ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 91 ข้าเก่งกาจยิ่งนัก!
‘เสียงนกขมิ้นทองใต้ร่มเงาต้นฮวาย[1]เขียวชอุ่ม ในเรือนลึกไร้ผู้คนยามเที่ยงวันของฤดูใบไม้ผลิ’ หลายวันหลังฤดูใบไม้ผลิ ทั้งเรือนหลังนั้นล้วนเงียบสงัด เว่ยฉางอิ๋งสวมตัวสั้นแขนแคบปักลายกิ่งก้านและดอกซานฉาบนผ้าพื้นสีเขียวอ่อน และกระโปรงหรูฉวินจีบรอบเย็บจากผ้าสิบสองชิ้นรัดหน้าอกซึ่งรัดขึ้นมาจนถึงใต้แขน ผ้าแพรสีแดงทับทิมมัดเป็นปมหัวใจคู่อยู่ตรงหน้าอก ทิ้งชายพู่ห้อยยาวที่คอยปลิวไหวไปตามลม นางมวยผมเป็นทรงหอยโข่งเดี่ยวแบบหลวมๆ ท่ามกลางผมสีดำขลับไร้ซึ่งมุกและเพชรพลอยประดับ หากแต่ปอยผมข้างหูกลับมีดอกฮวายฮวาสีขาวบริสุทธิ์ดังหิมะหลายดอกตกลงมาใส่
และยังมีที่นางเคี้ยวอยู่ในปากอีกพวงหนึ่ง ดวงตาของนางจ้องไปยังนกขมิ้นทองปากชมพูที่กำลังมองนางอยู่ด้วยความสงสัย พลางคิดในใจว่า “สิ่งที่กลอนสองท่อนนี้เอ่ยถึงก็คงจักเป็นเช่นในชั่วขณะนี้กระมัง?”
เมื่อทานที่อยู่ในปากจนหมดแล้ว นางก็หันไปสอดส่องสายตาทั้งซ้ายขวารอบหนึ่ง แล้วเล็งพวงดอกฮวายฮวาที่ห้อยลงมาใกล้หน้าผากตนมากที่สุด มือเพิ่งจักยกขึ้น แต่คงเพราะนอกขมิ้นทองตัวนั้นเข้าใจผิดว่านางจะจับมัน จึงตกใจและร้องเสียงดังออกมา พลางกระพือปีกบินจากไป
เมื่อเห็นมันบินจากไป เว่ยฉางอิ๋งที่เดิมทีไม่ได้มีเจตนาจะรบกวนนกขมิ้นทองตัวนี้จึงพลันรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา และหมดความสุขที่จะกินต่อไป
นางเอาพวงดอกฮวายฮวาที่เด็ดลงมายัดใส่ไว้ในแขนเสื้อ เอนตัวไปข้างหลังและนอนลงบนกิ่งต้นฮวายที่ตนนั่งอยู่นั้น เหม่อมองไปบนท้องฟ้า
ซึ่งความจริงแล้วหาได้มองเห็นท้องฟ้าไม่
ต้นฮวายนี้มีอายุนับร้อยปีแล้ว บนต้นมีตะไคร่ขึ้นจนเต็มไปหมด ทว่าก็ยังคงมีกิ่งก้านและใบดกหนา ทั้งยังคงผลิดอกออกใบเต็มไปหมดเช่นนี้อยู่ทุกๆ ปี ดอกสีขาวของมันมีสี่อ่อน ทว่ากลับพากันบานสะพรั่งจนมองเห็นเป็นภาพของความทะลักทะล้นแน่นขนัดไปหมด ช่างเป็นต้นไม้มีความขัดแย้งกันในตัวจริงๆ ดูประหนึ่งมีลูกประคำหยกขาวอยู่เต็มกิ่ง ละลานตาไปหมด
แม้เว่ยฉางอิ๋งต้องการจะหลบจากสายตาผู้คนจึงได้ปีนขึ้นมาอยู่กลางยอดไม้ แต่ที่เอนหลังนอนลงครานี้ ก็มองเห็นเพียงดอกฮวายฮวาเล็กๆ เบียดเสียดกัน ดูแล้วน่าชื่นใจ บริสุทธิ์สะอาดตา ทั้งยังแข่งกันเบ่งบานแน่นขนัดไปหมด แม้แต่ใบของต้นฮวายก็ยังยากจะหาพบได้
มีหลายพวงที่ถึงกับห้อยย้อยมาบนใบหน้าของนาง
นางเด็ดดอกฮวายฮวาสองสามพวงนั้นลงมาจนหมด แล้วเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ คิดในใจว่า พอกลับเรือนเสียซวงแล้ว เมื่อท่านอาหวงได้กลิ่นหอมของดอกฮวายฮวา ก็จักต้องเดาได้ว่าข้ามาหลบอยู่ที่นี่… หากเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่ออยากจะมาแอบปลีกวิเวกผู้เดียวอยู่บนต้นไม้นี้ก็คงจักไม่ได้แล้ว…
ท่านอาแม่บ้านก็เฉลียวฉลาดเกินไป เมื่อคุณหนูคิดอยากจะทำเรื่องที่ไม่ใคร่จักเป็นไปตามกฎเกณฑ์สักเท่าใดก็จักเป็นเรื่องที่ยากเข็ญเหลือ
วันนี้นางก็ต้องใช้ข้ออ้างว่าอยากจะอยู่เพียงลำพักสักพัก แล้วรอจนคนออกไปหมดแล้ว จึงค่อยๆ แอบเปิดหน้าต่างแล้วหนีออกมา… ด้วยเกรงว่ารองเท้าไม้จะทำให้เกิดเสียงดัง จึงได้สวมรองเท้าผ้าที่ใช้ใส่ในบ้าน แล้วเดินมาบนทางเดินเล็กๆ ที่ปูไว้ด้วยหินแตก ใต้ฝ่าเท้าถูกคมของหินแตกบาดเอาจนรู้สึกเจ็บ
ทว่าเพียงแค่คิดก็รู้ได้ว่า ด้วยความฉลาดของนางหวง วันพรุ่งหากต้องการจะแหกกฎอีกครั้งก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
แม้บนตัวจักไม่มีกลิ่นหอมของดอกฮวายฮวา นางหวงก็จักต้องให้คนมาคอยเฝ้าประตูเอาไว้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา
แต่… ความจริงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่รู้ว่าการที่ตนหนีออกมาเช่นนี้จะมาทำสิ่งใด?
นางเอียงหน้ามองออกไป จากใต้พวงดอกฮวายฮวา สิ่งที่มองเห็นคือรุ่ยอวี่ถังที่ดูเล็กลงครึ่งหนึ่ง เรียงรายกันเป็นระเบียบ หมอกห้อมล้อมต้นไม้จนมัวไปหมด เห็นนกนางแอ่นม่วงและนกขมิ้นทองบินมุดเข้าออกในพุ่มของต้นไม้อยู่ตลอดเวลา พอจะมองเห็นว่าบนผิวน้ำของทะเลสาบในสวนดอกไม้ มีใบบัวใหม่งอกขึ้นมาและลอยอยู่บนผิวน้ำหลายใบ… แม้มองไม่เห็น แต่ก็กลับสามารถจินตนาการถึงภาพของแมลงปอหลากสีโฉบลงมาบนน้ำแล้วบินขึ้นไปได้…
….นี่เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิที่ใบไม้มีสีเขียวและออกไปแน่นขนัดไปหมด ส่วนดอกไม้ก็เริ่มมีสีแดงและร่วงโรย ยามนี้เดือนสามแล้ว
ไม่เพียงเท่านี้ ก่อนหน้านี้หลายวัน พวกของเสิ่นจั้งเฟิงก็ได้มาถึงเฟิ่งโจวแล้ว
เนื่องจากเป็นการมารับตัวเจ้าสาว จึงมิได้มาอยู่ในรุ่ยอวี่ถัง หากแต่ทำเรือนอีกเรือนแยกออกมาเพื่อพักอาศัย
วานนี้ กำหนดการวันออกเดินทางก็ได้กำหนดออกมาแล้ว ซึ่งก็คืออีกสามวันให้หลัง
ยามนี้คนทั้งจวนของรุ่ยอวี่ถังล้วนกำลังวุ่นวาย พวกบ่าวไพร่ใกล้ชิดของพวกผู้ใหญ่ทางหนึ่งก็ตรวจตราสมบัติที่นางจะนำติดตัวไปยามออกเรือน ผู้ที่ถูกกำหนดให้ไปอยู่กับนางหลังแต่งงานก็พากันร่ำลาญาติพี่น้องที่ไม่อาจไปด้วยกันอย่างจ้าละหวั่น ห้องครัวเล็กก็กำลังว้าวุ่นปรับเปลี่ยนวิธีปรุงสำรับเพื่อบำรุงร่างกายให้นาง…
แม้แต่พี่น้องผู้ชายก็กำลังวุ่นวายกับการฝึกซ้อมพิธีและการเจรจาต่างๆ ยามต้องออกรับแขกเหรื่อในงานเลี้ยงแต่งงาน
กลับมีเพียงตัวเว่ยฉางอิ๋งเองที่ว่างเสียเหลือเกิน
ว่างเสียจนไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำสิ่งใดดี… เป็นเหตุให้นางทำได้เพียงลอบหนีออกมาในเวลาที่ทุกคนนอนพักกลางวัน แล้วปีนขึ้นมาบนต้นไม้อายุร้อยปีต้นนี้ และมานอนเหม่ออยู่ท่ามกลางดอกฮวายฮวาเหล่านี้
นิ่งเหม่อลอยอยู่เป็นนาน เว่ยฉางอิ๋งพลันผลุนผลันลุกขึ้นมานั่ง นางรู้สึกว่าตนไม่เหมาะจะมาเหงาเศร้าไปพร้อมกับบรรยากาศรอบตัวเช่นนี้เอาเสียเลย สมมุติว่าเป็นคนที่เหมาะจะเหงาเศร้ากับบรรยากาศ ไม่ว่าในยามใกล้จะแต่งงานเช่นนี้ หรือว่าตนเองที่ลอบหนีออกมายามหลังเที่ยง โดยเฉพาะที่ตรงหน้านี้มีแต่ดอกฮวายฮวาสีขาวบริสุทธิ์ดังหิมะเบียดเสียดแน่นขนัด ทั้งหอมฟุ้งเตะจมูกและหวานหอมเลิศรส ไม่ว่าต้องพบเจอกับสิ่งใดในนี้ก็ตาม ก็จักต้องรู้สึกหดหู่หมดอาลัยตายอยาก และเมื่อได้พบเจอกับทั้งสามสิ่งนี้พร้อมกัน ก็จักต้องมีบทกวีพรั่งพรูออกมาจากสมองเหมือนน้ำหลาก ไม่ต้องว่ากันถึงบทกวีล้ำเลิศสิบบทหรือแปดบทเลย อย่างน้อยๆ บทสองบทก็ควรจะแต่งออกมาได้แล้ว
…ทว่าตัวนางนั้น กลั่นกรองอยู่เช่นนี้มาครึ่งค่อนวัน กลับคิดออกเพียงแค่สองท่อน ทั้งยังเป็นผู้อื่นแต่งเสียอีก
“อย่างไรก็เก็บกลับไปมากสักหน่อยดีกว่า ให้ท่านอาหวงทำขนมฮวายฮวากวนแป้งให้ข้ากินดีที่สุดเลย!” เว่ยฉางอิ๋งคิดเป็นจริงเป็นจังยิ่งนัก “กินดอกฮวายฮวาสดๆ แม้กินแล้วจะมีรสหอมหวาน แต่พอกินมากๆ แล้วก็รู้สึกเลี่ยน…อืม หากนำไปนึ่ง[2]สักนิด แกล้มกับน้ำฝูฟาง[3] จะว่าไปไยข้าจึงลืมเอาน้ำฝูฟางสักกาหนึ่งขึ้นมาด้วยนะ?”
แขนเสื้อแคบๆ ของเสื้อตัวสั้นนี้เห็นชัดว่าใส่ของไม่ได้มากนัก เว่ยฉางอิ๋งเหลียวซ้ายแลขวา แล้วจับชายกระโปรงพลิกขึ้น… ตัวกระโปรงที่เย็บจากผ้าสิบสองชิ้นนั้นมีความกว้างยิ่งนัก เมื่อยกชายขึ้นมาบางส่วนก็มีที่ไว้ใส่ดอกฮวายฮวาได้อีกถมเถ แต่เรื่องที่น่าปวดหัวก็คือหอบกระโปรงอยู่เช่นนี้แล้วจะลงไปอย่างไร…
ปัญหานี้เว่ยฉางอิ๋งใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็แก้ได้แล้ว นางเอาชายกระโปรงสอดเข้ามาในสายคาดที่รัดอยู่ที่หน้าอก เมื่อทดสอบว่าแน่นหนาดีแล้วจึงรู้สึกวางใจในทันที อืม ปรากฏว่าทำเช่นนี้แล้วง่ายดายขึ้นมาก พลางรู้สึกว่าที่ท่านย่ากล่าวชมตนว่าฉลาดหลักแหลมอยู่เป็นประจำนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องเป็นที่สุด เรื่องต่อกลอนอะไรทำนองนั้น ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ!
เมื่อเก็บดอกฮวายฮวาบนกิ่งที่อยู่ใกล้ๆ หัวตนเองจนเรียบแล้ว ภายในกระโปรงของนางก็หนักอึ้งไปหมด เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจแล้วมองลงไปข้างล่างต้นไม้ เพื่อความปลอดภัยก็ควรจักพักผ่อนสักหน่อย รอจนมีกำลังกลับมาแล้วจึงค่อยลงไป
อาศัยช่วงเวลานี้ นางใช้มือหนึ่งประคองกระโปรงพองๆ ที่ใส่ดอกฮวายฮวาเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งที่ว่างอยู่ก็เก็บเอาสิ่งของแปลกปลอมอื่นๆ และกิ่งไม้ออกไป ในขณะที่กำลังเลือกเก็บอยู่นั้น พลันมีของเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นชิ้นหนึ่งมาชนกับกิ่งไม้ที่ห่างจากตัวนางไปไม่ไกล
เว่ยฉางอิ๋งปรายตามองตามไปคราหนึ่ง คิดว่าเป็นเพียงกิ่งไม้ที่ร่วงลงมาจากยอดไม้ จึงไม่ได้สนใจอะไร แล้วก้มหน้าก้มตาคัดแยกดอกฮวายฮวาต่อไป
ไม่คิดว่านางเพียงแค่หันเหสายตากลับไป ก็มีของเล็กๆ มาชนเข้าใกล้ๆ ตัวนางอีก
เว่ยฉางอิ๋งทนไม่ไหวจึงเงยหน้าขึ้นไปและมองไปยังยอดไม้บนหัวด้วยความสงสัย
ทว่าก็เสียแรงเปล่า เพราะแม้นางจะเก็บดอกฮวายฮวารอบๆ ตัวไปจนหมดแล้ว แต่ข้างบนในบริเวณที่เอื้อมมือไปไม่ถึงก็ยังมีดอกไม้อยู่แน่นขนัด มองอย่างไรก็ไม่เห็นว่าของตกลงมาจากที่ใด?
ครั้งที่สาม ก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่ง กระทบเข้ากับกิ่งไม้ข้างตัวของเว่ยฉางอิ๋ง จึงทำให้นางค้นพบว่าที่แท้แล้วก้อนหินนี้มาจาก…ใต้ต้นไม้?!
เห็นเพียงคนที่อยู่ใต้ต้นไม้สวมชุดยาวติดกันสีหินคราม บนหัวสวมกว้าน[4]ทองคำ หน้าตาเฉียบคมชัดเจน หล่อเหลาเร่งเร้าใจคน นี่ไม่ใช่คือ…
เสิ่นจั้งเฟิง?!
… แล้วข้าจักอธิบายเช่นไร???
เว่ยฉางอิ๋งในยามนี้นิ่งชะงักเป็นหิน!
นางเหม่อมองคู่หมั้นที่อยู่ใต้ต้นไม้ คิดในใจว่า ‘ตอนนี้แกล้งทำเป็นหนึ่งในลูกผู้น้องสักคน…ยังทันหรือไม่?’
ในขณะที่กำลังกล้าๆ กลัวๆ อยู่นั้น กลับเห็นเสิ่นจั้งเฟิงเงยหน้าขึ้นมา และคล้ายว่าพูดบางอย่างออกมาอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เขาคงจะห่วงว่าที่นี่เป็นเขตเรือนหลัง แล้วกังวลว่าจะมีคนได้ยินเข้า จึงจงใจพูดเสียงเบาเป็นอย่างมาก เบาเสียจน… อื่ม เว่ยฉางอิ๋งได้แต่นิ่งเหม่อมองเขาต่อไป ไม่รู้ว่าควรจักทำอย่างไรดี…
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถามมาอีกสองครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเห็นว่านางไม่ได้ยิน หรือคิดว่านางตอบรับคำแล้ว เขาจึงจับชายเสื้อขึ้นมาเหน็บไว้ที่สายคาดเอว จากนั้น ท่ามกลางสายตาของเว่ยฉางอิ๋ง ที่ในขณะนี้กำลังตาเบิกตาโพลงปากคอสั่นเหมือนกำลังนั่งอยู่บนพรมตะปู และเกือบจะกระโดดลงมาแล้ววิ่งหนีไปนั่นเอง เขาก็กระโดดตีลังขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วเดินอยู่บนอากาศสองสามก้าว ขึ้นมาเหยียบกิ่งต้นฮวายเพื่อส่งแรงอีกสามครั้ง แล้วยันตัวออกมากลางอากาศครั้งหนึ่ง ก็ลงมาอยู่บนกิ่งต้นฮวายข้างตัวเว่ยฉางอิ๋งได้พอดี
เขาคงจะไม่คิดว่าข้านอกรีตนอกรอยมากเกินไป แล้วคิดจะขึ้นมาจับข้าหรอกนะ? เว่ยฉางอิ๋งจ้องมองเขาด้วยความระแวง
เสิ่นจั่งเฟิงเองก็ดูคล้ายจะรู้สึกว่าการที่ตนเองลอบเขามาดูคู่หมั้นในเรือนหลังนี้เป็นการเสียมารยาทไม่เบา เมื่อถูกเว่ยฉางอิ๋งจ้องมองตาเขม็ง ใบหน้าจึงแดงขึ้นมาน้อยๆ แล้วหันเหสายตาเล็กน้อยไปยังดอกฮวายฮวาข้างกาย เกิดพูดไม่ออกขึ้นมาเฉยๆ
ทั้งสองคนตัวแข็งทื่อไปเนิ่นนาน แต่แล้วก็เป็นเสิ่นจั้งเฟิงที่เอ่ยปากก่อน เขากระแอมไอหนึ่งครั้ง แล้วมองไปยังพวงดอกฮวายฮวา กล่าวเบาๆ “อยากจะกินเกี๊ยวฮวายฮวาหรือขนมดอกฮวายฮวาอบเล่า?”
“ไม่อยากทั้งคู่ จักให้ท่านอาหวงทำขนมฮวายฮวากวนแป้งและเอาไปนึ่งทาน” เว่ยฉางอิ๋งโพล่งตอบไปโดยไม่ทันคิด
เมื่อคำพูดนี้จบลง ทั้งสองคนก็กลับมานิ่งเงียบอีกครั้ง
…แล้วก็ผ่านไปอีกเกือบเค่อ เว่ยฉางอิ๋งกำหมัดแน่น สูดหายใจ ปั้นหน้าเคร่งขรึม แล้วกล่าวไปอย่างเยือกเย็นว่า “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร!?”
เอาล่ะ เมื่อเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ แล้วข้าลอบออกจากจวนมาปีนต้นไม้ก็เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่เจ้าซึ่งเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ ยังมิทันรับข้าเข้าบ้าน แล้วนี่มันเป็นเหตุผลใด ที่ตนเองกลับแอบวิ่งเข้ามาในเรือนหลัง!
อื่ม ในเมื่อตนเองทำผิดแล้ว ก็จักต้องพยายามจับผิดอีกฝ่ายด้วยนั่นเอง…
ใบหน้าของเสิ่นจั้งเฟิงพลันมีสีหน้าลำบากใจฉายขึ้นมา แววตาล่องลอย กระแอมเบาๆ แล้วว่า “เมื่อครู่นี้เดินมาจากทางนั้น แล้วเห็นเจ้านั่งอยู่ข้างบนไม่ขยับ จึงคิดว่าเกิดปัญหาบางอย่างและไม่สะกวดจะส่งเสียงดัง จึงได้มาดูสักหน่อย”
เว่ยฉางอิ๋งมองตามทิศทางที่เขาชี้ไป.. แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ไปหาฉางเฟิงมาหรือ?”
“ไม่ใช่ นั่น เป็นทางเดินที่อยู่ถัดไปอีก”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าหัวข้อสนทนาถูกหันเหไปแล้ว จึงพยายามตั้งสมาธิ รอจนดูทิศทางที่เขาชี้ไปได้ชัดเจนแล้ว ก็อดจะไถ่ถามไปด้วยความประหลาดใจไม่ได้ว่า “ที่นั่น…เจ้าไปทำสิ่งใด?”
“ท่านพ่อตาชอบความสงบ เกรงว่าอีกสามวันให้หลังจะไม่มีเวลามาพบข้า เหตุนี้จึงให้ข้าไปที่เรือนเล่ออี๋ก่อนหนหนึ่ง” เสิ่นจั้งเฟิงกระแอมเบาๆ เป็นครั้งที่สาม กล่าวว่า “ยามออกมาจึงได้เห็นเจ้า”
ที่แท้เมื่อครู่นี้ท่านพ่อเรียกเจ้าหนุ่มนี่ไปพบ? ไยไม่มีคนบอกข้าสักคำ… เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบลงสักพัก ถามไปอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า “เจ้ามองเห็นข้ายามใด?”
“ราวหนึ่งเค่อก่อน” หลังจากพูดไปสองสามประโยค เสิ่นจั้งเฟิงก็คล้ายจะผ่อนคลายลงสักหน่อย กล่าวเสียงเบาว่า “บ่าวมาส่งข้าถึงประตูรอง ข้าอาศัยจังหวังที่เขาเดินจากไปแล้ว เดินย้อนกลับมา”
เมื่อใคร่ครวญดูอย่างรวดเร็วก็แน่ใจว่าบนเส้นทางที่เขาเดินย้อนกลับมานั้นจะต้องใช้ ‘ทางลัด’ โดยการกระโดดข้ามกำแพง จึงได้มาถึงได้ไวเช่นนี้… อืม ลองๆนับดู คล้ายว่าอย่างน้อยๆ เขาก็ต้องกระโดดข้ามมา…ห้ากำแพง? ทั้งยังต้องเดินอ้อมองครักษ์สองสามนายที่อยู่ตรงกลางและบ่าวไพร่ที่บังเอิญเดินผ่านมาด้วน…
เว่ยฉางอิ๋งพลันเกิดความกังวลถึงพลังยุทธ์ของตนขึ้นมาเล็กน้อย…ไม่สิ นางไม่คิดว่าตนจะไม่อาจเอาชนะเขาได้ สิ่งที่นางเป็นกังวลก็คือ คู่หมั้นผู้นี้วิ่งเร็วเช่นนี้ หากว่าวันหน้าต้องตีเขา แล้วเขาเกิดวิ่งหนีขึ้นมา ตนเองตามไม่ทัน แล้ว…จักทำเช่นไร?
นางกำลังจักสอบถามสถานะของศัตรูผู้นี้ให้ลึกลงไปอีก ผู้ใดจักรู้ว่ายังมิทันเอ่ยปาก ก็ได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงสอบถามมาว่า “เจ้าอยากจักลงไปหรือไม่?”
ลงไป? ข้าต้องลงไปอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะเจ้ามา ยามนี้ก็คงจัก…ช้าก่อน!
เว่ยฉางอิ๋งพลันเข้าใจเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมา นางมองเสิ่นจั้งเฟิงด้วยสีหน้าประหลาดแล้วว่า “เจ้า… เจ้าคิดว่าปัญหาที่ข้าพบเจอและไม่สะดวกส่งเสียงดัง ก็คือ…ก็คือลงไปไม่ได้?”
ยามนี้คนทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งนั้นงดงามอยู่แล้ว ในเดือนสามที่มีแสงสว่างสดในเช่นนี้…จึงยิ่งงดงามกระจ่างเหนือสรรพสิ่ง คำกล่าวนี้คล้ายจักสรรค์สร้างมาเพื่อนางโดยเฉพาะ เสิ่นจั้งเฟิงแสร้งทำเป็นจ้องมองดอกฮวายฮวาอย่างตั้งใจ แต่หางตากลับลอบเหลือบมองนาง เมื่อสัมผัสได้ว่านางคล้ายจักมีโทสะ จึงรีบบอกว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเหนื่อย” เรื่องนี้กลับเป็นเรื่องจริง ปัญหาคือ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเจ้าคนคิดเองเออเองผู้นี้ กำลังช่วยข้าหาข้ออ้างดีๆ สักข้ออยู่?
“ในลานบ้านที่อยู่ทางด้านหลังของบ้านเรามีต้นอู่ถงอายุร้อยปีต้นหนึ่ง น้องสี่ชอบปีนเล่นมาแต่เล็ก” เสิ่นจั้งเฟิงเห็นนางไม่พูดจา จึงกล่าวไปอย่างอ่อนโยน “ทุกคราก็ต้องให้ข้าไปพานางลงมา”
เว่ยฉางอิ๋งฟังเข้าใจแล้ว น้องสาวตัวเล็กของว่าที่สามีตน คุณหนูสี่แห่งตระกูลเสิ่น ทุกครั้งที่ปีนขึ้นไปบนต้นอู่ถงก็จักลงมาไม่ได้…เสิ่นจั้งเฟิงก็ต้องไปช่วยนางกู้หน้าจนเป็นความเคยชิน เมื่อเห็นตนนั่งอยู่บนต้นไม้ จึงคิดว่าเป็นเช่นน้องสาวของเขาที่มักจะพบเจอความลำบากว่าเมื่อปีนขึ้นต้นไม้แล้วก็ลงมาไม่ได้…
ปัญหาคือ ข้าเป็นน้องสาวเจ้าหรือ!
นี่มัน…นี่มันดูถูกข้าเกินไปแล้ว!
เว่ยฉางอิ๋งมีท่าทีโกรธขึ้นมา!
ข้าก็เพียงพักผ่อนสักพัก กลายเป็นว่าอ่อนแอจนถึงขึ้นต้องการให้เจ้ามาช่วยเช่นนั้นหรือ??
แม้แต่ต้นไม้นี้ก็ยังลงไปไม่ได้ แล้ววันหน้าข้าจะตีเจ้าให้อยู่หมัดได้อย่างไร! เอ่อ เอาล่ะ เห็นแก่ที่ตอนนี้บนตัวข้าเต็มไปด้วยดอกฮวายฮวาขยับเขยื่อนไม่สะดวก ข้าจะไม่ตีเจ้า… แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จักต้องให้เจ้าได้เห็นวรยุทธ์ของข้าเสียหน่อย! เพื่อมิให้เจ้านึกว่าข้าอ่อนแอเสียจนรังแกได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว!
ด้วยหมายจักใช้กลยุทธ์เอาวรยุทธ์เข้าข่มขวัญ เว่ยฉางอิ๋งพลันหรี่ตา สะบัดมือไปยังกิ่งของต้นไม้ที่อยู่ข้างกายซึ่งมีขนาดเท่าขาคนแล้วตบลงไปเบาๆ คราหนึ่ง…ยินเพียงเสียงลั่นแกร้กดังมาจากในกิ่งไม้ แล้วพลันมีรอยแยกปรากฏขึ้นมาทันใด!
นางกล่าวอย่างทะนงตนว่า “เจ้าดูสิ…” เห็นแล้วหรือยัง? ข้าร้ายกาจเพียงใด! วันหน้าหากเจ้ามีความคิดนอกรีตนอกรอยใด ก็ให้เจ้านึกถึงกิ่งไม้นี้เอาไว้เสียก่อน! คนที่ร้ายกาจเช่นข้า มีหรือที่จะต้องการให้เจ้ามากู้หน้าให้!
ผู้ใดจักรู้ว่ายังไม่ทันสิ้นคำนาง ทั้งตัวนางก็พลันหลุดร่วงลงไป ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งถอดสี แล้วร้องเสียงต่ำออกมาตามสัญชาตญาณหนหนึ่ง! ในขณะที่ไม่ทันรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น นางพลันรู้สึกว่าแขนถูกจับไว้แน่น จากนั้นทั้งตัวนางก็ถูกดึงขึ้นมาอย่างแรง!
“อ๊าย!?” นางถูกดึงเสียจนหัวเข้าไปชนที่อกของเสิ่นจั้งเฟิง ในขณะที่กำลังตกใจจนทำอะไรไม่ถูกอยูนั้น ก็รู้สึกอีกว่าเอวถูกรัดเอาไว้แน่น และกลับถูกเขารั้งเอาไว้อย่างแน่นหนา เรี่ยวแรงที่แข็งกร้าวของชายหนุ่มปะทะเข้ามาหานาง เว่ยฉางอิ๋งที่เพิ่งจะเคยได้ใกล้ชิดกับผู้ชายถึงเพียงนี้หลังจากนางอายุได้เจ็ดขวบรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาอย่างยิ่ง! พลันจับแขนเขาไว้ข้างหนึ่งและพยายามผลักออก ตื่นตระหนกเสียจนเกือบจะร้องไห้ออกมา “เจ้าทำสิ่งใด เจ้าคิดทำสิ่งใด!?”
“…กิ่งไม้ที่เจ้านั่งอยู่…” เพราะเรื่องเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งแนบชิดอยู่กับตัวของเสิ่นจั้งเฟิง สัมผัสได้ชัดเจนว่าเขาหอบหายใจลึกๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเพราะกำลังกลั้นหัวเราะ หรือกำลังพยายามตั้งสติ ยินเพียงเขาใช้น้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกว่าเขากำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไว้อย่างมาก ค่อยๆ พูดทีละคำว่า “…ถูก เจ้า ตี หัก แล้ว!”
____________________________
[1] ต้นฮวาย เป็นพืชที่มีดอกสีขาวห้อยระย้ากันเป็นพวง พืชชนิดนี้มีหลายส่วนที่ใช้กินและทำยาได้ รวมทั้งดอกด้วย
[2] ดอกฮวายฮวานึ่ง คือการนำดอกฮวายฮวามาคลุกเคล้ากับแป้งชนิดต่างๆ แล้วจึงนำไปนึ่ง สุกแล้วนำมาปรุงรสหรือทานกับเครื่องจิ้ม
[3] น้ำฝูฟาง เครื่องดื่มที่ทำจากใบต้นฝูฟางเถิง
[4] กว้าน ปลอกหรือที่ครอบมวยผมของผู้ชายจีบโบราณ