ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 95 หวีผม
“หวีที่หัวครั้งที่หนึ่ง มั่งคั่งมิต้องกลัดกลุ้ม
หวีที่หัวครั้งที่สอง ไร้โรคภัยไร้กังวล
หวีที่หัวครั้งที่สาม บุตรมากมี อายุยืนยาว
หวีอีกครั้งจนถึงปลายผม สามีภรรยาให้เกียรติซึ่งกัน
หวีถึงปลายผมครั้งที่สอง ดังสองปีกร่วมโบยบิน
หวีถึงปลายผมครั้งที่สาม ร่วมใจสามัคคีปรองดอง
หวีจากหัวลงไปถึงปลาย ร่วมสุขกันไปชั่วชีวิต!”
วันที่เก้าเดือนสาม เป็นวันมงคลที่เว่ยฮ่วนเป็นผู้เลือกสรรมาเอง ทั้งจวนรุ่ยอวี่ถังมีการประดับตกแต่งใหม่ทั้งหมด มีดอกไม้ประดับงดงามอยู่ทั่วทุกแห่ง ทั้งยังมีการขนสิ่งของประดับหลายหลากชนิดเข้าในเรือนเสียซวงติดต่อกันมาหลายคืน ประหนึ่งตัดเอาภาพตะวันตกดินที่ขอบฟ้าอันแสนงดงามมาปูเอาไว้ในโลกมนุษย์เช่นนั้น
นางเฉียนซึ่งเป็นอาสะใภ้ในตระกูลเว่ยผู้หนึ่ง และเป็นผู้ที่มีบุตรและธิดาครบพร้อม บิดามารดายังอยู่ และมีสามีรักใคร่ปรองดองได้ถูกเชิญมาหวีผมให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง หวีงาช้างประดับอัญมณีหวีลงบนผมดำขลับดังปีกกา ราวกับกำลังวิ่งอยู่บนผ้าไหมเนื้อต่วนชั้นเลิศเช่นนั้น… ตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เว่ยฉางอิ๋งก็ถูกเร่งให้ตื่นขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ สาวใช้สองสามคนผลัดกันเอาผ้ามาช่วยเช็ดผม แต่จนยามนี้ก็ยังคงเปียกอยู่บ้าง หวีงาช้างจึงได้หวีลงมาได้อย่างลื่นไหลเป็นที่สุด
หวีครั้งที่หนึ่ง หวีครั้งที่สอง หวีครั้งที่สาม…
พร้อมกับเสียงร้องเพลงของบรรดาท่านอาแม่บ้าน และแม่นมที่เป็นที่ยอมรับว่ามีวาสนาดี นางเฉียนช่วยเว่ยฉางอิ๋งเกล้าผมเป็นทรงผมของหญิงที่แต่งงานแล้วอย่างคล่องแคล่ว… มวยผมดังก้อนเมฆดำขดซ้อนกันและก่อตัวสูงขึ้นไป เผยให้เห็นแก้มขาวใสดังหิมะทั้งสองขาง เมื่อเทียบกับทรงผมก้นหอยคู่ ก้นหอยเดี่ยว ทรงม้วนผมสองวงเกล้าครึ่งหัวและทรงอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความร่าเริงสดใส ทรงผมของหญิงที่แต่งงานแล้วจะยิ่งทำให้ดูสุขุมและสุภาพกว่า
นางเฉียนเอาหวีจุ่มน้ำ เพื่อเก็บไรผมเล็กๆ ที่หลังหูขึ้นมาให้เรียบร้อย จากนั้นถอยออกไปสองก้าวเพื่อสำรวจดูให้ละเอียดว่ามีเส้นผมที่ยังไม่ได้รวบขึ้นอีกหรือไม่ ยามนี้ผมดำขลับตัดกับใบหน้าที่ยังไม่ได้ตกแต่งอย่างเด่นชัด ยิ่งเผยให้เห็นรูปโฉมที่งดงามของเว่ยฉางอิ๋งได้อย่างชัดเจน ดังดอกกุหลาบที่เบ่งบานอยู่เต็มสวน งดงามตระการตา ความเจิดจ้าของวัยสาวที่ไม่อาจมีสิ่งใดบดบังหรือปิดกั้นได้ ผสานกับกลิ่นอายหอมหวาน ท่าทีเหนียมอาย และการเฝ้าถวิลหาที่ขจรขจายอยู่ทั่วทั้งตัวของเจ้าสาว ช่างงดงามเปล่งประกาย เจิดจ้าวับวาม จนทำให้ไม่อาจมองไปตรงๆ ได้
ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจชื่นชม นางเฉียนตั้งสมาธิ แล้วรับเอาเส้นด้ายในถาดที่ยื่นเข้ามาให้ แล้วใช้ด้ายขัดใบหน้า[1]ให้นางต่อ… ในพิธีที่สลับซับซ้อนแต่กลับเป็นการอำนวยพรและแสดงความห่วงไยหนแล้วหนเล่านี้ แรกเริ่มนั้นเว่ยฉางอิ๋งยังรู้สึกหวาดกลัวและสับสนอยู่บ้าง ทว่าเมื่อผ่านไปเพียงไม่นาน ในใจของนางนอกจากความรู้สึกว่าต้องพยายามทนยืนหยัดต่อไปให้จงได้แล้วก็ไม่มีความคิดใดอื่นอีก…
แต่ไรมา เรื่องเครื่องประดับของเจ้าสาวถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญและต้องใส่เอาไว้ให้มากที่สุด ตระกูลเว่ยมั่งคั่งสูงส่ง เครื่องประดับทุกอย่างล้วนเป็นทองและเงินแท้ ลำพังมงกุฎดอกไม้ที่สานจากเส้นไยทองคำแท้ ฝังอัญมณีหลากสีประดับเอาไว้จนทั่ว และตรงกลางเป็นดอกมู่ตานที่ทำจากไข่มุกนับร้อยเม็ดชิ้นนี้ก็มีน้ำหนักหลายจินแล้ว เมื่อสวมให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง นอกจากจะหันหน้าไปซ้ายขวาแล้ว แม้แต่จะก้มหรือเงยหน้าก็ยังทำไม่ได้เลย นางจึงอดจะทอดถอนใจไม่ได้ว่า “เคราะห์ดีที่เป็นข้า หากเป็นคนที่ร่างกายอ่อนแอบอบบางสักหน่อย หาไม่ถูกทับจนคบหักก็คงจักแปลกแล้ว!”
ด้วยเหตุที่ทั้งสามีและบุตรของนางเฮ่อล้วนเสียชีวิตไปแล้ว แม้นางจะเป็นหนึ่งในคนที่ต้องไปอยู่กับเว่ยฉางอิ๋งหลังแต่งงานทั้งยังเป็นแม่นมด้วย แต่วันนี้กลับมิได้มาปรากฏตัว และรีบหลบไปที่อื่นตั้งแต่เช้า นางหวงซึ่งเป็นคนตอบความในยามนี้มีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า “หาใช่ว่าผู้ใดก็จะรับสิริมงคลจากไข่มุกล้ำค่าที่อยู่เต็มศีรษะเช่นนี้ได้นะเจ้าคะ คุณหนูใหญ่รับได้ไหว นับเป็นการบอกชัดแล้วว่าชะตาของคุณหนูใหญ่นั้นสูงส่ง นับแต่เกิดมาก็หาใช่คนธรรมดาจะเทียบเทียมได้เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าที่ข้าว่านั้นหาได้ต้องการจะเปรียบเทียบกับผู้อื่นที่มีฐานะต่างกันไม่ หากแต่ต้องการจักพูดถึงสตรีในตระกูลสูงศักดิ์ที่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาแต่เล็กเช่นข้าต่างหาก เพียงแต่ว่าในวันที่กำลังมีพิธีสำคัญเช่นวันนี้ไม่เหมาะจะมาพูดคุยเล่น นางจึงได้แต่เงียบปากไว้
จากนั้นคนทั้งห้องต่างพากันเยินยอนางตามนางหวงขึ้นมา
ยามนี้ฮูหยินซ่งยังไม่มีเวลาว่างมาดู ตามธรรมเนียมแล้วจักต้องเป็นพวกพี่น้องผู้หญิงมาอยู่ด้วย ทว่าบรรดาคุณหนูตระกูลเว่ยนั้น เว่ยฉางเสียนคุณหนูรองของจวนจิ้งผิงกงอ้างว่ากลัวจะดวงชงกับลูกผู้น้องทั้งยังต้องคอยดูแลบุตรจึงไม่ได้มาแล้ว ข้างฝ่ายรุ่ยอวี่ถังทางนี้ เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่มีพี่น้องผู้หญิงแท้ๆ เว่ยเกาฉาน และเว่ยฉางเยียน ลูกผู้น้องทั้งสองคนก็เกิดเรื่องขัดใจกันมาก่อนหน้านี้ วันนี้ถึงจะมาแล้วแต่ก็ไม่ค่อยกล้าพูดสิ่งใด
นางเฉียนที่ได้รับเชิญมานี้มิใช่คนในตระกูลโดยตาง แม้จักเป็นญาติผู้ใหญ่ แต่ด้วยฐานะอาสะใภ้ก็ย่อมไม่กล้าจะทำการใดมากมายนัก ทั้งยังเห็นว่าเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยี่ยนซึ่งเป็นคุณหนูในตระกูลเองต่างไม่ยอมเอ่ยสิ่งใด เช่นนั้นแล้ว นอกจากคำพูดมงคลที่จำเป็นต้องกล่าวตามพิธีแล้วนางจึงไม่ค่อยเอ่ยปากมากนัก ด้วยเกรงว่าหากไม่ระวังก็จักทำให้เกิดเรื่องเกิดราวจนเป็นการล่วงเกินตระกูลสายหลักเอาได้
ดังนี้แล้ว ทำให้ในเรือนเสียซวงไม่ค่อยครึกครื้นนัก…ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดี นางหวงเห็นเหตุการณ์จึงอดจะร้อนรนขึ้นมาไม่ได้ เพียงแต่เมื่อนางเริ่มเอ่ยปากขึ้นมาสองสามครั้ง จากนั้นทุกคนก็พากันว่าตามแล้ว ก็กลับไม่รู้ว่าจักพูดสิ่งใดอีก
นางหวงจึงส่งสัญญาณให้เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียน แต่จนใจเหลือเกิน อย่าว่าแต่พี่น้องทั้งสองมีเรื่องบาดหมางใจกับเว่ยฉางอิ๋งมาก่อนจึงทำให้ยังไม่กล้าพูดจากับนางมาจนถึงวันนี้ ต่อให้ไม่มีเรื่องบาดหมางใด พวกนางเองก็มิได้เป็นคนช่างเจรจามาแต่ไรอยู่แล้ว เมื่อถูกนางหวงคอยส่งสายมาตาเรื่อยๆ กลับยิ่งทำให้พวกนางรู้สึกกลัวจนร้อนรนนั่งไม่เป็นสุข
โชคดีที่เว่ยฉางเอ๋อมาถึงทันเวลาพอดี
คุณหนูหกผู้นี้เป็นนักสร้างบรรยากาศให้มีชีวิตชีวาตัวยงมาแต่กำเนิด นับๆ ดูแล้วก็เคยทำพลาดแค่เพียงเมื่อตอนที่อยู่ต่อหน้าซ่งไจ้สุ่ยคราก่อนเพียงครั้งเดียว แต่นั่นก็เพราะนางไม่รู้จักข้อห้ามสำคัญของซ่งไจ้สุ่ยเท่านั้น
เมื่อนางก้าวเข้าประตูมา ตาของนางก็เบิกกว้างในทันใด พลางยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากแล้วจับจ้องไปที่เว่ยฉางอิ๋งอยู่เป็นนาน จากนั้นจึงชี้ไปยังลูกผู้พี่ของตน แล้วร้องถามขึ้นมาท่ามกลางผู้คนว่า “นี่มิใช่เทพธิดาจากสวรรค์หรอกหรือ? ใช่พี่สามของข้าเสียที่ใดกัน? พวกท่านอย่าได้จำคนผิดเชียว!”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะ แล้วกล่าวชมความงามของเว่ยฉางอิ๋งตามคำนาง จากนั้นเว่ยฉางเอ๋อยังแสดงท่าทีไม่พอใจต่อเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยี่ยนว่า “พี่สี่และพี่ห้าก็จริงๆ เชียว ทั้งที่ก็อยู่ที่นี่และเห็นพี่สามแต่งเนื้อแต่งตัวมาตั้งนานแล้ว เห็นข้าตื่นตระหนกเพียงนี้ก็ไม่ยอมบอก เอาแต่ดูข้าเสียมารยาทอยู่ได้!”
เมื่อถูกนางพูดจาใส่เช่นนี้ เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนจึงรีบขอขมา แล้วเว่ยฉางเอ๋อก็ยังอาศัยข้ออ้างว่าตนมาช้า สอบถามเรื่องขั้นตอนการแต่งกายของเว่ยฉางอิ๋ง เมื่อเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนถูกนางสอบถามก็ประหนึ่งว่าได้รับหน้าที่สำคัญ และพากันอธิบายให้นางฟังโดยละเอียด
เว่ยฉางอิ๋งเองจึงได้โอกาสเย้าแหย่กลับไปว่า “ฉางเอ๋อ เจ้าถามเสียละเอียดปานนี้ คงจักจดจำเอาไว้ใช้ยามถึงคราวของตนเองกระมัง?”
เว่ยฉางเอ๋อเป็นคนมีนิสัยช่างเจรจาอยู่แล้ว นางมิได้กลัวการเย้าแหย่ของลูกผู้พี่เลยแม้แต่น้อย กลับหัวเราะเสียงดังแล้วว่า “ผู้ใดจักไม่มีวันออกเรือนเล่า? จะว่าไปน้องสาวเช่นพวกเราหากไม่เรียนรู้จากพี่สาวแล้วจักให้ไปเรียนรู้กับผู้ใด? ยิ่งไปกว่านั้นท่านพี่มีชาติกำเนิดสูงส่ง พรั่งพร้อมทั้งปัญญาและรูปโฉม ทั้งยังได้แต่งงานกับพี่เขยแสนดีในตระกูลสูงศักดิ์ เช่นนี้แล้วย่อมมีวาสนาดีมาแต่กำเนิด งานครานี้ไม่ว่าจะทำสิ่งใด จะไม่มีแต่เรื่องมงคลหรอกหรือ? ถามให้มากเข้าไว้ก็จักพลอยได้ความโชคดีไปด้วยเช่นไรเล่าเจ้าคะ”
“ดูวาจาของคุณหนูหกของเราสิเจ้าคะ” นางหวงเองก็ยังอดจะยิ้มออกมาจากใจจริงไม่ได้ พลางว่า “ข้าน้อยกลับมาที่นี่หลายวันแต่ยังมิได้ไปคารวะคุณหนูหก ไม่คิดว่าบ้านตระกูลเว่ยของเราจักมีผู้ล้ำเลิศเช่นคุณหนูหกนี้ ดังคำที่ว่าพูดเพียงดอกบัวออกจากปาก กล่าววาจาได้ล้ำเลิศดังไขมุกเชียวเจ้าค่ะ!”
ก่อนนี้เว่ยฉางเอ๋อไม่เคยพบนางหวง ทว่าก็พอจะเคยได้ยินถึงฐานะของนางหวงมาก่อน ยามนี้จึงกล่าวว่า “ท่านอาหวงเกรงใจแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่พวกพี่ๆ ล้วนสงบเสงี่ยมเรียบร้อย มีเพียงข้าผู้เดียวที่อายุน้อยกว่าผู้อื่นสองปีจึงไร้เรื่องต้องพะว้าพะวง คิดถึงสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้นออกมาก ซึ่งก็เพราะว่าพวกพี่ๆ เอ็นดูข้างจึงมิได้ถือสาต่างหาก!”
เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะฮ่าๆ ออกมา แล้วว่า “หากบอกว่าน้องสี่และน้องห้าสงบเสงี่ยมเรียบร้อยยังพอทำเนา ส่วนตัวข้าเองก็ชอบทำเรื่องครื้นเครงเช่นกัน” นี่เป็นวันเช่นใด แต่เจ้ายังจะมาหักหน้าตนเองอีก! นางหวงพูดไม่ออกบอกไม่ถูกจนถลึงตาใส่นางคราหนึ่ง
“พี่สามนั้นห้าวหาญองอาจต่างหากเจ้าคะ!” โชคดีที่เว่ยฉางเอ๋อหรี่ตาลงและพูดออกมาทันใด “ไม่เหมือนข้า ข้าห่วงแต่เล่น”
แล้วนางก็ดึงเอาเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยี่ยนมาร่วมสนทนาด้วย “พี่สี่ พี่ห้า ท่านว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนรีบตอบว่า “พี่สามเก่งทั้งบู๊บุ๋น ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราไม่มีความรู้เลย” แล้วพูดถึงเว่ยฉางเอ๋อว่า “ฉางเอ๋อเป็นคนร่าเริงไร้เดียงสา และเป็นคนน่ารักนิ่งนัก แต่พวกเราพี่น้องกลับไร้ประโยชน์ที่สุด เป็นเช่นท่อนไม้สองท่อนเช่นนั้น วันนี้ล้วนไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดดี หวังว่าพี่สามจะให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางเอ๋อยิ้มอย่างไร้เดียงสาแล้วว่า “พี่สาม ท่านอาหวงดูเอาเถิดเจ้าค่ะ ข้าบอกว่าพี่สี่และพี่ห้าล้วนสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ทั้งยังถ่อมตนด้วย มาชมเชยพวกเราแต่กลับบอกว่าตนเองไร้ประโยชน์”
“น้องสี่และน้องห้าทำงานเย็บปักถักร้อยเก่งกาจนัก ทั้งยังเป็นคนอ่อนโยนและสุภาพ” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มบางๆ หนหนึ่ง กล่าวว่า “น้องหกกล่าวถูกแล้ว ที่นี่ก็มิได้มีคนนอกอยู่ ท่านอาสะใภ้ยี่สิบเอ็ดก็เป็นคนในบ้านเราเอง น้องสาวทั้งสองไยต้องถ่อมตนเช่นนี้เล่า?”
นางเฉียนยิ้มพลางว่า “คุณหนูตระกูลเว่ยของเรา ทุกคนล้วนเป็นสตรีตระกูลใหญ่ที่พรั่งพร้อมทั้งความสามารถและรูปโฉม… เรื่องนี้ยังต้องพูดอีกหรือ? ต่อให้ภายนอกจะกล่าวคำร้ายใด แต่นั่นก็ต้องให้มีคนเชื่อเสียก่อน!”
“ท่านอาสะใภ้ยี่สิบเอ็ดกล่าวถูกต้องจนไม่มีสิ่งใดถูกต้องกว่านี้แล้วเจ้าค่ะ!” เว่ยฉางเอ๋อกรอกดวงตาดำขลับของนางไปเล็กน้อย แล้วหัวเราะฮิๆ ออกมา กล่าวว่า “พอกลับไปข้าจะเอาคำของท่านอาสะใภ้นี้ไปบอกแก่ท่านแม่ ท่านแม่จักได้ไม่ต้องเอาแต่ไม่พอใจที่ข้าไม่เรียบร้อยพอ!”
เพราะการมาเยือนของเว่ยฉางเอ๋อทำให้เรือนเสียซวงครึกครื้นขึ้นมา เมื่อฮูหยินซ่งหาเวลาว่างมาได้นั้นก็ได้ยินคนทั้งห้องกำลังพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์และหดหู่ใจก็กลับลดลงไปมาก
เวลานี้เครื่องแต่งกายต่างๆ ของเว่ยฉางอิ๋งก็เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ยังคงสวมเสื้อและกระโปรงที่ใส่อยู่บ้านเป็นปกติ นั่นเพราะว่ามงกุฎดอกไม้และเครื่องประดับต่างๆ ก็มากมายอยู่แล้ว หากสวมคู่กับชุดออกงานพิธีก็จะดูหนักเกินไป เมื่อฮูหยินซ่งเข้ามา ท่ามกลางแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลินางได้เห็นบุตรสาวทำทรงผมของหญิงที่แต่งงานแล้ว พร้อมมีไข่มุกและมรกตประดับอยู่เต็มศีรษะ งดงามเหนือสิ่งใดเทียบเทียม ในใจนางรู้สึกภาคภูมิใจในรูปโฉมของบุตรสาวยิ่งนักทั้งยังรู้สึกอาวรณ์เสียเหลือเกิน… นางไม่เพียงคิดถึงตนเองครั้งเมื่อออกเรือนครานั้น ที่ตนคอยแต่คะนึงหาลูกผู้พี่ที่ร่างกายอ่อนแอ ทว่าสง่างามเหนือคนผู้นั้น ยามแต่งกายแม้ว่าจะถูกพวกพี่สาวน้องสาวและพี่สะใภ้เย้าแหย่เสียจนหน้าแดงหูแดง ทว่าภายในใจกลับเฝ้าหวังว่าจักได้เข้าบ้านและเคียงคู่กับลูกผู้พี่เสียในเร็ววัน
ครานั้นมารดาของนางและแม่เฒ่าซ่งต่างเข้าประตูมากล่าวคำกับนาง ท้ายสุดก็กอดนางร่ำไห้ ยามนั้นแม้ฮูหยินซ่งเองก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย แต่เพราะใจคอยพร่ำคิดถึงลูกผู้พี่ จึงมิได้รู้สึกเศร้าโศกนัก จนกระทั่งหลังแต่งงาน ในขณะที่ฮูหยินซ่งคอยดูแลเว่ยเจิ้งหงอยู่นั้นก็เกิดรู้สึกคิดถึงเจียงหนานบ้านเดิมของตน คิดถึงบิดามารดาขึ้นมา… เมื่อนั้นเองจึงได้เข้าใจความอาวรณ์และความคะนึงหาของมารดาในครานั้น
แต่ตระกูลเว่ยและซ่งแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันมาหลายชั่วอายุคน และฮูหยินซ่งก็ยังแต่งงานกับลูกผู้พี่ของตน แม่สามีก็เป็นท่านอาแท้ๆ ของตนเอง อย่าว่าแต่จงใจทำให้นางต้องร้อนใจเลย ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็มีแต่เพียงจงใจเข้าข้างนางเท่านั้น ดังนั้นนางจึงมิได้รู้สึกหวาดกลัวสิ่งใดยามตนออกเรือน
ยามนี้ถึงคราวฮูหยินซ่งต้องแต่งบุตรสาวออกเรือนเองแล้ว ด้วยบุตรสาวต้องแต่งออกไปไกล และด้วยเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อปีที่แล้ว นางจึงยิ่งรู้สึกอาลัยอาวรณ์และคะนึงหามากกว่าฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเว่ยในครานั้นเสียอีก
หากไม่ได้มายืนในจุดนี้ ก็จะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นแม่… ความโศกเศร้าหลายปีที่ไม่มีทางระบายให้ผู้ใดฟัง ความลำบากยามตั้งครรภ์ ความเจ็บปวดเมื่อคลอดบุตร ความปิติยินดีจนแทบคลุ้มคลั่งและความรู้สึกอยากจะทะนุถนอมเหลือคณานับยามได้เห็นบุตรสาวคนโตร้องอุแว้ๆ เสียงดังอยู่ในผ้าอ้อม… ฮูหยินซ่งจดจำได้อย่างแม่นยำว่าหลังจากตนคลอดบุตรนั้นร่างกายอ่อนแอเป็นอย่างมาก ทว่าก็ยืนกรานไม่ดื่มยาเพื่อให้ตนนอนหลับ เพื่อขอให้ได้เห็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนแรกของตนด้วยตาตนเองเสียก่อน เมื่อได้เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่มีสีแดงไปหมดและหลับตาร้องไห้เสียงดังของบุตรสาวแล้ว นางถึงกับไม่รู้ว่ามีเรี่ยวมีแรงมาแต่ที่ใด พลันผลักพวกแม่นมออก ลงไปคลาน คุกเข่าลงไปบนพื้นที่เคยเหยียบ แล้วโขกหัวแรงๆ ลงกับพื้นหนหนึ่งเพื่อแสดงความขอบคุณต่อสวรรค์ด้วยความจริงใจ
สิบเจ็บปีที่มองนางประหนึ่งเป็นอัญมณีล้ำค่า สิบเจ็บปีที่คอยดูแลแต่เช้าจรดค่ำ สิบเจ็ดปีที่คอยพร่ำสอน… เรื่องที่น่าเศร้าคือ ‘มารดาคอยดูแลบุตรโดยมิต้องถูกบังคับ แต่ที่สุดแล้วบุตรสาวก็ต้องไปเป็นลูกบ้านอื่น’
เดิมทีเมื่อฮูหยินซ่งหาโอกาสมาได้ ทุกคนต่างพากันยิ้มแย้มยินดีและกล่าวทักทายนาง แต่เมื่อเห็นนางเอาแต่จดจ้องเว่ยฉางอิ๋ง จึงพากันชมเชยเว่ยฉางอิ๋งขึ้นมา แต่กลับไม่คิดว่าเมื่อฮูหยินซ่งนิ่งเหม่อไปเกือบเค่อ น้ำตาของนางก็พลันไหลรินลงมา!
ทุกคนล้วนรู้ดีกว่านางรักใคร่บุตรสาวปานใดจึงมิได้รู้สึกแปลกใจอันใด และพากันมาปลอบประโลมนาง แม่นมซือยิ้มพลางว่า “วันนี้เป็นวันดีของคุณหนูใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นท่านเขยและคุณหนูใหญ่มีชาติตระกูลสมกัน ทั้งยังเป็นสามีที่เก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น มีจิตใจกว้างขวาง เรียกได้ว่าเป็นคู่สวรรค์สร้าง ก็มิน่าเล่าที่ฮูหยินจะปิติจนร้องไห้ออกมา!”
นางหวงกล่าวต่อว่า “ก็มิใช่หรือไร? เพียงแต่ยิ่งเพราะเป็นเช่นนี้ ฮูหยินจึงยิ่งควรจักรื่นเริงถึงจะถูก เมื่อครู่นี้ข้าน้อยยังคิดว่าเมื่อฮูหยินมาก็จักต้องยิ้มไม่หุบเชียวเจ้าค่ะ!”
“ลำพังเพียงรูปโฉมของคุณหนูใหญ่ของพวกเราหลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องแล้ว ฮูหยินก็ควรจะยิ้มไม่หุบแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมซือยิ้มพลางว่า “เจ้าสาวที่งดงามเพียงนี้ บ้านใดเล่าจะไม่คอยเชิดชูดูแลประดุจเป็นไข่มุกงาม? คุณหนูใหญ่เป็นที่รักใคร่ของบ้านเราเสมอมา ตามความเห็นของข้าน้อยแล้ว หลังจากคุณหนูใหญ่ออกเรือนก็จักยิ่งเป็นที่รักของผู้อื่นจึงจะถูก”
ฮูหยินซ่งถูกพวกนางพูดเสียจนยิ้มออก ตนเองหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่ดวงตา สะอื้นเล็กน้อยพลางเชิญให้ทุกคนนั่งลง แล้วกล่าวทั้งรอยยิ้มและน้ำตาว่า “เป็นดังนั้น… เพียงแต่ข้าก็มีบุตรสาวเพียงคนเดียว ครานี้ต้องแต่ออกไปไกล อย่างไร…ในใจก็รู้สึก…”
เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งเองก็จะต้องร้องไห้ออกมา ฮูหยินซ่งจึงลอบสะกดจิตใจตนเอง พยายามฝืนเอาไว้ แล้วปลอบว่า “เด็กดีรีบกลั้นน้ำตาไว้ วันนี้เจ้าต้องออกจากเรือน จักไม่เป็นมงคล”
ทั้งยังกลัวว่าเว่ยฉางอิ๋งจะกลั้นไม่ไหวและร้องไห้ต่อไป จึงรีบบอกว่า “เจ้าแต่งกับเขยที่ล้ำเลิศ นี่เป็นเรื่องดี… ของเตรียมพร้อมหมดแล้วหรือ?”
นางหวงโค้งตัวแล้วว่า “เรียนฮูหยิน แต่เช้ามาก็ตรวจนับดูอีกรอบแล้วเจ้าค่ะ”
“ชุดแต่งงานเล่า? เอาออกมาก่อน มาดูว่ามีที่ใดขาดตกบกพร่องหรือไม่”
“เจ้าค่ะ!”
ฮูหยินซ่งอาศัยการสอบถามถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้มากลบเกลื่อนสายตาของทุกๆ คน และเบี่ยงเบนความสนใจตนจากความอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อบุตรสาว อาศัยจังหวะที่เว่ยฉางอิ๋งมิทันสังเกต ยกนิ้มขึ้นมาปาดที่หางตาหนหนึ่ง บนนิ้วมือนั้นมีน้ำเปียก แล้วพลันหดนิ้วเข้าในแขนเสื้อเพื่อเช็ดมันจนแห้ง โดยไม่มีซุ่มเสียงใด….
______________________________
[1] ด้ายขัดใบหน้า ในไทยเรียกกันว่า “หมั่งหมิง” ใช้ด้ายขัดกันคล้ายรูปกรรไกร มาขัดและถอนขนบนใบหน้า