ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 90 ธุลีร่วงโรย
หลายวันจากนั้น ศาลบรรพชนของจือเปิ่นถังก็ซ่อมแซมใหม่ได้อย่างราบรื่น เมื่อเลือกวันฤกษ์งามยามดีได้ เว่ยฉีจึงฝืนประคอง ‘ร่างที่เจ็บป่วย’ นำทุกคนในจือเปิ่นถังแต่งตัวเต็มยศเซ่นไหว้จนเรียบร้อย แล้วเขาก็ยังคง ‘ล้มป่วย’ ต่อไป
เป็นเช่นนี้ไปกว่าครึ่งเดือน พระบรมราชานุญาตโปรดเกล้าฯ ให้เว่ยฉีออกจากราชการก็มาถึงเฟิ่งโจว
ข่าวคราวที่ราชทูตนำมาครานี้ นอกจากเรื่องที่ราชสำนักได้ให้อภิสิทธิ์ต่างๆ แก่บุตรชายคนรองของเขาตามธรรมเนียมปฏิบัติหลังจากเว่ยฉีออกจากราชการแล้ว สำหรับรุ่ยอวี่ถังแล้วก็ยังมีข่าวดีอีกสองเรื่อง เรื่องแรกคือเว่ยอวี้ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เว่ยฉีเสนอให้รับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครองคนใหม่ มีทางสำเร็จได้แปดเก้าส่วน เรื่องที่สอง…กลับเกี่ยวข้องกับซ่งไจ้สุ่ย
เรื่องที่เว่ยอวี้ได้รับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครองนี้ เป็นสิ่งที่เว่ยฮ่วนคิดใคร่ครวญมาแล้ว และเป็นเงื่อนไขที่ตกลงกันออกมาได้ภายหลังการต่อสู้และเจรจาครั้งแล้วครั้งเล่ากับเว่ยฉี ด้วยเหตุที่เว่ยฮ่วนไม่ยอมปล่อยเรื่องที่จะให้สร้างศาลบรรพบุรุษขึ้นมาใหม่เสียที ทั้งยังเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างรุ่ยอวี่ถังและจือเปิ่นถังอีกด้วย
ความประทับใจที่ฮ่องเต้มีต่อเว่ยอวี้ และเว่ยฉีนั้นล้วนไม่เลวเลย โดยเว่ยฉีซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในตำแหน่งนี้มาก่อนได้ใช้เหตุผลในการลาออกจากราชการว่า ‘สูงอายุแล้ว ครานี้กลับบ้านเกิดมาบูรณะหอบรรพชน ตรากตรำทางไกล ในใจข้าน้อยเจ็บปวดและรู้สึกผิด ด้วยดวงวิญญาณบรรพชนถูกรบกวน มาถึงเฟิ่งโจวจึงได้ล้มป่วยยากลุกขึ้นไหว หวังได้ฝังเถ้ากระดูกไว้ที่บ้านเกิด’ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ฮ่องเต้ทรงรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก แม้ว่าเว่ยอวี้ซึ่งเป็นคนที่มีนิสัยเถรตรงมาแต่ไหนแต่ไรจะเป็นที่พอประทัยของฮ่องเต้ในระดับกลางๆ แต่เพราะได้เว่ยฉีแนะนำส่งเสริม จากคำของราชทูตนั้นบอกว่าก่อนราชทูตจะออกเดินทาง ฮ่องเต้ก็ทรงตัดสินพระทัยมีราชโองการเลื่อนตำแหน่งให้เว่ยอวี้แล้ว
เรื่องนี้ไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องกับเรือนหลังเท่าใดนัก
เว่ยฉางอิ๋งรู้เรื่องแล้วก็ใคร่ครวญเพียงเล็กน้อยและละทิ้งไป ดีชั่วเรื่องนี้ก็จักมีท่านปู่เป็นผู้ดูแล ส่วนเรื่องที่นางเป็นห่วงนั้น ก็ย่อมต้องเป็นเรื่องของซ่งไจ้สุ่ย
ก่อนหน้านี้เว่ยฉางอิ๋งพี่น้องส่งซ่งไจ้สุ่ยจนกระทั่งออกไปนอกเมืองสามสิบลี้ เดิมทีก็ชะเง้อคอคอยฟังข่าวคราวนี้มาโดยตลอด อยากรู้เสียเหลือเกินว่าญาติผู้นี้จะถอนหมั้นได้สำเร็จหรือไม่ และตระกูลเติ้งนั้นจะเชื่อถือได้หรือไม่? แต่จนใจเหลือเกินที่ขากลับมาถูกลอบทำร้าย และเกิดเรื่องราวมากมายติดตามมา จึงไม่มีแก่ใจจะไปสนใจเรื่องของซ่งไจ้สุ่ยแล้ว
ไม่คิดว่าราชทูตที่มาถึงในครานี้จะประจวบเหมาะนำผลลัพธ์ของเรื่องนี้มาด้วย
ผลลัพธ์ที่ว่านั้นพูดไม่ได้ว่าดีหรือร้าย…
เพราะหากจักบอกว่าไม่ดี แต่ซ่งไจ้สุ่ยก็ได้สมดังวัง ถอนหมั้นสำเร็จแล้ว
แต่หากจะว่าดีนั้นหรือ สาเหตุที่ล้มเลิกการแต่งงานครานี้กลับเป็นเพราะก่อนที่ซ่งไจ้สุ่ยจะกลับเมืองหลวงหนึ่งคืน ม้าที่เทียมรถม้าตัวหนึ่งเกิดเสียการควบคุม พารถม้าวิ่งเข้าไปที่คูน้ำข้างทาง ทำให้ซ่งไจ้สุ่ยที่อยู่ในรถตกลงมา และถูกปิ่นทองบนหัวของสาวใช้กรีดที่ขมับจนได้รับบาดเจ็บ
…หลายวันมานี้ ตระกูลซ่งและทางในวังคอยลอบเสาะหาทั้งหมอและยาให้นางมาโดยตลอด เพื่อทำการรักษาอย่างสุดความสามารถ เพียงแต่พอมาถึงไม่นานมานี้ สะเก็ดที่แผลของนางก็หลุดลอกออก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นที่ชัดเจนยิ่งนัก แม้แต่ท่านหมอที่ไปเสาะหามายังจนปัญญาจะรักษา
องค์รัชทายาทในตำหนักตะวันออกนั้นพระชันษามากกว่าซ่งไจ้สุ่ยสองปี ยามนี้สวมหมวกเรียบร้อยแล้ว
กอปรกับในบรรดาองค์หญิงสองสามพระองค์ในตำหนักตะวันออกนั้น องค์ที่โตที่สุดก็มีพระชันษาได้ห้าปีแล้ว แม้ในวังจะมีนางใน และองค์ฮองเฮาที่สามารถอบรมดูแลเหล่าองค์หญิงได้ ทว่าฮ่องเต้ก็คิดว่าควรจักให้พระชายาองค์รัชทายาทเข้าวังมาได้แล้ว
แต่กลายเป็นว่าพระชายาองค์รัชทายาทที่ได้กำหนดเอาไว้นานแล้วนั้นกลับต้องมาเสียโฉมเอาในเวลาเช่นนี้ ดังนั้นพระสนมเอกเติ้งจึงได้บอกว่า “สามปีก่อน มีคนเคยบอกกับฮ่องเต้ว่า ดวงชะตาพระชายาองค์รัชทายาทและองค์รัชทายาทนั้นไม่ใคร่ต้องกัน ครานั้นองค์ฮ่องเต้ทรงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ด้วยความรักที่มีต่อองค์รัชทายาท และเพื่อให้แผนการทั้งหมดสำเร็จ จึงได้สั่งให้เลื่อนงานอภิเษกออกไป ยามนี้ดูไปแล้ว เคราะห์ดีที่ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา!”
ตามสัญญาที่ตระกูลซ่งรับปิ่นทองและคฑาหยกหรูอี้ไปนั้น บอกว่าเมื่อซ่งไจ้สุ่ยปักปิ่นก็จักต้องเข้าวัง ทว่าปีนี้ซ่งไจ้สุ่ยอายุสิบแปดปีแล้ว แต่ต้นปีนี้เพิ่งจะถูกเร่งรัดให้กลับมาแต่งงานที่เมืองหลวง เรื่องนี้ล้วนเป็นเพราะในตอนแรกนั้น ก่อนซ่งไจ้สุ่ยจะปักปิ่นหนึ่งคืน ทางราชสำนักกำลังจะเตรียมการเรื่องงานอภิเษก ไม่คิดว่าจู่ๆ กลับมีเพลิงใหม่ในตำหนักกลาง แม้จะเข้าควบคุมเพลิงได้ทันกาลจึงมิได้มีสิ่งใดถูกเผาทำลายไปจริงๆ แต่ก็กลับทำให้อาคารหลังหนึ่งที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเป็นที่สุดถูกเผาเสียหาย
เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้เกรี้ยวอย่างมาก สั่งให้คนสืบสวน กลับมีคนไปหาหมอดูมาท่านหนึ่ง หมอดูทำนายว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับซ่งไจ้สุ่ย บอกว่าเป็นซ่งไจ้สุ่ยมีดวงชะตาไม่ต้องกับองค์รัชทายาท… ครานั้นฮ่องเต้ทรงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เพื่อความปลอดภัยทั้งปวง จึงได้สั่งให้รั้งรอเรื่องงานอภิเษกออกไปก่อนเป็นการชั่วคราว
ทว่ายามนี้ก็ผ่านมาสามปีแล้ว เห็นว่าซ่งไจ้สุ่ยกำลังจะแต่งเข้าวังหลวงอยู่แล้ว กลับกลายเป็นตัวนางเองเกิดเรื่องขึ้นมา!
เกิดเรื่องขึ้นสองครั้งสองครา และเดิมทีฮ่องเต้ก็ค่อนข้างจะเชื่อเรื่องของโชคชะตาอยู่แล้ว จึงยากจะไม่เกิดความระแวงขึ้นมาในใจได้ เมื่อได้ฟังคำของพระสนมเอกเติ้ง จึงรู้สึกว่าดีชั่วอย่างไร สตรีตระกูลสูงศักดิ์ที่จะมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทในแคว้นนี้ก็มีไม่น้อย ไม่จำเป็นต้องแต่งกับตระกูลซ่ง และในเมื่อในใจเกิดความระแวงแล้ว ฮ่องเต็จึงได้มีพระบรมราชโองการว่า ด้วยเหตุผลเรื่องโชคชะตาไม่ต้องกัน ให้ตระกูลซ่งนำปิ่นทองและคฑาหยกหรูอี้มาส่งคืนแก่ราชสำนัก
ดังนั้นแม้ว่ายามนี้ซ่งไจ้สุ่ยจะหลุดพ้นจากพันธนาการของว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทครั้งนี้มาได้ แต่สถานการณ์ของนางในเมืองหลวงกลับน่าอึดอัดใจยิ่ง
เดิมทีนางก็อายุสิบแปดปีแล้ว ด้วยวัยเช่นนี้แม้จะยังมิได้ออกเรือน แต่ก็จักต้องมีการกำหนดวันแต่งงานเอาไว้รอแล้ว แต่ยามนี้กลับต้องมาถูกถอนหมั้น ทั้งยังเป็นการถอนหมั้นจากราชสำนักด้วย เพียงคิดก็รู้แล้วว่าเรื่องการแต่งงานในวันหน้าของนางนั้นจักต้องลำบากยิ่งว่าเว่ยฉางอิ๋งถูกถอนหมั้นเสียอีก
เพราะแม้ว่าราชสำนักจักเป็นฝ่ายเรียกปิ่นทองและคฑาหยกหรูอี้คืนเอง ทว่าอย่างไรก็ยังเคยเป็นว่าที่สะใภ้หลวง โดยมากแล้วลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็จักต้องมีตำแหน่งขุนนางอยู่กับตัว ทั้งภรรยาและบุตรของพวกเขาก็จักได้ถูกเรียกขานอย่างมีหน้ามีตาไปด้วย ได้เข้าไปคราวะฮ่องเต้ในวังหรือได้ไปร่วมงานเลี้ยงอยู่บ่อยครั้ง… ส่วนซ่งไจ้สุ่ยซึ่งเคยเป็นว่าที่สะใภ้หลวงนี้ หากได้เข้าไปในวังอีกครั้งด้วยฐานะฮูหยินของขุนนางสักคน… คิดไปแล้วก็เป็นเรื่องที่วางตัวลำบาก
ไม่เพียงแค่วางตัวลำบากเท่านั้น ตามคำพูดขอพระสนมเอกเติ้งแล้ว เพียงแค่ซ่งไจ้สุ่ยอยู่ใกล้ชิดราชสำนักแม้เพียงน้อยก็จักไม่เกิดเรื่องดีขึ้น อาจเพราะตัวนางเองหรืออาจเพราะทางราชสำนัก… เช่นเรื่องอาคารที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเป็นอย่างมากซึ่งถูกเผาทำลายไปหลังนั้น
ดังนั้นฮ่องเต้จึงได้มีราชโองการที่ระบุลงไปชัดเจนว่าดวงชะตาของนางไม่ต้องกับองค์รัชทายาท ความจริงแล้วก็คือการบอกว่าวันหน้าให้นางอยู่ห่างจากราชสำนักสักหน่อยนั่นเอง
ดังนั้นแล้ว วันหน้าหากซ่งไจ้สุ่ยจะแต่งงานก็ทำได้เพียงแต่งออกไปไกลจากบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นก็จักต้องคอยระมัดระวังว่าต้องแต่งงานกับผู้ที่จะไม่มีโอกาสถูกย้ายกลับเข้าเมืองหลวง…
หากจำกัดแค่เพียงเท่านี้กลับมิเป็นสิ่งใด แต่ซ่งไจ้สุ่ยอายุสิบแปดแล้ว หากไม่เอ่ยถึงว่าชายหนุ่มในช่วงอายุเช่นนี้ ต่อให้ยังมิได้แต่งงานก็จักต้องหมั้นหมายแล้ว มาพูดเฉพาะว่าคนหนุ่มในวันสิบกว่าปี จักมีผู้ใดไม่หวังว่าในวันหน้าจะได้สร้างเนื้อสร้างตัว นำเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่บ้านตน? ปรากฏว่าเมื่อแต่งกับซ่งไจ้สุ่ยแล้ว อย่างน้อยๆ ก็จักต้องคอยอยู่อ้อมๆ เมืองหลวง แล้วจักมีผู้ใดยินยอมเล่า?
ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าที่เคยงดงามของซ่งไจ้สุ่ยนั้นยังเสียโฉมไปแล้ว!
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งรู้เรื่องแล้วก็ทอดถอนใจเป็นอย่างยิ่ง “ต่อไปท่านพี่ไจ้สุ่ยจักทำเช่นไรเล่า?”
แม่เฒ่าซ่งก็รู้สึกว่าหลานสาวซึ่งดีพร้อมทั้งความสามารถและรูปโฉมทั้งยังรู้ความและมีมารยาทผู้นี้น่าสงสารเสียจริงๆ แต่เมื่อฟังหลานสาวพูดเช่นนี้ จึงได้ปลอบประโลมว่า “ดีที่เด็กคนนี้มีความคิดอ่านเป็นของตนเอง ทั้งนางยังไม่อยากจะแต่งเข้าตำหนักตะวันออกถึงเพียงนั้น ยามนี้ได้กลับมาเป็นอิสระแล้ว แม้จะได้แต่งงานกับผู้ที่ต่ำต้อยลงมาสักหน่อย คิดว่านางเองก็คงไม่ถือสา สิ่งที่สำคัญที่สุดในการมีชีวิตอยู่นั้นก็คือตนเองต้องรู้จักคิดให้ได้”
“ท่านพี่ไจ้สุ่ยก็เคยพูดว่า ขอเพียงไม่ต้องแต่งเข้าตะหนักตะวันออก ให้ต้องแต่งกับคนที่ต่ำศักดิ์กว่าสักหน่อยนางก็ยอมรับได้เจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วพลางว่า “เพียงแต่ท่านพี่ไจ้สุ่ยก็อายุสิบแปดปีแล้ว แล้วครานี้ ใบหน้ายังมีแผล…”
“อายุนั้นมากแล้วจริงๆ” แม่เฒ่าซ่งปลอบนางว่า “แต่ไจ้สุ่ยมีความสามารถถึงเพียงนั้น อายุสิบแปดแล้วก็มิต้องกลัวจะไม่มีคนมาต้องใจ เพียงแต่ฮ่องเต้ไม่ชอบให้นางไปปรากฏตัวที่เมืองหลวง ชายหนุ่มที่ต้องการความก้าวหน้าก็จะไม่ยอมทิ้งอนาคตเพื่อนาง” แล้วว่า “ที่มีแผลก็มิใช่ใบหน้า เป็นที่ขมับ ยามนี้ก็ยังไม่รู้ว่ารอยแผลเป็นเช่นใดบ้าง หากรอยแผลไม่ใหญ่นัก โดยปกติแล้วแต้มสีแดงข้างแก้มสักหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างหนักใจว่า “ไยตอนแรกนั้นจึงคิดวิธีดีๆ ที่จะทำให้สามารถถอนหมั้นได้อย่างราบรื่นและไม่เป็นอุปสรรคต่อการออกเรือนของท่านพี่ไจ้สุ่ยได้นะเจ้าคะ?”
แม่เฒ่าซ่งอดไม่ไหว จึงหัวเราะส่งเสียงออกมา แล้วยื่นนิ้วไปแตะที่หน้าผากของนาง กล่าวว่า “ตอนแรกนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดคอยแอบยุยงสั่งสอนอยู่ลับๆ บอกว่าขอเพียงให้ถอนหมั้นได้เป็นพอ แล้วจักไม่เกี่ยงเรื่องอื่นอีกเลย นี่แค่ไม่กี่วันก็เกิดความโลภขึ้นมาเสียแล้วหรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งทำทีบิดพลิ้วไม่ยอมรับ “พุทโธ่เอ๊ย มีคนเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ? ช่างโลภโมโทสันเสียจริง เป็นผู้ใดกัน เป็นผู้ใดเจ้าคะ?”
“ใช่สิ เป็นผู้ใดกันนะ?” แม่เฒ่าซ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงหลอกให้เด็กกลัว “ให้ข้าลองเดาดู… คนผู้นี้…สวมเสื้อแขนแคบสีเขียวเข้ม กระโปรงหลิวซานจีบกว้างสีเหลืองไข่เปิด ส่วนบนหัวนั้น ยังแซมดอกชบาซ้อนด้วย!”
ซึ่งนี่ก็เป็นเครื่องแต่งกายของเว่ยฉางอิ๋งในวันนี้ ดอกชบาซ้อนบนศีรษะของนางนั้น แม่เฒ่าซ่งก็ยังเป็นคนบอกเองว่าวันนี้นางมิได้ปักดอกไม้ลูกปัดมา จึงได้ดึงเอาดอกชบาซ้อนในแจกันเงินข้างๆ มือออกมาปักใส่ให้นางเอง เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็เอะอะโวยวายขึ้นมาอย่างไม่ยอมใจ พุ่งตัวเข้าไปในอกนางทั้งร้องทั้งเขย่าตัว ย่าหลานทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่สักพักใหญ่ แม่เฒ่าซ่งจึงได้ยิ้มออกมาเป็นทีขอให้ยอมยกโทษให้
เว่ยฉางอิ๋งวางท่าทำทีไม่สนใจเหตุผลใดๆ แล้วลุกขึ้นมานั่งดีๆ อีกหน แม่เฒ่าซ่งกลับมาเข้าประเด็นอีกครั้ง “เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ท่อนไม้ได้กลายเป็นเรือไปแล้ว เรื่องแต่งงานของไจ้สุ่ยในวันหน้านั้นก็ทำได้เพียงค่อยๆ ดูไปทีละก้าว ดีชั่วอย่างไร เด็กสาวที่อยู่ในตระกูลเช่นพวกเราก็มีข้อดีอยู่ประการหนึ่ง นั่นก็คือสมบัติติดตัวยามแต่งงานอย่างไรก็จะไม่มีวันขาดเหลือ หากในตระกูลมีชื่อซึ่งเป็นสายที่ห่างออกไปมีผู้ที่ยากจนแต่มีความสามารถและฉลาดหลักแหลม ก็หาใช่ว่าจะมีชีวิตแต่งงานที่ดีไม่ได้
เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจหลักการนี้ แต่เมื่อคิดถึงว่าลูกผู้พี่ทั้งเฉลียวฉลาดหลักแหลม ทั้งรู้ความมีมารยาทเพียงนั้น แต่กลับเป็นเพราะเรื่องที่เคยหมั้นหมายกับตำหนักตะวันออก ยามนี้ไม่เพียงต้องยอมแลกมาด้วยการสละรูปโฉม ทั้งยังต้องแบกรับเสียงเล่าลือเรื่องที่ฮ่องเต้ไม่โปรดเพราะมีดวงชะตาไม่ต้องกันจึงสามารถถอนหมั้นได้
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องการแต่งงานในวันข้างหน้าก็ยังต้องรอต่อไปอย่างไม่มีกำหนด…
ในใจนางเจ็บปวดเป็นยิ่งนัก นิ่งเงียบไปพักใหญ่ๆ จึงได้ว่า “ก่อนนี้ยังนัดกับท่านพี่ไจ้สุ่ยเสียดิบดีว่าจะไปเจอกันที่เมืองหลวง ยามนี้ฮ่องเต้ไม่โปรดท่านพี่ไจ้สุ่ย ทั้งไม่รู้ว่าจะกลับไปเจียงหนานอีกหรือไม่? หากกลับไปเจียงหนาน แล้วท่านพี่ไจ้สุ่ยเสียโฉม ก็เกรงว่าจะไม่เดินทางผ่านมาที่บ้านเราทางนี้ เช่นนี้แล้วหลังจากข้าออกเรือนก็เกรงว่าจะไม่ได้เห็นท่านพี่ไจ้สุ่ยอีก… วันหน้าก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีกหรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งมีทางทีกลัดกลุ้มไม่ร่าเริงขึ้นมาเล็กน้อย “อยากจะไปเมืองหลวงให้เร็วๆ เสียจริง อยากจะไปดูท่านพี่ไจ้สุ่ยสักหน่อยว่าเป็นเช่นไรบ้าง”
เพียงสิ้นเสียง ก็ได้ยินแม่เฒ่าซ่งหัวเราะเสียงดังออกมา!
เว่ยฉางอิ๋งมองนางด้วยความแปลกใจ แม่เฒ่าซ่งหัวเราะลั่นอยู่เป็นนาน จึงได้เช็ดน้ำตาที่หางตาแล้วหันมากล่าวกับนางว่า “เด็กดี คำพูดเช่นนี้เจ้าพูดต่อหน้าย่า และพูดอยู่แต่เพียงในห้องนี้ก็พอแล้ว เมื่อออกไปอย่าได้โง่เช่นนี้ เอาความในใจพูดออกมาเสียหมด!”
“สิ่งใดกันเจ้าคะ!” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเหม่อไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงได้เข้าใจขึ้นมา … ไปเมืองหลวงให้เร็วๆ ตนเองต้องออกเรือนเสียก่อนจึงจักได้ไปเมืองหลวง เช่นนี้ก็มิเท่ากับบอกว่าตนรีบร้อนจะแต่งงานหรอกหรือ? ใบหน้าของนางพลันบวมแดงขึ้นมาทันใด แล้วหายใจฮึดฮัดพลางกระโดดโหย่งขึ้นมา พูดอย่างโมโหว่า “ท่านย่าแย่ที่สุดเลย! ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นสักหน่อย! ก็เพียงแค่เป็นห่วงท่านพี่ไจ้สุ่ย อยากจะไปดูท่านพี่ไจ้สุ่ยก็เท่านั้น! ท่านย่าชอบพูดจาส่งเดช!”
พูดพลางกระโดนโหยงเหยงออกประตูไป คำแก้ต่างของแม่เฒ่าซ่งที่อยู่ข้างหลังนั้นมีน้ำเสียงเบิกบานอยู่ภายใน “โธ่เอ๊ย ก็กลัวว่าผู้อื่นจักคิดกับเจ้าเช่นนี้นี่! ยามเจ้าพูดเช่นนี้ออกมาจักมิทำให้คนเข้าใจผิดหรอกหรือ? อีกประการ หากมิได้เอ่ยถึงความในใจเจ้า แล้วเจ้าจักต้องวิ่งเร็วเช่นนี้ทำสิ่งใด?”
เว่ยฉางอิ๋งร้องอ่ะออกมาคราหนึ่ง ยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้า สอดเท้าลงในรองเท้าไม้ แล้วเดินกระทืบไปบนระเบียงทางเดินเสียดังตึงๆ “ท่านย่ารังแกข้า! ข้าไม่พูดกับท่านย่าแล้ว!”
แต่แม่เฒ่าซ่งกลับหัวเราะและร้องเรียกว่า “เด็กดี เจ้าน่ะ อย่างไรเจ้าก็เข้ามาคุยกับย่าอีกคราเถิด! รอจนเจ้าไปเมืองหลวงแล้วจริงๆ ย่าก็จักไม่ได้ฟังเสียงเจ้าอีกนะ!”
ได้ยินคำ สีแดงระเรื่อบนใบหน้าของนางก็ค่อยจางลง ภายในใจก็กลับรู้สึกโหวงเหวงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ จากนั้นสักพักจึงได้ทำปากจู๋และเดินกลับเข้าไปอีกครั้ง “ต้องตกลงก่อนนะเจ้าคะว่าห้ามท่านย่าเย้าข้าอีก!”
แม่เฒ่าซ่งมองนางด้วยความรักใคร่ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว! ไม่เอ่ยถึงผู้อื่น วันหลังเมื่อเจ้ามาหา พวกเราก็จักคุยกันเรื่องยามเมื่อเจ้าและฉางเฟิงยังเป็นเด็ก… ยามนั้นเจ้าตัวเล็กๆ เท่านั้น เพียงพริบตาเดียวก็สูงกว่าย่าแล้ว…”
ภายใต้น้ำเสียงนุ่มนวลของฮูหยินผู้เฒ่านั้น สาวน้อยแสนงามเอียงหัว พลางเท้าคางคอยตั้งใจฟัง บางครั้งทำปากจู๋ไม่ยอมโอนอ่อนตาม บางคราแกล้งกระทืบเท้า…ในความทรงจำครั้งเก่าก่อนนั้น เวลาล่วงเลยไปอย่างเงียบๆ
…ไร้ซุ่มเสียง ไม่ทันรู้ตัว
____________________________