ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 94 คำสอนของบิดา
วันรุ่งขึ้น มีข่าวมาจากเรือนเล่ออี๋ว่า เว่ยเจิ้งหงอยากจะพบบุตรสาว
เพราะเว่ยฉางอิ๋งรู้มาว่าเมื่อวานเว่ยเจิ้งหงเพิ่งจะเรียกเสิ่นจั้งเฟิงไปพบ ยามนี้จึงอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้ว่า “วันนี้ท่านพ่อมีกำลังวังชาดีอยู่หรือไม่? หากอ่อนเพลีย หรือพรุ่งนี้ข้าค่อยไปคราวะ?”
หลี่ว์หานซึ่งเป็นคนมาเชิญนางยิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่โปรดวางใจเถิดขอรับ มีคำกล่าวว่าเมื่อคนพบเจอเรื่องน่ายินดีย่อมมีกำลัง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ยามนี้ใกล้วันดีของคุณหนูแล้ว วานนี้เมื่อนายท่านใหญ่ได้พบกับท่านเขยแล้วก็เอ่ยชมเชยท่านเขยไม่หยุดปาก ไม่เพียงรั้งท่านเขยไว้ร่วมทานอาหารเที่ยง เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ นายท่านยังทานโจ๊กข้าวเขียวไปอีกครึ่งถ้วยด้วยขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำว่า ‘วันดี’ ก็อดจะอายจนหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ ยิ่งเมื่อได้ยินหลี่ว์หานเล่าเรื่องความพึ่งพอใจที่เว่ยเจิ้งหงมีต่อเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว ทั้งใบหน้าและหูก็ยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ แล้วกล่าวอย่างขัดเคืองว่า “ท่านลุงหลี่ว์รังแกผู้อื่น ก็บอกเพียงท่านพ่อมีกำลังวังชาดีก็พอแล้วนี่ ไยต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย!”
พวกของหลี่ว์หานและหลี่ว์หยวน ล้วนเป็นคนที่ปรนนิบัติรับใช้เว่ยเจิ้งหงมานานปี เพื่อดูแลเว่ยเจิ้งหงจึงถึงขึ้นที่ครองตัวเป็นโสดไปชั่วชีวิต อุทิศทั้งแรงกายแรงใจทั้งหมดมาที่บุตรชายคนโตของบ้านใหญ่ของตระกูลเว่ยซึ่งเกิดมาก็มีร่างกายไม่สมบูรณ์ผู้นี้ แม้แต่แม่เฒ่าซ่งเองก็ยังเคยได้บอกไว้หลายปีก่อนว่า การที่เว่ยเจิ้งหงสามารถอยู่มาได้จนวันนี้ โดยนานๆ ครั้งจักได้พบปะกับภรรยา บุตร และบิดามารดาบ้าง ประการแรกด้วยฝีมือของหมอเทวดา ประการที่สองก็ด้วยได้คนเหล่านี้คอยเอาใจใส่ดูแลมาอย่างดี
ฐานะของพวกเขานั้นไม่เหมือนกับบ่าวไพร่ทั่วไป เว่ยฉางอิ๋งพี่น้องก็ยังเรียกขานเขาว่าท่านลุงท่านอา ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความเคารพนับถือที่พวกเขาดูแลบิดาของตนเต็มกำลัง
และพูดได้ว่าหลี่ว์หานเองก็เห็นเว่ยฉางอิ๋งเติบโตมาแต่เล็ก เขามีอายุมากว่าเว่ยเจิ้งหง ดังนั้นแม้จักเป็นบ่าวผู้ชาย แต่ก็สามารถเข้ามาในเรือนหลังได้ในทันใด ยามนี้เขาหัวเราะแล้วว่า “ปกติแล้วข้าน้อยต้องอยู่กับนายท่านใหญ่ เมื่อคุณหนูใหญ่มาที่เรือนเล่ออี๋ ข้าน้อยก็ไม่กล้าไปรบกวนขณะคุณหนูใหญ่อยู่กับนายท่านใหญ่ ก็ทำได้เพียงอาศัยโอกาสยามออกมาทำงานนอกเรือนเช่นในวันนี้ จึงได้มาแสดงความยินดีกับคุณหนูใหญ่”
“ท่านลุงหลี่ว์พูดสิ่งใดกัน! ยินดีไม่ยินดีสิ่งใด… ข้าจักไปพบท่านพ่อแล้ว!” เว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าร้อนรนจนกระโดดโหยงขึ้นมา กระทืบเท้าหนแล้วหนเล่า แล้วหุนหันวิ่งออกไป… ดีชั่วอย่างไร นางก็รู้จักเรือนเล่ออี๋อยู่แล้ว
นางเฮ่อกำลังวุ่นวายเรียกคนให้รีบตามไป กลับเป็นนางหวงที่เย้าหลี่ว์หานประโยคหนึ่งว่า “สองวันมานี้คุณหนูใหญ่ถูกคนล้อเล่นไปทั่ว ไม่คิดว่าพี่หานก็ยังมาร่วมวงด้วย”
“คุณหนูใหญ่ของพวกเราใจกว้างนัก ดูท่าทีหุนหันเช่นนั้น ก็เพียงเพราะได้ยินว่านายท่านใหญ่มีเรี่ยวแรงดี จึงรีบไปพบเท่านั้น” หลี่ว์หานหัวเราะแล้วว่า “สองวันก่อนได้ยินว่าน้องหวงเจ้ากลับมาแล้ว ข้าต้องคอยปรนนิบัตินายท่านใหญ่กลับไม่มีเวลามาพบ พริบตาเดียวก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว นึกย้อนกลับไปเมื่อก่อน มันช่าง…”
“ก็มิใช่รึ?” นางหวงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “โชคดีเหลือเกินที่วันนี้นายท่านใหญ่ยังคงอยู่ดี?”
“ยาที่ท่านหมอเทวดาจี้จัดให้นั้นยังคงทานอยู่ตลอด ปกติแล้วก็รับประทานสำรับอาหารบำบัด และก็พอพักฟื้นได้ ทว่ายังคงเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียนัก หากไม่คอยดูแลพละกำลังให้ดีก็ไม่อาจถูกรบกวนได้” หลี่ว์หานทอดถอนใจ
นางหวงก็ถอนหายใจเช่นกัน “หลายปีมานี้ที่ข้าอยู่เมืองหลวง ทุกเทศกาลก็จะต้องไปที่บ้านท่านหมอเทวดาจี้ และได้เรียนอาหารบำบัดมาอีกหลายอย่าง อีกสักพักอาศัยช่วงที่คุณหนูใหญ่กำลังคุยกับนายท่านใหญ่แล้วจะบอกกับเจ้า?”
“เช่นนั้นก็ดีจริงๆ” หลี่ว์หานเผยรอยยิ้มแห่งความยินดีแล้วว่า “เดี๋ยวข้าจะไปเอาพู่กันและหมึกจดไว้!”
ทั้งสองคนเดินรั้งท้ายออกมาสองสามเก้าสนทนาถึงเรื่องความหลัง ส่วนเว่ยฉางอิ๋งที่อยู่ข้างหน้านั้นก้าวฉับๆ จนไปถึงเรือนเล่ออี๋แล้ว …ครานี้เว่ยเจิ้งหงกลับมิได้อยู่ที่ลานบ้าน ภายในเรือนเงียบสงัด บนระเบียงทางเดินมีบ่าวชราเฝ้าอยู่สองคน เมื่อมองเห็นนางก็มิได้ส่งเสียง เพียงแต่ส่งรอยยิ้มที่เป็นอ่อนโยนมาพลางโค้งตัวน้อยๆ
เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจและก้าวเดินให้เบาลง โบกมือเป็นสัญญาณให้พวกเขาไม่ต้องมากพิธี และเดินเข้าไปภายในห้อง
หลังจากเข้าประตูไป ก็เห็นว่าที่ข้างใต้หน้าต่างนั้นมีผ้าม่านหน้าต่างสีเขียวสดใสผืนใหม่ที่เพิ่งนำมาเปลี่ยนหลังฤดูใบไม้ผลิ ข้างๆ ตั่งอ่อนที่ฝังแร่กลีบหิน[1] ประดับเป็นลวดลาย มีขวดดอกท้อสีชมพู่น่ารักที่เพิ่งไปเก็บมาวางอยู่ใกล้ๆ ขวดหนึ่ง
ยามนี้อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้นแล้ว แต่ตั่งอ่อนประดับแร่กลีบหินนี้ยังคงปูฟูกหนาๆ เอาไว้ เว่ยเจิ้งหงเอนตัวพิงอยู่บนหมอนอิง มีผ้าห่มหนาคลุมอยู่ครึ่งตัว ในมือเขาถือหนังสือที่ม้วนเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ดูคล้ายไม่มีแก่ใจจะอ่านจนจบ เขาหลับตาและเอาหนังสือที่เปิดม้วนอยู่สองสามหน้านั้นวางอยู่บนผ้าห่ม นิ้วที่กำหนังสืออยู่นั้นงดงาม เรียวสวยไร้ที่ติ ทว่าซีดขาวเหลือประมาณ
อาจเพราะกำลังงีบหลับ แม้สีหน้าของเขาจะดูสงบและผ่อนคลาย แต่ความเจ็บปวดบนใบหน้าก็ยังคงชัดเจนนัก มีเสื้อตัวยาวผ่าหน้าแขนกว้างพื้นสีขาวนวลปักภาพต้นดอกเหลียนจูและกวางคู่คลุมอยู่ที่ไหล่อย่างหลวมๆ… เว่ยฉางอิ๋งจำได้ว่าเสื้อตัวยาวนี้เพิ่งทำใหม่เมื่อปีนี้ แต่ครั้งก่อนที่มาหาบิดาจนถึงตอนนี้ก็เพิ่งจะผ่านมาครึ่งเดือน ดูไปแล้วเสื้อตัวยาวนี้หลวมลงไปมาก…
เห็นได้ว่าเวลาครึ่งเดือนมานี้เว่ยเจิ้งหงอาการไม่ค่อยดี เดิมทีก็มักจะมีอาการเจ็บป่วยในช่วงฤดูใบไม้ผลิอยู่แล้ว ประสาอะไรกับที่ร่างกายของเว่ยเจิ้งหงอ่อนแอเป็นทุนเดิม… เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกปวดใจขึ้นมา
เว่ยเจิ้งหงมีร่างกายอ่อนแอเพียงนี้ เขาย่อมไม่อาจอยู่ในห้องได้ตามลำพัง ยามนี้คนที่เฝ้าเขาอยู่กลับไม่ใช่บ่าว หากแต่เป็นฮูหยินซ่ง นางนั่งอยู่ข้างๆ ตั่ง สองมือกุมมือของเว่ยเจิ้งหงข้างที่ไม่ได้ถือหนังสือเอาไว้ คล้ายเป็นการให้ความอบอุ่นแก่เขา แต่ดวงตาของนางกลับเหม่อมองไปยังภาพมันดาลาวงกลมที่เป็นลายกิ่งก้านและดอกเหมยซึ่งจัดวางอยู่ไม่ไกลออกไป
แม้ว่าสองสามีภรรยาคนหนึ่งจะนอนคนหนึ่งจะนั่งอยู่ แต่ก็พากันนิ่งเงียบไม่พูดจา ในชั่วขณะนี้กลับเกิดเป็นความนิ่งสงบที่อยากจะอธิบายได้
ประหนึ่งว่าการเข้าไปรบกวนจักเป็นบาปอย่างหนึ่ง
เมื่อมองเห็นภาพเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงรีบสงบสติอารมณ์ แล้วค่อยๆ ถอยออกไปรอที่ลานหน้าเรือน
เดิมทีนั้นเว่ยเจิ้งหงกำลังงีบหลับ แต่ด้วยอาการเจ็บปวดจากโรคที่เป็นมานานปีรุมเร้า ประสามสัมผัสทั้งห้าจึงรับรู้ไม่ได้ไวเช่นคนปกติ ฮูหยินซ่งเองก็กลับเอาแต่คิดเรื่องต่างๆ จนเหม่อลอย ด้วยเหตุที่เว่ยฉางอิ๋งเคยฝึกวรยุทธ์ ดังนั้นแล้วยามที่นางตั้งใจขึ้นมา ฝีเท้าก็จักบางเบากว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว จึงทำให้สองสามีภรรยามิได้รู้สึกเลยว่าบุตรสาวเข้ามาและออกไปเรียบร้อยแล้ว ราวเกือบครึ่งชั่วยามจากนั้น ก็ได้ยินเสียงผ่านผ้าม่านว่าเว่ยเจิ้งหงเอ่ยถามฮูหยินซ่งด้วยเสียงอย่างลมปราณส่วนกลางไม่เพียงพอว่า “ฉางอิ๋งยังไม่มาหรือ?”
“ข้าจะไปดูหน่อย…” ฮูหยินซ่งตอบคำ
“ท่านพ่อ ข้ามาแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งรีบตอบรับผ่านผ้าม่านมาคราหนึ่ง ฮูหยินซ่งตวาดกลับไปว่า “มาแล้วเหตุใดยังไม่เข้ามา! ต้องให้ท่านพ่อเจ้าเหนื่อยไปสอบถาม!”
เว่ยฉางอิ๋งจัดกระโปรงของตนครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วเดินเข้าประตูมา ก็เห็นว่าฮูหยินซ่งกำลังประคองเว่ยเจิ้งหงให้ลุกขึ้นมานั่ง นางรีบเข้าไปช่วย แล้วฮูหยินซ่งก็สั่งให้นางเข้าไปเอาหมอนในห้องมาสองสามใบ เพื่อมาใช้รองข้างหลังเว่ยเจิ้งหง ให้เขาได้นั่งสบายๆ สักหน่อย
หลังจากเว่ยเจิ้งหงลุกขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว สีหน้าของเขาก็ซีดขาวกว่าเดิมเล็กน้อย เขาหันหน้าไปข้างๆ กำมือหลวมๆ ปิดไว้ที่ริมฝีปากและเริ่มไอ เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ ดวงตาของฮูหยินซ่งพลันมีแววของความเจ็บปวด แล้วรีบร้องเรียกออกไปนอกประตูว่า “หลี่ว์อัน!”
บ่าวที่เฝ้าอยู่บนทางเดิน เดินเข้ามาคนหนึ่ง และไม่ต้องถามให้มากความ เขาก็รีบเดินไปที่โต๊ะยาวทางด้านข้างซึ่งมีขวดดินเผาสูงบ้างต่ำบ้างวางเรียงกันอยู่หลายขวด เขาเลือกหยิบมาขวดหนึ่ง เทยาลูกกลอนสีดำเม็ดหนึ่งลงในถ้วยน้ำชา แล้วยกกาน้ำทำจากเงินที่อยู่ข้างๆ เทน้ำร้อนลงมา ใช้ช้อนเงินละลายยาเม็ด แล้วจึงยกมาที่ข้างตั่ง
ฮูหยินซ่งรับมาแล้วค่อยๆ ป้อนให้เว่ยเจิ้งหงดื่มอย่างระมัดระวัง
เมื่อดื่มไปครึ่งถ้วย เว่ยเจิ้งหงก็โบกมือเป็นการบอกให้เอาออกไป ฮูหยินซ่งถอนหายใจ แล้วกล่าวเตือนว่า “ดื่มอีกสักหน่อยเถิด?”
“ยานี่ดื่มมากไปแล้วรู้สึกว่าหัวใจไม่ค่อยสบาย” เว่ยเจิ้งหงกล่าวสั้นๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะไม่ดื่มอีก
ฮูหยินซ่งจนปัญญา จึงได้แต่นำถ้วยยาส่งให้กับหลี่ว์อัน หลี่ว์อันรับกลับมาเก็บ แล้วออกไปอีกครั้ง
แม้จะดื่มไปเพียงครึ่งถ้วย แต่ยาที่จี้ชวี่ปิ้งทิ้งเอาไว้ให้นั้นได้ผลเป็นอย่างยิ่ง หลังจากเว่ยเจิ้งหงดื่มไปคำหนึ่ง ก็เห็นว่าเขามีสีหน้าที่ผ่อนคลายลงมาก อาการไอก็หยุดลงด้วย เขายิ้มให้บุตรสาวมาเข้ามาตรงหน้าพูดคุยกัน
เว่ยฉางอิ๋งเดินเข้าไปใกล้ตามคำ เว่ยเจิ้งหงมองดูบุตรสาวอย่างละเอียดรอบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดายอยู่บ้างว่า “เพียงแค่พริบตาเหตุใดจึงผ่านมาหลายปีแล้ว ลูกข้าโตเป็นผู้ใหญ่ ยามนี้ก็จะออกเรือนแล้ว”
หลายวันมานี้ เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังคำพูดเช่นนี้มาจนเบื่อแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้จากบิดาแท้ๆ ซึ่งนานครั้งจะเอ่ยออกมาเช่นนี้ ภายในใจก็อดจะรู้สึกปวดร้าวขึ้นมาไม่ได้ ฮูหยินซ่งไม่อยากให้สามีซึ่งมีร่างกายอ่อนแอต้องรู้สึกเศร้าใจ จึงยิ้มแล้วว่า “เด็กผู้หญิงเมื่อโตแล้วก็ต้องแต่งงาน ได้แต่งกับคนในตระกูลดีๆ พวกเราก็วางใจกับนางได้แล้ว… วานนี้ท่านได้พบกับเด็กบ้านเสิ่นผู้นั้นแล้ว เป็นเช่นไรบ้าง? เมื่อครู่ข้าก็ยังมิทันได้ถาม”
เว่ยเจิ้งหงยิ้มอย่างสงบ กล่าวว่า “เป็นเด็กดีคนหนึ่ง”
เมื่อได้ยินคำวิจารณ์ของเขา หัวใจของทั้งฮูหยินซ่งและเว่ยฉางอิ๋งล้วนปิติยินดี เว่ยฉางอิ๋งทำทีปกปิด กล่าวคล้ายไม่มีเรื่องใดว่า “ขอเพียงเขาเคารพท่านพ่อท่านแม่ ข้าก็…”
“พูดจาเหลวไหล! สิ่งสำคัญที่สุดจะต้องดีต่อเจ้า!” เว่ยเจิ้งหงและฮูหยินซ่งกลับพูดออกมาพร้อมกัน “หากไม่ดีต่อจ้า ไม่ว่าจะกตัญญูและเคารพพวกเราปานใดแล้วจะมีความหมายอันใด? หรือพวกเราไม่มีฉางเฟิงไว้ให้กตัญญู?”
เว่ยเจิ้งหงกลับยิ้มและยับยั้งการอบรมบุตรสาวของภรรยา แล้วกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “หากเขาดีต่อเจ้า แน่นอนว่าย่อมต้องเคารพพวกเรา เรื่องนี้ยังต้องพูดอีกหรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งแลบลิ้นหนแล้วหนเล่า แล้วแย้มยิ้มและกล่าวว่า “ท่านพ่อสอนสั่งถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”
“พ่อเห็นว่าเด็กคนนั้นเป็นคนที่มีความคิดอ่าน นิสัยก็นอบน้อม” เว่ยเจิ้งหงหาได้รู้ไม่ว่าเกิดเรื่องชื่อเสียงบุตรสาวเสียหายและเกือบจะถูกบ้านตระกูลเสิ่นถอนหมั้น แม้จะไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับเสิ่นจั้งเฟิง แต่เมื่อคิดถึงว่าบุตรสาวต้องแต่งงานออกไปไกลบ้านก็ยังรู้สึกไม่ใคร่วางใจ จึงได้กล่าวเตือนว่า “ทว่านี่ก็เป็นยามเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ เมื่ออยู่ลับตาคนแล้วจักปฏิบัติกับเจ้าเช่นไร ก็ยังต้องให้เจ้าเป็นผู้ชั่งน้ำหนักเอง… ได้ยินว่าท่านย่าของเจ้าให้นางหวงมาอยู่กับเจ้าแล้ว? นางหวงเป็นคนคล่องแคล่วเฉลียวฉลาด เจ้าสามารถขอคำชี้แนะจากนางได้ อย่าได้เห็นว่านางเป็นเพียงบ่าวและจักเพิกเฉยและสบประมาทนางเชียว”
ตามธรรมเนียมแล้วก่อนจะออกเรือน บิดาจักต้องมาอบรมบุตรสาวต่อหน้าแขกเหรื่อมากมาย แต่เว่ยเจิ้งหงร่างกายอ่อนแอไม่อาจถูกรบกวนได้ แม้จักอยากเห็นงานแต่งงานของบุตรสาวปานใด แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งก็จะไม่ยอมตกปากรับคำเป็นแน่ จึงทำได้เพียงเรียกบุตรสาวมาสั่งความเป็นการส่วนตัวก่อนนางออกเรือน
เว่ยฉางอิ๋งพลันลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “เจ้าค่ะ”
“เมื่อเป็นภรรยาผู้อื่น ไม่เหมือนกับเป็นบุตรสาว ไม่อาจทำทุกสิ่งตามใจได้อีกแล้ว จักต้องรู้จักนอบน้อมรอบคอบ เชื่อฟังพ่อแม่สามี เป็นมิตรต่อพี่น้องของเขา”
“เจ้าค่ะ!”
“สามีเป็นช้างเท้าหน้าภรรยาเป็นช้างเท้าหลัง ต่อไปเจ้าจงเชื่อฟังสามี ตั้งใจ ปรนนิบัติดูแล อย่าได้คอยหาเรื่องหาราว ทำให้บ้านไม่สงบ”
“เจ้าค่ะ!”
“หากพ่อแม่สามีเข้าข้างผู้อื่น ควรให้อภัยไม่ควรเก็บมาคิดเคืองโกรธ หากในเหล่าสะใภ้ด้วยกันมีคำพูดใด สามารถมาไถ่ถามกันเป็นการส่วนตัว อย่าได้ผู้ใจเจ็บแค้นด้วยเหตุนี้”
“เจ้าค่ะ!”
“ระวังคำพูดระวังกริยา เรื่องในบ้าน ห้ามเล่าสู่ภายนอก เรื่องไร้สาระภายนอก จงอย่านำเข้าบ้าน! ทุกคำพูด ทุกการกระทำ จงจำไว้ให้ดี อย่าได้ขัดต่อขนมธรรมเนียมของตระกูลเว่ยของเรา!”
“เจ้าค่ะ!”
พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเว่ยเจิ้งหงพลันมีสีแดงฉาบขึ้นมาอย่างไม่เป็นปกติ ฮูหยินซ่งรีบว่า “เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ แต่ไรมาบุตรสาวของเราเป็นคนเชื่อฟังอย่างยิ่ง เรื่องเหล่านี้ล้วนรู้ดีอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งไปรินน้ำชาร้อนมาจอกหนึ่ง และป้อนให้บิดาดื่มสองสามอึก เว่ยเจิ้งหงยิ้มบางๆ แล้วว่า “เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อต้องกำชับบุตรสาวก่อนออกเรือนสักรอบหนึ่ง… คาดว่าท่านย่าและท่านแม่ของเจ้าคงเคยบอกมาแล้วหลายครั้ง” จากนั้นน้ำเสียงก็พลันเปลี่ยน ในสีหน้าซีดขาวนั้นพลันมีความเฉียบคมฉายแววออกมา แล้วสั่งความอย่างราบเรียบว่า “เพียงแต่ฐานะของตระกูลเว่ยของเรามิได้อ่อนด้อยกว่าตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง เมื่อเจ้าพยายามปฏิบัติตนเป็นภรรยาอย่างเต็มกำลังแล้ว หากว่า…บ้านเสิ่นรังแกเจ้า ก็ไม่จำเป็นต้องอดทนจนเกินไป เพียงส่งคนกลับมาบอก บ้านเราก็จัก… ทวงความยุติธรรมให้แก่เจ้าเอง!”
ที่สุดน้ำตาของเว่ยฉางอิ๋งก็ร่วงลงมา สะอื้นไห้ว่า “เจ้าค่ะ!”
“บุตรสาวโตแล้ว ก็ยากจะไม่ออกเรือนได้” แววตาเว่ยเจิ้งหงอ่อนโยน จ้องมองนางพลางยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “ไม่ว่าเจ้าจะแต่งออกไปกับผู้ใด ที่สุดแล้วก็ยังเป็นลูกของพ่อและแม่ของเจ้า เมื่อพบเจอกับอุปสรรค ก็อย่าได้ลืมส่งคนกลับมาบอกเล่าแกพ่อแม่ แม้วันหน้าพ่อแม่จะไม่อยู่แล้ว ก็ยังมีฉางเฟิง อย่างไรพวกเจ้าก็ยังเป็นพี่น้องร่วมท้อง ต้องคอยช่วยประคับประคองซึ่งกันและกัน…”
ฟังถึงตรงนี้ แม้แต่ฮูหยินซ่งเองก็ยังร้องไห้ออกมา
แม้ว่าเว่ยเจิ้งหงจะสงบนิ่งมาเนิ่นนาน แต่ก็กลับถอนหายใจเบาๆ มือข้างหนึ่งกุมมือภรรยา อีกมือหนึ่งลูบหัวบุตรสาว เว่ยฉางอิ๋งสัมผัสได้ว่าฝ่ามือของบิดานั้นใหญ่กว้าง แห้ง ไร้เรี่ยวแรง จนกระทั้งรู้สึกว่ามีความเย็นด้วยหลายโรครุมเร้า
ฝ่ามือนี้ช่างอ่อนแอ อ่อนแอเสียจนนางสามารถหักให้สะบั้นได้โดยง่าย แต่ยามที่ลูบอยู่บนหัวของนางกลับทำให้นางเกิดความอุ่นใจที่ไร้ที่มาที่ไป
ดังลูกนกที่ถูกปกป้องไว้ใต้ปีก รู้สึกสงบปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก แม้ต้องเผชิญหน้ากับทุกสรรพสิ่ง ก็ยังมิรู้สึกหวาดกลัวใดๆ
__________________________
[1] แร่กลีบหิน (mica) มีหลายสี ลักษณะเด่นคือเป็นแร่แผ่น ลักษณะเป็นชั้นๆ มีความวาวแบบแก้ว โปร่งใสถึงโปร่งแสง