆ เจ้าก็โพล่งออกมาทำสิ่งใด?”
เว่ยลิ่งจือโมโหเสียจนหน้าแดงไปหมด “ท่านย่าชมเชยเจ้าจริงๆ เสียที่ใด? ที่แท้แล้วท่านย่านั้น…”
เว่ยฉางอิ๋งขัดคำนางขึ้นมาทันใด แล้วกล่าวอย่างสงสัยว่า “โธ่เอ๊ย พูดมาเช่นนี้หรือว่าข้าเข้าใจผิดแล้ว? เมื่อครู่นี้ท่านย่าของเจ้ามิได้ชมเชยข้าหรอกรึ? อย่างนั้นแล้วก็เหน็บแนมข้า? เช่นนั้นก็ยิ่งมิน่าเล่าที่ท่านย่าของข้าดูแคลนท่านย่าของเจ้า ไม่ว่าข้าจักมีความผิดใด ในห้องโถงนี้ทั้งท่านย่าของข้าและท่านแม่ก็อยู่ด้วย ย่อมต้องสอนสั่งคนในบ้านกันเอง ยามใดต้องให้ท่านย่าของเจ้ามาวิจารณ์ส่งเดช? ท่านย่าของเจ้าเหน็บแนมข้าต่อหน้าท่านย่าของข้า ประหนึ่งเป็นการก้าวก่ายเรื่องภายในบ้านข้าต่อหน้าท่านย่าของข้า หากท่านย่าของข้าไม่ชักสีหน้าใส่ท่านย่าของเจ้าเสียหน่อย เช่นนี้ต่างหากจึงถือเป็นเรื่องน่าขัน!”
“…”
ซ่งเหมียนเหอสะบัดมือสั่งให้เว่ยลิ่งจือที่เกือบจะร้องไห้ออกมาถอยกลับเข้าไป จากนั้นก็มองไปยังเว่ยฉางอิ๋งอย่างเฉยชาคราหนึ่ง แล้วกล่าวกับแม่เฒ่าซ่งว่า “น่าอิจฉาท่านพี่เสียจริง หลานสาวบ้านใหญ่มีฝีปากเช่นนี้ แม้ยามนี้ชื่อเสียงของนางจะย่อยยับ ลำพังแค่ปากคอเราะร้ายเช่นนี้ วันหน้าแต่งเข้าบ้านเสิ่นไปก็คงจักไม่ต้องเสียเปรียบแก่ผู้ใดแล้ว”
แม่เฒ่าซ่งยังมิทันได้กล่าวสิ่งใด เมื่อบุตรสาวถูกโจมตีอีกครา ฮูหยินซ่งกลับอดรนทนไม่ไหวเสียแล้ว พลันลุกโหยงขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างเย็นเฉียบว่า “ซ่งเหมียนเหอเจ้าว่าผู้ใดชื่อเสียงย่อยยับ?! ปีนั้นเดิมทีนางหลานมารดาของเจ้าเป็นนางบำเรอในบ้านของพ่อค้ามั่งคั่งผู้หนึ่ง เพราะโชคดีที่มีหน้าตาละม้ายท่านป้าที่เสียไป ท่านลุงจึงใช้เป็นเครื่องรำลึกถึงท่านป้า และได้ขอมาอยู่ในตระกูลซ่ง! ว่ากันตามจริงแล้วก็เป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น! เจ้าก็เป็นเพียงของที่เกิดมาจากของเล่นชิ้นหนึ่ง อาศัยโอกาสที่ท่านอาหญิงของข้าล้มป่วยจนเสียชีวิตจึงได้แต่งกับเว่ยฉี เวลาผ่านไปหลายสิบปี ยามนี้กลายเป็นคางคงขึ้นวอไปเสียแล้วรึ?! คิดจริงๆ หรือว่าบ้านซ่งของพวกเราไม่มีผู้ใดจำกำพืดของเจ้าได้!”
ว่าไปแล้วซ่งเหมียนเหอก็เป็นผู้ที่ความสามารถในการปกครองบ้านเรือนและมีความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อฮูหยินซ่งพูดจาประหนึ่งว่ามีความแค้นใหญ่หลวงจนถึงชีวิต… ไม่เพียงแค่ขานชื่อซ่งเหมียนเหอไปตรงๆ ยังถึงขั้นเล่าชาติกำเนิดและประวัติความเป็นมาของนางหลานมารดาของนางออกมาจนหมด เมื่อได้ยินคำว่า ‘นางบำเรอในบ้าน’ คำนี้ สีหน้าของซ่งเหมียนเหอก็ซีดเผือดไปในทันใด! เมื่อฟังคำนี้จนจบ ทั้งตัวนางก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง!
เกือบเค่อจากนั้น มือของซ่งเหมียนเหอกุมอยู่ที่ตั่ง ลำตัวโอนไปเอนมา แล้วล้มพับลงไปข้างๆ หมดสติไปทันใด!
…สตรีฝั่งของจือเปิ่นถังต่างพากันกลุ้มรุมเข้ามาหาซ่งเหมียนเหอ ทั้งเบียดเสียดกันทั้งตะโกนร้องกันเอะอะ แม่เฒ่าซ่งค่อยๆ บรรจงจิบน้ำชา แล้วหันมาวิเคราะห์กับหลานสาวว่า “เว่ยฉีกับนางเป็นสามีภรรยากันจริงๆ พอพูดสู้ไม่ได้ก็ใช้ไม้นี้!”
เว่ยฉางอิ๋งปิดปากหัวเราะ แล้วว่า “ดีชั่วอย่างไรพวกเขาก็มีดีเพียงเรื่องนี้แล้วเจ้าค่ะ”
พักใหญ่ๆ หลังจากนั้น ในขณะที่ฮูหยินซ่งขอขมาและรั้งพวกจือเปิ่นถังเอาไว้ด้วยท่าทีเสแสร้งยิ่งอยู่นั้น ทุกคนของจือเปิ่นถึงก็ยืนยันว่าจะพาซ่งเหมียนเหอกลับไป ฮูหยินซ่งตามไปส่งสองสามก้าว แล้วพลันส่งสายตาให้แก่นางเฮ่อหนหนึ่ง นางเฮ่อเข้าใจความหมาย รอจนพวกจือเปิ่นถังออกไปพ้นช่องประตูวงพระจันทร์แล้ว จึงได้ไปยืนอยู่ภายในลาน สองมือเท้าสะเอว สูดหายใจลึกแล้วเริ่มตะโกนด่าเสียงดังใส่ประตูเขาสามช่อง[2] “รนหาที่ตายหรือไร! จะไปไหนมาไหนก็ต้องคอยให้คนประคองถึงจะเดินได้ แล้วยังจะวิ่งแร่ออกมาข้างนอกอีก! วิ่งโร่มาชนชาวบ้านรนหาที่เป็นที่ตายแต่เช้า! เคราะห์ดีที่ตอนออกไปยังมีลมหายใจ ไม่อย่างนั้นเรือนดีๆ จะถูกของแก่ๆ ทำเอาสกปรกได้!”
“ตนเองไม่มีปัญญาสั่งสอนลูกหลานให้ดี ให้มีความสามารถ แล้วก็กลับไปอิจฉาตาร้อนบ้านชาวบ้าน! กลับไม่รู้จักคิดเสียบ้างว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่พอหรือไม่! แล้วจริงๆ ก็ไม่ ลำพังแค่มาบ้านผู้อื่นเพียงหนก็แทบจะทนไม่ไหว! แล้วยังจะมีหน้ามาหาเรื่องอีก!”
ภายในห้องโถง เว่ยฉางอิ๋งถามท่านยาด้วยความกังวลว่า “ท่านอาเฮ่อด่าทอไปเช่นนี้ หากเรื่องแพร่ออกจักทำเช่นไรเจ้าคะ? เพราะก็ล้วนเป็นคนในตระกูลเว่ย มิใช่ว่าจะทำให้คนนอกเห็นเป็นเรื่องน่าขันหรือเจ้าคะ?”
แม่เฒ่าซ่งมิได้มีท่าทีร้อนรนอันใด แล้วว่า “ข้ากับนังผู้หญิงที่เกิดจากหญิงชั้นต่ำนั่นไม่ถูกกันมาก็ไม่ใช่เพียงแค่วันสองวันแล้ว ก่อนนี้ในงานเลี้ยงก็ยังเคยลงไม้ลงมือกัน…ไม่ว่านางจะนอนออกไปก็ดี เดินออกไปก็ช่าง ดีชั่วขอเพียงแค่นางมา เจ้าว่าคนนอกจะคิดว่าพวกเราจะพูดจาดีๆ กับนางรึ? เรื่องทำนองนี้ หากมีโอกาสรังแกได้ก็ต้องรีบลงมือ!
เว่ยฉางอิ๋งพลันนึกถึงเรื่องที่นางได้ไปพบเห็นตอนตีลังกาขึ้นกำแพง จึงได้ลองสอบถามว่า “ยามที่ลงไม้ลงมือ เป็นท่านย่าชนะ?”
“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นสิ!” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ แม่เฒ่าซ่งถึงกับเผยสีหน้าคึกคักขึ้นมา พลางลูบที่หลังมวยผมไปมาด้วยท่าทีได้อกได้ใจยิ่ง “ครานั้นตบนังชั้นต่ำไปยกหนึ่ง ในใจรู้สึกสบายเสียเหลือเกิน ดังนั้นท่านปู่ของเจ้าจึงชังนังชั้นต่ำนี้ยิ่งนักเช่นกัน…เอ่อ!”
เมื่อถูกเฉินหรูผิงดึงแขนเสื้อคราหนึ่ง แม่เฒ่าซ่งจึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดเข้าแล้ว จึงรีบพูดเรื่องอื่นกลบเลื่อน “ใช่แล้ว ดอกไม้ลูกปัดบนหัวเจ้าดอกนี้งามดีจริงๆ…”
เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก เพื่อบังคับไม่ให้หัวเราะออกเสียงออกมา ‘ที่แท้หลังจากท่านย่าตบซ่งเหมียนเหอแล้วก็รู้สึกสบายใจ จากนั้น…เมื่อมีเรื่องวิวาทกันจึงเริ่มทุบตีท่านปู่เช่นนั้นหรือ? มิน่าเล่า ท่านปู่จึงได้ชังซ่งเหมียนเหอ!’
______________________
[1] เสื้อตัวยาวฉวี่จวี เป็นเสื้อยาวตัวนอก ที่จะมีชายยาวออกมาเพื่อป้ายอ้อมตัวและเหน็บไว้ที่เอว มองดูเป็นผ้าป้ายที่ยาวถึงครึ่งของกระโปรงข้างในเสื้อ
[2] ประตูเขาสามช่อง เป็นซุ้มประตูที่มีสามช่อง โดยช่องกลางสูงที่สุด สองช่องข้างๆ เล็กลงมา มองจากด้านหน้าคล้ายภูเขา