ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 92 เก็บดอกฮวายฮวา
…เรื่องราวนั้นเป็นเช่นนี้ ด้วยกิ่งไม้ที่เว่ยฉางอิ๋งนั่งอยู่นั้นค่อนข้างใหญ่ และตัวนางก็มีรูปร่างบางและปราดเปรียว จึงได้ไปนั่งในตำแหน่งที่ออกจะเป็นปลายกิ่งสักหน่อยเพื่อจะได้เก็บดอกฮวายฮวาได้สะดวก จากนั้นเสิ่นจั้งเฟิงก็ขึ้นมายืนอยู่อีกกิ่งที่ไม่ห่างออกไป
ด้วยความที่เว่ยฉางอิ่งเร่งร้อนจะอวดวรยุทธ์เพื่อแสดงความร้ายกาจของตนออกมา แม้จักคิดก็ยังไม่ทันคิด แล้วก็ไปลงมือกับกิ่งไม้ที่ตนเองนั่งอยู่ ในตำแหน่งที่ใกล้กับต้น!
จากนั้น นางก็ร่วงลงมา
แล้วจากนั้น นางก็ถูกเสิ่นจั้งเฟิงดึงแขนเอาไว้
แล้วจากนั้นอีก ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งจึงเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด ยืนอยู่บนต้นไม้ มองดอกฮวายฮวาที่ติดเต็มตัวนางเองและกระจายอยู่เต็มพื้น อยากร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตา
เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงที่มิได้จงใจจะล่วงเกินคู่หมั้นเห็นนางในสภาพเช่นนี้ ก็รู้สึกผิดขึ้นมา ขยับตัวออกมายืนอยู่อีกข้างหนึ่งด้วยอาการเลิ่กลั่ก คิดอยู่เกือบเค่อจึงได้กล่าวว่า “เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจักขึ้นไปข้างบน ไปเก็บให้เจ้าใหม่?”
“…ไม่ต้องแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งมองเขาด้วยสายตาขัดเคือง ขนมฮวายฮวากวนแป้งกับดอกฮวายฮวานึ่งไม่เหลือแล้ว ทั้งยังทำให้ตนตกใจหนแล้วหนเล่า…อยากจะ…ชกเขาเสียจริงๆ!”
เจ้าเองก็มิใช่ไม่รู้ว่าที่นี่เป็นเรือนหลัง ต่อให้ข้าติดอยู่บนต้นไม้และลงไปไม่ได้จริงๆ ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนมาหาข้าหรือ? บ่าวไพร่ในบ้านเว่ยมีมากมายถมเถ ยิ่งไปกว่านั้นตนเองซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่ที่กำลังจะออกเรือน เมื่อหายไปสักพักจะไม่มีคนออกมาหาหรือ?
หากว่ากันแบบถอยให้เจ้าก้าวหนึ่ง ในเมื่อเจ้าก็มาแล้ว ทั้งยังคิดได้แล้วว่าควรต้องถามข้าอย่างอ้อมๆ ว่าอยากจะลงไปหรือไม่ แล้วยามนี้เจ้าจักอ้อมค้อมอีกสักหน่อยไม่ได้หรือ! อ้อมค้อมให้ข้าฟังไม่ออกว่ามีความดูแคลนอยู่ในน้ำเสียงของเจ้า! อย่างเช่นบอกว่า ‘เชิญข้าไปดูออกไม้ในสวนอะไรทำนองนั้น’… ซึ่งแน่นอนว่าข้าจะไม่รับปากเด็ดขาด!
แต่เมื่อถูกเจ้ารบกวนเช่นนี้ ข้าก็ต้องจากไปแน่นอน!
ดังนั้นทุกอย่างล้วนเป็นความเป็นของเจ้าหมอนี่!
เว่ยฉางอิ๋งที่เคยชินกับการโยนความผิดไปให้แก่เว่ยฉางเฟิงมาตั้งแต่เล็ก จึงช่ำชองในการล้างมลทินให้แก่ตนเองยิ่ง เมื่อเกลี้ยกล่อมตนเองได้สำเร็จแล้ว… เรื่องในวันนี้ ตัวการใหญ่ก็คือเสิ่นจั้งเฟิง ความรับผิดชอบทุกอย่างเป็นของเสิ่นจั้งเฟิง ตนเองซึ่งทั้งน่าสงสารและไร้ความผิดก็คือผู้เคราะห์ร้ายตัวจริงที่ไม่มีอะไรจะจริงแท้กว่านี้!
แต่เรื่องเศร้าอยู่ที่ แม้จะเกลี่ยกล่อมตนเองว่าความโชคร้ายต่างๆ นี้เกิดขึ้นเพราะความโง่เง่าของเสิ่นจั้งเฟิง ทว่า…
ท้ายสุด เว่ยฉางอิ๋งที่กำหมัดแน่นอยู่หลายครั้งหลายคราก็ยังตัดสินใจทำเป็นว่าเรื่องราวเมื่อครู่นี้ไม่เคยได้เกิดขึ้นมาก่อน…
อย่างไรเสียการอวดอ้างวรยุทธ์ของตนครานี้ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าแล้ว!
นางรู้สึกว่าตนมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องได้รับการสอนสั่งในเรื่องเฉพาะทางบางประการ อย่างเช่นว่า เจียงเจิงซึ่งเคยคุ้มภัยแก่ผู้คนมาหลายชั่วคน มีประสบการณ์ถูกพวกโจรดักปล้นระหว่างทางมาอย่างโชกโชน ตามที่เจียงเจิงเคยได้อธิบายถึงตอนที่พวกสำนักคุ้มภัยเจอพวกโจรดักปล้น หากเป็นพวกโจรบางพวกที่ไม่คุ้นเคยและรู้กันอยู่แล้วว่าจะต้องมีการแบ่งทรัพย์สมบัติให้ เช่นนั้นก็ต้องมาถึงการแสดงฝีมือของแต่ละคนออกมา จากนั้นค่อยมาตัดสินใจว่าจะต่อสู้ต่อไปหรือไม่…
ปรากฏว่าตนเองยังคงไร้เดียงสาเกินไป! การจักอวดอ้างฝีมือก็จักต้องมีกระบวนการคิดมาก่อน!
ประสบการณ์อ่อนด้อยทำร้ายคนถึงตาย!
หากรู้มาก่อนว่าจะมีวันนี้ ไยแต่แรกไม่ยอมตั้งใจฟังคำสอนของท่านลุงเจียง และทดลองประลองยุทธ์ดูสักหลายๆ หน…
ด้วยเหตุนี้เอง เว่ยฉางอิ๋งจึงได้แต่ถอนหายใจใหญ่หลายหน “เรือนหลังมิใช่ที่ที่เจ้าจะอยู่นาน เจ้าไปเสียเถิด!”
เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินคำยิ่งทำตัวไม่ถูก กระแอมเบาๆ หนหนึ่งแล้วว่า “ได้” ขณะที่เขากำลังหันหลังไป…กลับได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วเสียงหนึ่งดังมาจากทางประตูวงพระจันทร์ที่ไม่ไกลออกไป “ที่นี่นี่ล่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งฟังออกว่าเป็นจูหลาน สีหน้านางจึงเปลี่ยนไปทันใด! เห็นว่าจูหลานกำลังจะเดินเข้ามาในประตูวงพระจันทร์ ทั้งเสิ่นจั้งเฟิงก็ยังไม่อาจจากไปได้ในยามนี้ ในขณะที่นางกำลังร้อนรนจึงมิได้มาคิดสิ่งได้มากมาย พุ่งตัวไปข้างหน้าเขา ดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “รีบซ่อนเร็ว!”
จนใจเหลือแสนที่ในลานแห่งนี้ก็มีต้นฮวายแก่ๆ อายุร้อยปีต้นนี้เพียงต้นเดียว บนพื้นก็ปูไว้ด้วยอิฐหินครามซึ่งมีตะไคร่น้ำขึ้นเต็มไปหมด สี่ทิศล้อมรอบด้วยกำแพงสูง ประตูข้างหนึ่งก็ถูกจูหลานปิดทางเอาไว้ ประตูอีกข้างหนึ่งแม้จะไม่ได้ลงกลอน แต่ก็ถูกมัดเอาไว้จนหมด เมื่อคำนวณจากเสียงตะโกนของจูหลาน หากวิ่งลงไปเปิดประตู จูหลานก็จะข้ามประตูวงพระจันทร์เข้ามาแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งดึงตัวเสิ่นจั้งเฟิงตามมาหลบด้วยท่าทีร้อนร้น เหลียวซ้ายแลขวา ไม่มีหนทางอื่นใด ทำได้เพียงมาหลบอยู่ข้างหลังต้นฮวาย หวังจะอาศัยกิ่งก้านของต้นฮวายอำพรางตัวให้รอดไปได้
เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่นางดึงเสิ่นจั้งเฟิงมาข้างๆ ต้นฮวายนั่นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าเดินจากประตูวงพระจันทร์เข้ามาในลานแห่งนี้ และสิ่งที่ทำให้เว่ยฉางอิ๋งต้องปวดหัวก็คือคนที่มานั้นกลับมีสองคน
เมื่อสาวใช้ตัวน้อยทั้งสองนางเข้ามาก็วิ่งตรงมายังใต้ต้นฮวาย แล้วเงยหน้าขึ้นร้องเรียกคุณหนูใหญ่สองสามหน แต่ไม่มีเสียงตอบใด เพราะต้นฮวายแก่มีกิ่งก้านแน่นหนา พวกนางเกรงว่าหากยืนอยู่กับที่จะทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้รอบทิศแล้วจักถูกเว่ยฉางอิ่งหลอกเอาได้ จึงได้เดินรอบต้นไม้และแหงนหน้ายึ้นมามอง และการที่พวกนางเดินรอบต้นไม้นี้ก็ทำเอาเว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นจั้งเฟิงตกอกตกใจไม่เบา ทั้งสองคนต้องจดจ่ออยู่กับเสียงฝีเท้าของสาวใช้ คอยใช้ลำต้นของต้นฮวายแก่อำพรางตัวด้วยความระมัดระวังยิ่ง ต้องคอยอยู่ในระยะที่สาวใช้ทั้งสองนางไม่อาจมองเห็นได้ ค่อยๆ พากันขยับเท้า… ทั้งยังต้องระวังไม่เหยียบดอกฮวายฮวาที่ถูกลมพัดร่วงและที่ถูกเว่ยฉางอิ๋งทำร่วงลงมาเมื่อครู่นี้จนเกิดร่องรอยใหม่ขึ้น…
โชคดีที่สาวใช้ทั้งสองนางนี้ไม่รู้ว่าคนที่ต้องการตามหานั้นอยู่อีกฝั่งหนึ่งของต้นไม้ เมื่อเดินวนรอบหนึ่งแล้วมองไม่เห็นว่าบนต้นไม้มีคนอยู่ จูหลานจึงบอกว่า “พี่ซวงหลี่ดูผิดไปหรือไม่? เหมือนคุณหนูใหญ่จะไม่ได้อยู่บนต้นไม้?”
เมื่อสิ้นเสียงของจูหลาน ฟังจากเสียงของสาวใช้ตัวน้อยอีกนางก็จักต้องจูสือที่สนิทสนมกับจูหลานมาโดยตลอด นางกล่าวเสียงบางเบาว่า “พี่ซวงหลี่เป็นบ่าวใกล้ชิดของฮูหยินผู้เฒ่า เป็นคนละเอียดรอบคอบมาแต่ไร นางบอกว่าเห็นคุณหนูใหญ่มาทางนี้ ก็คงจะไม่ผิดไปได้ อาจเพราะยามนั้นคุณหนูใหญ่ก็สังเกตเห็นพี่ซวงหลี่เช่นกัน และไม่อยากถูกพวกเรารบกวน จึงได้เปลี่ยนไปอยู่ที่อื่น? หาไม่แล้วเจ้าดูสิบนพื้นมีดอกฮวายฮวาตั้งมากมาย แล้วดอกบนกิ่งนั้นก็หายไปมากด้วย? ในบ้านเรา นอกเสียจากคุณหนูใหญ่แล้วจักมีผู้ใดกล้าทำตามใจเช่นนี้? เห็นได้ว่าคุณหนูใหญ่จะต้องเคยมาที่นี่มาก่อน”
“เฮ่อ เช่นนั้นไปที่ไหนเสียแล้วเล่า?” จูหลานถูกย้ำเตือนขึ้นมา จึงได้สังเกตเห็นว่าบนต้นไม้มีดอกฮวายฮวากลุ่มหนึ่งบางตาไปอย่างชัดเจน คล้ายถูกเด็ดออกไปแล้ว ส่วนที่เท้าของพวกนางทั้งสองกลับมีดอกฮวายฮวากระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด จึงกล่าวด้วยความเสียดายว่า “มิน่าเล่า คุณหนูใหญ่จึงได้แกล้งทำเป็นนอนหลับแล้วหลอกพวกท่านป้าและหนีออกไป เจ้าดูดอกฮวายฮวาเหล่านี้สิ… เห็นได้ว่าวันนี้คุณหนูใหญ่อารมณ์ไม่ดี เด็ดแล้วทิ้งดอกฮวายฮวาตั้งมากมายเพียงนี้ก็ยังไม่หายโกรธ หาไม่แล้วเหตุใดจนถึงยามนี้ก็ยังไม่กลับมา?”
จูสือก็รู้สึกเห็นใจแล้วว่า “ท่านเขยเป็นคนดี แต่คนบ้านเสิ่นคนอื่นๆ ก็พูดยากแล้ว ข้าได้ยินท่านป้าบอกว่า ฮูหยินซูของตระกูลเสิ่นเป็นคนยึดถือกฎเกณฑ์ และเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง คุณหนูใหญ่ของเราถูกฮูหยินผู้เฒ่าตามใจมาแต่เล็กจนเสียจนเคยแล้ว ก็คงจะไม่อาจรับได้ไหว”
“เรื่องที่น่าสงสารที่สุดก็คือเมืองหลวงออกจะห่างไกลถึงเพียงนั้น เมื่อคุณหนูใหญ่แต่งงานไป วันหน้าก็ไม่รู้ว่าจักได้เจอฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินอีกหรือไม่” จูหลานถอนหายใจแล้วว่า “ตัวข้านั้น ก็ไม่รู้ว่าจะได้เห็นอีกหรือไม่? ครานี้ฮูหยินไม่ได้ให้พ่อข้าไปพร้อมกับคุณหนูใหญ่ วันหน้าหากคุณหนูใหญ่ไม่กลับมาเฟิ่งโจว ข้าคิดว่าหากข้าไปกับคุณหนูใหญ่ครานี้ ก็กลัวว่าจะไม่ได้เจอกับคนในครอบครัวอีก! แต่ว่าแต่เล็กมาข้าก็คอยปรนนิบัติคุณหนูใหญ่ คุ้นเคยและรู้จักทางหนีทีไล่ยามอยู่ต่อหน้าคุณหนูใหญ่เป็นอย่างดีแล้ว หากไม่ไปกับคุณหนูใหญ่… ในบ้านใหญ่ยามนี้ก็ไม่มีคุณหนูคนอื่นที่ต้องการสาวใช้ไปปรนนิบัติอีก บ้านสามยิ่งไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่คนแล้งน้ำใจสองคนนั้น ข้ายอมถูกให้ไปทำงานหนักก็ไม่คิดจะไปปรนนิบัติพวกนาง! เช่นนั้นจึงได้แต่ต้องตามคุณหนูใหญ่ไป และต้องบอกลากับพ่อแม่พี่น้องแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งกำลังจะแต่งงาน คนที่ต้องไปพร้อมกับนางนอกจากนางหวงแล้ว คนทั้งหมดล้วนเป็นคนที่เกิดและเติบโตในเฟิ่งโจว หรือไม่ก็อยู่ในเฟิ่งโจวมาสิบกว่าปีแล้ว เมื่อต้องจากลาบ้านเกิดก็ย่อมต้องรู้สึกอาลัยอาวรณ์เป็นธรรมดา จูหลานและจูสือก็เช่นกัน ว่าไปแล้วจึงได้ฉวยโอกาสที่ถูกสั่งให้ออกมาหาเว่ยฉางอิ๋ง แล้วไม่เห็นคุณหนูใหญ่ของตนอยู่ที่ต้นฮวายแห่งนี้ เมื่อต้องรออยู่เฉยๆ ในลานบ้านที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนและไม่ต้องกลัวว่าจักมีคนแอบฟัง จึงได้พากันยืนระบายความในใจอยู่ใต้ต้นไม้ขึ้นมา
หลังต้นไม้ สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ เขี้ยวคล้ำขึ้นมา แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางคิดว่า ‘ไอ้เจ้าคนแล้งน้ำใจสองคนนี้ยังไม่ไปอีก? หากยังไม่ไป ดูสิว่าเมื่อข้ากลับไปแล้วจะหาข้ออ้างจัดการพวกเจ้าอย่างไร!’
จูสือและจูหลาน กลับไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าคุณหนูใหญ่ของบ้านตนและท่านเขยนั้นอยู่เพียงหลังต้นไม้นี้เองและกำลังภาวนาด้วยความหวาดหวั่นว่าให้พวกนางรีบไปเสียที… เดิมทียามที่เรือนเสียซวงมีนางเฮ่อคอยดูแลอยู่นั้น ก็ใช่ว่าจะมีการผ่อนปรนเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ เพียงแต่เมื่อนางเฮ่อตีคนขึ้นมาก็ไม่เคยปราณีใคร แต่อย่างไรนางก็เป็นคนธรรมดาผู้หนึ่งที่มิได้ละเอียดรอบคอบไปเสียทุกเรื่อง แต่นับแต่นางหวงมาถึงแล้วรับอำนาจปกครองดูแลไป นางก็ควบคุมทั้งเรือนเสียซวงเสียจนแม้แต่น้ำยังไหลซึมออกมาไม่ได้สักหยด เรื่องที่จะหาโอกาสยามว่างแอบหลบมุมคุยกันเรือนเสียซวงเช่นก่อนนี้ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว!
สาวใช้ตัวน้อยสองคนที่ชอบพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจมาแต่ไร จึงถูกนางหวงคอยจับตามองและไม่ได้มีโอกาสได้มาระบายความในใจอย่างเป็นสุขสักหนมานานแล้ว ทั้งวันนี้ก็ยังต้องกังวลเรื่องที่ต้องรีบร้อนเดินทาง จูสือและจูหลานพูดคุยกันแล้ว พูดคุยกันอีก จนครึ่งชั่วยามเต็มๆ ผ่านไป จึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าหากยักมัวชักช้าอยู่ แล้วเกิดทำให้นางหวงสงสัยก็จะเป็นเรื่อง จึงรีบร้อนจากไปแทบไม่ทัน…ทว่า ช้าก่อน!
ทั้งสองนางเพิ่งจะเดินไปพ้นประตูวงพระจันทร์ เว่ยฉางอิ๋งแอบโล่งอกอยู่ในใจ แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท่าตับๆๆ ย้อนกลับมา “ดอกไม้เหล่านี้คงจักเป็นคุณหนูใหญ่เด็ดจากข้างบนและทิ้งลงมา แม้จะเปื้อนฝุ่นดิน แต่ล้างๆ สักหน่อยก็สะอาดแล้ว เป็นดอกฮวายฮวาดีๆ อยู่ทั้งนั้น หากทิ้งเอาไว้จนเน่าเสียก็ไม่น่าเสียดายหรือ? พวกเราไปเก็บและเอากลับไปสักหน่อยเถิด!”
“ก็ดี ได้ยินว่าท่านป้าหวงเป็นมือหนึ่งในการทำอาหารยาและขนมกวนแป้ง ดอกฮวายฮวาพวกนี้เอาไปทำขนมฮวายฮวากวนแป้งได้ รสชาติหอมหวานนัก หากคุณหนูใหญ่เอ่ยปาก ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะได้ลองลิ้มรสสักชิ้นสองชิ้น” จูหลานพูดเสียงแจ้วว่า “ข้าช่วยเจ้า ช่วยกันทำ แล้วก็รีบๆ กันหน่อย”
แต่ก็อย่าคิดว่าทั้งสองนางจะทำสิ่งใดรวดเร็วนักหนาเล่า!
อย่างไรก็ดีนางทั้งสองก็ไม่ได้มีท่านอาคอยเร่งอยู่ สาวใช้ตัวน้อยที่อายุเพียงสิบสองสิบสามปี หากไม่ลงไม้ลงมือสักสองฉาด จูหลานและจูสือก็จักต้องหยอกล้อกันขึ้นมา “เหมือนว่าคุณหนูใหญ่จะไม่ชอบทานไอ้เจ้านี่? หาไม่แล้ว ไยจึงทิ้งดอกฮวายฮวาดีๆ ตั้งมายมายได้ลงคอเล่า?”
“คาดว่าคงไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง? อาจเพราะวันนี้อารมณ์ไม่ค่อยดี” จูสือกล่าว “เจ้าคิดดูสิ กระจับป่าที่พวกเราไปช้อนมาจากในสวนดอกไม้คราก่อน ก็มิใช่ว่าคุณหนูใหญ่ชอบเอามากๆ หรือ จนถึงตอนนี้ก็ยังให้พวกเราใส่ชามเล็กๆ ไปให้บ่อยๆ?”
จูหลานว่า “ก็ใช่…โอ๊ะ เจ้าดูสิพวงดอกไม้สองสามพวงนี้ พอยกขึ้นมาเหมือนกับปิ่นประดับพู่คู่นั้นและจี้หยกมันแพะเจียรไนเป็นช่อดอกรุ่งอรุณในชุดทรัพย์สินติดตัวเจ้าสาวของคุณหนูใหญ่หรือไม่… ข้าจะไปหักกิ่งไม้ข้างนอกมาแล้วทำปิ่นประดับพู่ให้เจ้าลองใส่ดู?”
“ฮิๆ แล้วเจ้าเองไม่ใส่หรือ? อ่ะ ข้าก็เลือกจากกองนี้ออกมาสักพวงสองพวงดีกว่า เอามาถักมงกุฎดอกไม้ให้เจ้า”
“อย่า…ข้าไม่ได้สระผมมาสองวันแล้ว ผมมันมาก หากทำให้สกปรกแล้วจะกินไม่ได้”
“เช่นนั้นก็อย่าเอามาให้ข้าใส่ ข้าออกมาก็ทาน้ำมันดอกกุหลาบ เจ้าดมดูสิ อ่ะ กลิ่นหอมของดอกฮวายฮวานี่แรงเกินไป ดมกลิ่นอื่นไม่ได้เลย!”
“น้ำมันดอกกุหลาบ? ค่าแรงทำงานให้มาเป็นน้ำมันดอกหอมหมื่นลี้เท่านั้นนี่ เจ้าเอาเงินเดือนไปซื้อเองหรือ? พ่อแม่เจ้าไม่ถามเอาหรือ?”
“ถามสิ่งใด ปีก่อนข้าก็พูดกับพวกเขาแล้วว่า คุณหนูใหญ่ที่ข้าปรนนิบัติรับใช้นั้นมีหน้ามีตายิ่งยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยิน เป็นสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ หากไม่มีเงินติดตัวบ้างจะใช้ได้หรือ? นับแต่ครานั้นพวกเขาก็อนุญาตให้ข้าเก็บเงินเล็กน้อยเอาไว้ได้ จนยามนี้ข้าก็มีเก็บไว้ก้อนหนึ่งแล้ว เจ้าฟังข้าว่านะ วันหน้านั้นข้า…”
ฟังดูแล้วพวกนางมีท่าทีจะอาศัยข้ออ้างว่ามาเก็บดอกฮวายฮวาและคุยกันต่อไปได้อีกหนึ่งหรือสองชั่วยามเชียว
….เว่ยฉางอิ๋งที่แทบจะเดินออกมาจากหลังต้นไม้เสียเดี๋ยวนั้น พลันมีสีหน้าเขียวคล้ำขึ้นทุกที
และไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าใด ที่สุดสาวใช้ตัวน้อยทั้งสองก็เก็บดอกฮวายฮวาที่ใต้ต้นไม้เสียจนหมดด้วยท่าทีแสนจะเอ้อระเหยลอยชาย แล้วหัวเราะคิกๆ คักๆ เดินจากไป…
เมื่อเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าของพวกนางเดินจากไปไกลแล้ว ก็รอฟังอยู่อีกเกือบเค่อ จนแน่ใจว่าพวกนางไม่ได้มีท่าทีจะย้อนกลับมาอีก เว่ยฉางอิ๋งจึงได้ถอนหายใจยาวๆ คิดจักล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อออกมาซับเหงื่อ… ไม่คิดว่าเมื่อกำลังจะขยับ มือขวากลับยกมันขึ้นมาไม่ได้!
นางตกใจ ก้มลงไปมอง กลับเห็นว่ามือของตนนั้นไม่รู้ว่าไปกุมอยู่กับมือซ้ายของเสิ่นจั้งเฟิงแต่เมื่อใด สองมือต่างประสานกันไว้แน่น จนเมื่อเวลาผ่านไปนานก็กลับแยกมือจากกันไม่ค่อยออก
ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งพลันแดงขึ้นมาทันใด นางรีบยกแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้นมาบังหน้า ร้องเสียงต่ำๆ ว่า “เจ้าทำสิ่งใด! ยังไม่รีบปล่อยมืออีก!”
ทั้งสองคนลุกลี้ลุกลนอยู่สักพักจึงปล่อยมือจากกันได้ แล้วมองกันด้วยท่าทีกระวนกระวายอย่างหนัก สักพักใหญ่ เสิ่นจั้งเฟิงจึงกระแอมหนหนึ่ง แล้วว่า “เมื่อครู่นี้เจ้ากลัวว่าข้าจะถูกสาวใช้ทั้งสองพบเห็นเข้า จึงดึงข้ามา…จากนั้น…”
จากนั้น เขาก็กุมมือเว่ยฉางอิ๋งกลับไปโดยมิทันรู้ตัว
กอปรกับ เพราะเวลาที่จูหลานและจูสือหยุดอยู่ที่นี่และพูดคุยสัพเพเหระกันนั้นนานมาก ทำให้ทั้งสองคนที่กำลังร้อนตัวต่างรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ในความตื่นเต้นนั้นจึงได้กุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นยิ่งกว่าเก่า… โดยเฉพาะเมื่อสาวใช้ตัวน้อยทั้งสองพลันย้อนหลังกลับมาเก็บดอกฮวายฮวาหนนั้น!
พอเวลานานเข้า…อื่ม ก็เป็นเช่นนี้นั่นเอง
“…อาศัยจังหวะนี้ เจ้ารีบไปเถิด” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างใจจน หลังจากมองตาเขาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีอยู่เกือบเค่อ
เสิ่นจั้งเฟิงเองก็ดูจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นกัน ไม่รู้เป็นเพราะจูสือกับจูหลาน หรือว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาได้ประสบมาในวันนี้ เขาจึงตอบรับอย่างลนลานไปหนหนึ่ง แล้วรีบร้อนจากไป จากแผ่นหลังยามเขาจากไป เห็นได้ว่าเขาก็มีท่าทีลนลานและรีบหนีไปอย่างหัวซุกหัวซุนอยู่เช่นกัน
_______________________________