Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ - ตอนที่ 101
บทที่ 101 สิ่งที่เรียกว่าความจริง (5)
ถังเสวี่ยก้าวไปข้างหน้า กันอี้เป่ยซีไว้ข้างหลัง เงยหน้าขึ้น ตอนนี้น้ำตาเอ่อล้นขอบตาแล้ว “คุณ ทำไมคุณต้องหลอกฉัน ฉันนึกว่า คุณชอบฉัน ชอบฉันจริงๆ ถึงได้ ได้คบกับฉัน…”
“ร้องไห้พอแล้วยัง?”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด เด็กสาวในห้องต่างสะดุ้งโหยง ถังเสวี่ยเบือนหน้าหนีด้วยความคับข้องใจ “เป่ยซี ขอโทษนะ รู้งี้ฉันก็ควรจะเช็คให้มั่นใจ มั่นใจว่าเขาคือใคร ขอโทษนะเป่ยซี ฉันไม่รู้ว่าเขาคือลู่เยี่ยจิ่งจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าเขาก็คือคนนั้นที่คอยจะทำร้ายเธอ”
ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะเยาะเย้ย “คุณไม่รู้เหรอ?” เขาเลิกคิ้ว “งั้นผมก็ชักอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาซะแล้วสิ”
“นายคิดจะทำอะไรกันแน่?” อี้เป่ยซีดึงมือของถังเสวี่ย รวบรวมความกล้ามองตาของลู่เยี่ยจิ่งโดยตรง
“ถังเสวี่ยก็พูดชัดเจนแล้ว ฉันจะพูดอะไรได้อีก”
ใบหน้าถังเสวี่ยเผยความตื่นตระหนก ดึงอี้เป่ยซีไปอีกทาง “เป่ยซี เธอกลับไปก่อนเถอะ ฉัน ฉันยังมีเรื่องต้องคุยกับเขา”
“ถังเสวี่ย”
“ไม่เป็นไรเป่ยซี เธอกลับไปก่อน เขาไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก ฉันยังอยากจะถามอะไรเขาบางอย่าง” พูดพลางมองไปทางลู่เยี่ยจิ่งเป็นระยะๆ ระคนความหลงใหลที่ล้ำลึก คิ้วของอี้เป่ยซีพันกันยุ่ง “เป่ยซี ถ้าเขาอยากจะทำอะไรฉันก็คงทำไปนานแล้ว ตอนนี้คนที่ไม่ปลอดภัยที่สุดก็คือเธอ ถึงยังไงฉันก็ยังเป็นคุณหนูบ้านถัง เขาไม่ทำอะไรฉันหรอก”
ลู่เยี่ยจิ่งมองทั้งสองคนตรงหน้า “พูดได้น่าฟังจังเลย”
“ลู่เยี่ยจิ่ง” อี้เป่ยซีส่ายหน้า ‘เธอไม่รู้หรอกว่าอำนาจของลู่เยี่ยจิ่งน่ากลัวแค่ไหน บ้านถังก็ปกป้องเธอไม่ไหว’
“เป่ยซี เธอออกไปก่อน เธอออกไปก่อนได้หรือเปล่า” พูดลางถังเสวี่ยก็ผลักบังคับให้เธอออกไปจากห้อง อี้เป่ยซีตบๆ ประตูสองสามครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
‘ไม่ได้ ปล่อยให้ถังเสวี่ยอยู่กับเขาตามลำพังมันอันตรายเกินไป ต้องรีบตามคนมาช่วย’
ถังเสวี่ยปิดประตู ถอนหายใจยาว “ทำไมถึงพูดแบบนั้น คิดจะเปิดโปงฉันหรือไง? คุยกันแล้วว่าจะช่วยฉันกำจัดความเคลือบแคลงใจของอี้เป่ยซีไม่ใช่หรือ?”
“ฉันแค่รับปากว่าจะมา ฉันไม่ได้รับปากว่าจะช่วยเธอ”
“งั้นนายมาทำไม?”
ลู่เยี่ยจิ่งส่ายหน้า “อาจเพราะอยากทำดี อาจเพราะอยากทำเลว หรืออาจเพราะเบื่อ”
“นาย…” ถังเสวี่ยเดินเข้าไปหาเขาทันที ครุ่นคิดแล้วก็ลดมือของตัวเองลง “นายคิดอยากจะทำอะไร เรื่องนี้พวกเราไม่ได้เข้าสงครามเดียวกันหรือไง?”
เขายกมือขึ้นแคะหูของตัวเอง “ฉันพูดตั้งแต่ตอนไหนว่าจะร่วมสงครามเดียวกับเธอ ฉันไม่เคยยอมรับตำแหน่งเพื่อนร่วมรบอย่างเธอเลย”
“นายอยากจะทำอะไรกันแน่ ที่ฉันทำแบบนี้ก็เป็นการช่วยนายทางนึงไม่ใช่เหรอ”
“อยากทำอะไรงั้นเหรอ?” ลู่เยี่ยจิ่งแสร้งทำเป็นพินิจพิเคราะห์ พยักหน้า “นี่เป็นคำถามที่ดี อยากจะทำอะไร ฉันก็ต้องอยากให้คนเลวหายสาบสูญไปอยู่แล้ว ไม่ก็ได้รับบทลงโทษที่สาสม เธอว่าใช่หรือเปล่า”
“นาย…” ความเกลียดชังในดวงตาของเขาทำให้ถังเสวี่ยตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว “ลู่เยี่ยจิ่ง นายมันไม่มีเหตุผล”
“รู้ว่าฉันไม่มีเหตุผลก็อย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า อวดฉลาด ที่ถูกลั่วจื่อหานจับตามองก็เพราะเธอ เธอนึกว่าทำดีต่อหน้าอี้เป่ยซีนิดหน่อยแล้วจะมีประโยชน์งั้นเหรอ น่าตลกจริงๆ”
ถังเสวี่ยกำมือแน่น “ฉันอยู่ข้างกายเขาวันนึง ก็ทำอะไรได้มากขึ้นวันนึง นายทำได้เหรอ?”
ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะ ลุกขึ้นยืนขายาวๆ ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ถังเสวี่ย จนกระทั่งตัวเธอชิดติดประตู ถังเสวี่ยมองเขาด้วยความตื่นกลัว “นายจะทำอะไร”
“ทำอะไรเหรอ? หึ” ลู่เยี่ยจิ่งมองถังเสวี่ยด้วยความจริงจัง ยื่นมือบีบคางของเธอ บังคับให้เธอสบตากับเขา “เธอไม่เคยคิดล่ะสิว่าเพราะตัวเองขี้เหร่ หลานฉือเซวียนก็เลยไม่ได้คบกับเธอ?”
“แก…” เธอเงื้อมมือ ยังไม่ทันฟาดลงไปก็ถูกลู่เยี่ยจิ่งจับเอาไว้ ออกแรงกดไว้ที่ประตู “นายปล่อยฉันนะ”
จู่ๆ ลู่เยี่ยจิ่งก้มหน้า ดมผมของเธอด้วยความคลุมเครือมาก โน้มตัวไปข้างแก้มของเธอ ลมหายใจอุ่นทำให้ถังเสวี่ยตัวสั่น “ถ้าเธอยังไม่เชื่อฟังอีก ฉันก็ปกป้องเธอจากลั่วจื่อหานไม่ได้”
“ฉัน ฉันรู้แล้ว ฉันจะไม่ จะไม่ลงมือเองอีกแล้ว”
“ดีมาก” ลู่เยี่ยจิ่งปล่อยเธอ “ยังมีอีกเรื่องนึง กลิ่นตัวของเธอน่าสะอิดสะเอียนมาก” พูดจบก็ผลักเธอ เปิดประตูแล้วก้าวเท้าจากไป หันหน้ามองปลายรองเท้าผ้าใบสีขาวที่โผล่ออกมาจากมุมหนึ่ง มุมปากยกยิ้ม
หลังจากอี้เป่ยซีเห็นลู่เยี่ยจิ่งออกไปแล้วก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องส่วนตัว เห็นถังเสวี่ยนั่งหมดแรงอยู่บนพื้น ใบหน้าเปื้อนน้ำตา ผมเผ้าและเสื้อผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย ข้อมือราวกับว่ายังแดงบวมอยู่
“ถังเสวี่ย เจ้าคนชั่วนั่น เขา เขาทำอะไรกับเธอ?”
ถังเสวี่ยส่ายหน้า “เป่ยซี” เธอกอดอี้เป่ยซีทันที “ฉันทรมานจังเลย เขาหลอกใช้ฉันแบบนี้ได้ยังไง ฉันนึกว่า ฉันนึกว่าฉันจะเจอความรักของฉันแล้วจริงๆ แต่ว่าทำไมต้องหลอกฉันด้วย ทำไมต้องหลอกฉัน”
“ถังเสวี่ย ขอโทษนะ เพราะฉันผิดเอง ขอโทษนะ”
“ไม่โทษเธอหรอกเป่ยซี เพราะฉันเอง เพราะว่าฉันถูกความรักทำให้เลอะเลือน เกือบจะทำให้เธอลำบาก เป่ยซี เธอยกโทษให้ฉันได้หรือเปล่า พวกเรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ไหม”
อี้เป่ยซีประคองไหล่ของเธอ หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเช็ดน้ำตาให้เธอ “ถังเสวี่ย เธอไม่ผิดจริงๆ อย่าเสียใจไปเลย”
ถังเสวี่ยคว้าแขนของเธอ พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “แล้วพวกเรายังเป็นเพื่อนที่ดีกันอยู่ไหม?”
เธอพยักหน้า “ถังเสวี่ย เด็กโง่”
“เป่ยซี แต่ว่าฉันยังเสียใจอยู่เลย”
“ไม่เป็นไร มันจะผ่านไป”
ทันใดนั้นประตูก็เปิดพรวด เสียงอันดังทำให้เด็กสาวสองคนที่อยู่ในห้องตกใจ อี้เป่ยซีหันไป เห็นลั่วจื่อหานที่กระวนกระวาย มีเม็ดเหงื่อซึมอยู่บนหน้าผาก ในเวลานั้นเองทั้งสองสบสายตากัน ราวกับได้ยินเสียงหัวใจเต้นของกันและกัน
หลังจากถังเสวี่ยเห็นคนที่เข้ามาแล้วก็ซ่อนตัวอยู่หลังอี้เป่ยซี อี้เป่ยซีนึกว่าเธอกลัว ตบๆ หลังของเธอ “ไม่เป็นไร ฉันเป็นคนเรียกลั่วจื่อหานมาเอง ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร เขาเป็นคนที่ดีมากๆ เธอไม่ต้องกลัว”
ลั่วจื่อหานเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว มองซ้ายมองขวาบนตัวเธอ เห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงโล่งอก “เธอไม่เป็นไรนะ”
อี้เป่ยซียกมือขึ้นเช็ดๆ เหงื่อบนใบหน้าเขาโดยไม่รู้ตัว “ฉันไม่เป็นไร พวกเราไม่เป็นไร” ลั่วจื่อหานกอดเธอแน่น สายตาที่มองถังเสวี่ยมีคำเตือนแฝงอยู่
“นายปล่อยนะ ยังมีคนมองอยู่”
“ไม่มีคนก็กอดได้ใช่ไหม?”
“นายปล่อยก่อน อย่ากวน” อี้เป่ยซีทุบๆ ไหล่ของเขา ลั่วจื่อหานจึงปล่อยเธออย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก มองอี้เป่ยซีประคองถังเสวี่ยขึ้นมาอย่างเย็นชา
“ประธานลั่ว ขอบคุณมาก”
ลั่วจื่อหานยิ้มเยาะ “สภาพเธอแบบนี้ ไม่ควรจะขอบคุณฉันหรอก”
อี้เป่ยซีรู้สึกได้ว่าร่างกายของถังเสวี่ยสั่นเทิ้ม มองตำหนิลั่วจื่อหาน ราวกับว่ากำลังตำหนิเขาว่ามีตาแต่ไร้แวว “ถังเสวี่ย เขาก็เป็นแบบนี้ ชอบพูดจาแปลกๆ ถ้าเธอชินก็ดีแล้ว”
“อืม เป่ยซีขอบคุณนะ”
ลั่วจื่อหานฟังเด็กสาวพูดคุยกันไร้สาระอยู่เงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร อี้เป่ยซีก็ไม่ได้มองเขา จูงถังเสวี่ยออกไปด้วยกัน
“ฉันจะไปส่งเธอ” เขาตามไป แต่อี้เป่ยซีไม่ได้ตอบ
————