Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ - ตอนที่ 141
บทที่ 141 เรื่องกวนใจรอบสอง (10)
อี้เป่ยซีกลับถึงบ้าน ข้างในไม่มีใครเลย ดื่มไปหนึ่งแก้วก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง อี้เป่ยซีล้มตัวลงบนเตียง ความง่วงค่อยๆ เข้าจู่โจมเธอ พลิกตัวกอดผ้าห่มแล้วผล็อยหลับไปด้วยความซึมกะทือแล้ว
หลังจากลั่วจื่อหานออกไปจากจิ่นหยวนแล้วก็ขับรถกลับไปที่บริษัทเพื่อเริ่มจัดการเรื่องงานทันที เมื่อมองดูวางแผนที่เต็มไปด้วยตัวอักษรสีดำแล้วก็หงุดหงิดใจ นวดคลึงคิ้วอย่างแรง
ทำไมมักจะมีสังหรณ์ใจไม่ดีเลย เป่ยซี…
เขาเพิ่งจะแตะโทรศัพท์มือถือ มันก็เริ่มสั่น ลั่วจื่อหานมองดูชื่อของสายเรียกเข้า กดปุ่มรับสายอย่างเกียจคร้าน “มีอะไรก็รีบพูด”
“เอ๊ะ ทัศนคติแย่จังเลย งั้นฉันก็ไม่บอกนายเรื่องของเป่ยซีแล้ว”
“เซี่ยเช่อ นายรีบบอกเขาเถอะ” ราวกับว่าหลานฉือเซวียนอยู่ข้างๆ เขา กระตุ้นอย่างอดไม่ได้ ลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว
“มีเรื่องอะไร”
เซี่ยเช่อพูดอย่างเชื่องช้า “อา นายรู้สินะว่าเป่ยซีก็คือหลิงซี วันนี้ถูกคนกล่าวหาว่าละเมิดสิขสิทธิ์ เหมือนกับว่ามีหลายคนไม่พอใจมาก น่าจะมีคนทำอะไรอยู่เบื้องหลัง ก็แค่รู้สึกว่านายควรจะทำอะไรสักอย่างหรือเปล่า”
“พูดให้ชัดหน่อย”
“ยังไม่ชัดอีกเหรอ ฉันพูดชัดมากแล้วนะ งั้นนายก็ไปหาในเน็ตเองก็แล้วกัน แค่นี้แหละฉันจะวางแล้ว อ่อ จริงสิอีกเรื่อง เพลงที่นายอยากจะเพลิดเพลินคนเดียวก็ถูกปล่อยออกมาเหมือนกัน”
ลั่วจื่อหานกำโทรศัพท์มือถือแน่น “โอเค ฉันรู้แล้ว”
เขาเอาเอกสารวางไว้อีกทาง เปิดหน้าเว็บขึ้นมา เมื่อเห็นลิสต์แล้วในใจก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย แม้เธอจะไม่มีชื่อเสียงมากในวงการ แต่ว่าเมื่อเหตุการณ์แบบนี้แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่จะถูกดันขึ้นมาอยู่บนลิสต์ได้ จะเป็นไปได้ก็เพียงข้อถกเถียงขนาดเล็กเท่านั้น มันจะกลายเป็นข้อโต้แย้งขนาดใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร
เขาสงสัยแต่ก็ยังกดเข้าไปแล้ว
‘เรื่องราวดุเดือดของหลิงซีที่ไม่มีใครรู้’
เขาหัวเราะเย็นชา กวาดตามองเรื่องเหลวไหลยาวเหยียด
เล่าว่าอี้เป่ยซีเป็นเด็กสาวที่มาจากครอบครัวยากจนที่มีความทะเยอทะยาน อยากยกระดับตัวเอง โดยเล่าว่ามีคนเขียนทุกอย่างให้เธอ อีกทั้งยังบอกอีกว่าผลงานชิ้นนี้ลอกเลียนแบบมาจากสิ่งนั้นสิ่งนี้
เรื่องไร้สาระทั้งนั้น
เขาเลื่อนเม้าส์ เห็นการรังแกของชาวเน็ตชุดใหญ่ก็ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะเสียงดัง
พวกแกจะมากล่าวหาคนที่เขาปกป้องสุดชีวิตแบบนี้ไม่ได้นะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักเธอเลย ก็มาบอกว่าตัวเองเข้าใจเป็นอย่างดีและมองเห็นความจริงแล้ว น่าตลก น่าตลก
เขาเห็นว่าเพลงนั้นที่อี้เป่ยซีเพิ่งเขียนได้กลายเป็นจานระบายสีไปแล้ว ในใจสั่นเทิ้ม ‘อี้เป่ยซีเอ๋ย เธอเห็นอะไรพวกนี้หรือยังนะ’
อี้เป่ยซีถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือ เธอลูบหัวที่ยุ่งเหยิง “ฮัลโหล”
“หลิงซีแกมันคนเลว รังแกเทพบุตรของฉันยังไม่พอ ยังก๊อปผลงานใหญ่ๆ อีกตั้งเยอะ คนอย่างเธอมีสิทธิ์อะไรอยู่บนโลกใบนี้”
“หา?”
“แกล้งโง่อะไรล่ะ เธอมันน่าสมเพศ เธอนึกว่าการที่ให้คนอื่นเขียนคำสละสวยให้เธอไม่กี่คำแล้วเต่าทองจะมาติดเบ็ดงั้นเหรอ เธอฝันไปเถอะ ฉันจะบอกให้นะ คนเลว…” อี้เป่ยซีไม่รอเธอพูดจบก็วางหูไปแล้ว จากนั้นโทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงอย่างบ้าคลั่ง สายแล้วสายเล่า
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงบอกว่าเธอคัดลอกผลงานล่ะ แล้วพวกเขามีเบอร์โทรศัพท์มือถือของเธอได้อย่างไร
นี่มันเรื่องอะไรกัน ตอนแรกคิดจะโทรไปถามพี่ชาย แต่เมื่อเห็นโทรศัพท์ที่ส่งเสียงร้องตลอดเวลา ก็เดินไปหน้าคอมพิวเตอร์ เปิดโปรแกรมแชทขึ้นมา ทั้งหมดล้วนมีแต่คนที่ไม่รู้จักส่งข้อความมาด่าทอเธอ ตัวเลขสีแดงสดราวกับว่าจะระเบิดออกมา
มือที่จับเม้าส์ของเธอสั่น เห็นข้อความส่งมาจากรูปโปรไฟล์ที่คุ้นเคย
“ยกเลิกการร่วมงาน”
ทำไมจะต้องยกเลิกด้วย เธอไม่ได้ทำอะไรเลยนี่นา เธอลงแรงไปมากให้กับหนังสือเล่มนี้ ทำไมถึงบอกยกเลิกก็ยกเลิกล่ะ
ไม่ได้ อี้เป่ยซีอย่างเธอไม่เห็นด้วย แม้จะถูกต่อต้านเธอก็ต้องการเหตุผล เมื่อได้รับเนื้อหาจากอีกฝ่ายแล้ว อี้เป่ยซีหลับตาด้วยความหนักอึ้งเล็กน้อย
เมื่อก่อนก็มีคนถูกคัดลอก ตอนนั้นก็วุ่นวายมากพอแล้ว ตอนนี้มาเจอกับตัวเองก็รู้สึกว่ามันมากเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นคราวนั้นเป็นเหมือนแค่การเปิดฉากเท่านั้น
แต่ว่าเธอไม่เคยคัดลอกนี่นา เธอเบะปากด้วยความน้อยใจเล็กน้อย มองดูหลักฐานนานาชนิดที่พวกเขางัดออกมาอย่างเหม่อลอย มองดูคนที่เคยชื่นชมเธอกลับกลายเป็นคนที่รุนแรงที่สุด ถือขวานคอยฟาดฟันเธอ
ช่างเถอะ แต่ยังมีความรู้สึกเสียใจอยู่เลย รู้สึกเหมือนถูกแทงข้างหลังอย่างไรอย่างนั้น
เธออ่านอีกสองสามรอบแล้วกดปุ่มรีเฟรช ทันใดนั้นก็เห็นความเห็นของมู่ไป๋
“ผมเชื่อใจเขา หลิงซีเป็นเด็กสาวที่สง่างามและมีชีวิตชีวามาก” อี้เป่ยซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตัน แต่เมื่อเห็นความคิดเห็นด้านล่าง หัวใจก็เย็นชา
“สงสารเทพบุตรจังเลย ตัวเองต้องมาเจอเรื่องที่ไม่มีความสุขเพราะช่วยเพื่อนในวงการล้างมนทิน เทพบุตรฉันรักคุณ แต่หลิงซีเขาไม่คู่ควร”
“เทพบุตรอย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องแบบนี้เลย เรื่องของหลิงซีทั้งนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย”
อี้เป่ยซีหัวเราะเยาะ แต่กลับทำอะไรไม่ถูก พื้นที่แสดงคววามคิดเห็นของเธออยู่ในมือของศัตรูแล้ว ทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จัก ทั้งที่อยู่ในวงการและไม่ได้อยู่ในวงการ ทุกคนต่างพุ่งเป้าหอกแห่งคุณธรรมไปที่เธอ
อีกทั้งยังทำให้เธอดังใหญ่แล้ว ต้องขอบคุณพวกเขาจริงๆ
เธอครุ่นคิดแล้วแก้ไขย่อหน้า สิ่งที่ควรพูดล้วนอยู่ในหลักฐานของพวกเขาแล้ว ‘พวกเธอคอยดูเถอะ จริงสิอีกอย่าง ถ้าจานระบายสีพวกนั้นเป็นที่ระบายจริงๆ ล่ะก็ ฉันจะรวบรวมวรรณกรรมทุกคำเป็นคำเดียวกันก็ได้ อยากดูไหมล่ะ’ เธอยิ้มยิงฟัน
เธอปิดคอมพิวเตอร์ทันที โทรศัพท์มือถือยังคงส่งเสียงเธอจึงปิดมันด้วยความรำคาญแล้ว ตอนนี้โลกสะอาดแล้วสินะ
เสียงตึงตังดังมาจากข้างนอก อี้เป่ยซีหันไป เห็นอี้เป่ยเฉินเหงื่อออกเต็มหน้าผาก
“เสี่ยวซี”
“พี่ เป็นอะไรไป ทำไมพี่ถึงรีบร้อนขนาดนั้น”
เธอทำลมหายใจให้เป็นปกติ “เธอไม่เป็นไรนะ”
“ไม่เป็นไร มีแต่เรื่องไร้สาระ อ่อจริงสิ พี่ให้ฉันยืมมือถือหน่อยได้ไหม ตอนนี้ฉันไม่สะดวกเปิดมือถือ”
“อืม ได้” เขายื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้เธอทันทีโดยปราศจากความลังเล อี้เป่ยซีกดหมายเลขหนึ่งอย่างรวดเร็ว แล้วกดโทรออก
“สวัสดีค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียก…” ซ้ำอยู่แบบนี้หลายรอบ จากนั้นคนฝั่งนั้นจึงได้รับหมายเลขที่อี้เป่ยซีโทรไป
“ลั่วจื่อหาน” เมื่อได้ยินชื่อของเขา ดวงตาของอี้เป่ยเฉินหดตัวลงทันที ค่อยๆ ถอยออกไปจากห้องของเธอ
“เป่ยซี เธอไม่เป็นไรนะ”
“ฉันไม่เป็นไร ลั่วจื่อหาน นายก็เห็นหมดแล้วใช่ไหม นายอย่าโมโหเลยนะ เรื่องพวกนี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
“อืม โอเค”
“นายไม่ต้องเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้โอเคไหม? ให้ฉันจัดการเอง”
ทางนั้นไม่ได้ตอบเธออยู่นาน อี้เป่ยซีกำชายเสื้อ รอคอยคำตอบ
“ได้ ถ้าเธอต้องการอะไรอย่าลืมมาหาฉัน”
“อืม ฉันรู้แล้ว นายดีจัง”
ลั่วจื่อหานเก็บโทรศัพท์ มองออกไปนอกหน้าต่าง เรื่องนี้เขาจะไม่ยุ่ง แต่ว่าเขาจะไม่ยอมให้เป่ยซีต่อสู้กับคนนั้นตามลำพังแน่นอน
————