Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ - ตอนที่ 175
ตอนที่ 175 คืนดี (2)
“ฮา กล้าหัวเราะผมเหรอ ไว้คุณหายแล้วจะเอาคืนให้เข็ดเลย” น้ำเสียงที่คุ้นเคยโดยพลันทำให้ทั้งสองคนแข็งทื่ออยู่กับที่ ต่างคนต่างมีความคิดเล็กๆ ของตัวเอง
มู่ลี่ไป๋ชักมือที่ยื่นออกไปกลับมา
“คุณพักเถอะให้เต็มที่ ผมจะไปซื้อของกินให้คุณ”
“ไม่ต้อง” เยี่ยฉินตอบเร็วมาก กลัวว่าเขาจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ หน้าของเธอแดงเนื่องจากการเสียมารยาทของตัวเอง “ฉัน ฉันยังไม่หิว”
มู่ลี่ไป๋มองขาของตัวเองรู้สึกโหวงเหวง แต่ก็ไม่ได้เดินขึ้นบันไดต่อ ก้มหน้า “งั้น ผมกลับก่อนนะ คุณพักผ่อนเถอะ”
มือซีดขาวคู่หนึ่งพยายามวางบนมือของเขา สัมผัสนั้นมีความอ่อนแออยู่บ้าง ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรวู่วามและไม่กล้าหายแรง เขาได้แต่ควบคุมเอาไว้ ตอบว่า ‘อืม’ จากลำคออย่างแผ่วเบา
“คุณ…” ขนตายาวของเธอสั่นไหวเล็กน้อย “อยู่ต่ออีกหน่อยได้ไหม”
“ได้”
ฉับพลันนั้นเอง มู่ลี่ไป๋วางมือเธอกลับไปที่ผ้าห่ม “ผมไม่ไปไหน คุณนอนต่ออีกหน่อยเถอะ”
เยี่ยฉินพยักหน้า ค่อยๆ หลับตาลง ลืมเปลือกตาที่หนักอึ้งเป็นครั้งคราว เพื่อดูว่าคนเบื้องหน้ายังอยู่หรือเปล่า ดูว่าเธอฝันไปหรือเปล่า
นี่อาจเป็นประโยชน์และสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเยี่ยฉินในฐานะผู้ป่วยล่ะมั้ง
พอเธอหายดีแล้ว มู่ลี่ไป๋ก็จะหายไปแล้ว สิทธิพิเศษของตัวเองก็จะหายไปด้วย
ถ้างั้นก็ปล่อยให้เธอเอาแต่ใจอยู่ในช่วงเวลานี้สักพัก ไม่ต้องคิดถึงผลที่จะตามมาสักพัก ให้เธอได้อยู่ข้างเขาสักพัก
และหนึ่งเดือนก็ผ่านไปท่ามกลางความหวานชื่นที่เธอหยิบยืมมา…
ตอนนี้อี้เป่ยซีตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว แต่ว่าหน้าท้องยังคงราบเรียบไม่ต่างอะไรกับปกติ เธอคิดว่าไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไปแล้ว เป็นการดีกว่าที่จะรีบบอกผู้ใหญ่ให้ชัดเจน
บอกกับพ่อแม่ของลั่วจื่อหาน…
“กินยาแล้วยัง?” ลั่วจื่อหานส่งเสื้อผ้าให้คนใช้ อุ้มอี้เป่ยซีตัวน้อยขึ้นมาจากโซฟานั่งบนตักของตัวเอง
เบาเกินไปแล้ว ไม่รู้สึกเลยว่ามันคือน้ำหนักของคนสองคน
“จื่อหาน เมื่อไรพวกเราจะไป…ไปหา พ่อแม่ของนาย”
“เธออยากไปเหรอ?”
“ฉันก็แค่รู้สึกว่าแบบนี้…” อี้เป่ยซีรู้ว่าหากตัวเองพูดไปว่าแบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร ลั่วจื่อหานจะต้องมีท่าทีอวดดีพร้อมบอกว่าเธอไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมแน่นอน เธอรีบเปลี่ยนหัวข้อ “จริงสิ ลูกสะใภ้ขี้เหร่ก็ยังต้องเจอกับพ่อแม่สามีเลย นับประสาอะไรกับฉันที่สวยยังกับนางฟ้า”
“ครับๆๆ คุณนายลั่ว”
อี้เป่ยซีตะลึงจากการเรียกของเขา จ้องเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ “นายนี่รู้จักแซวฉันนะ”
“วันศุกร์นี้ไหม”
“หืม? วันศุกร์…ที่…ที่จริง ฉันก็ไม่ได้ อยากเจอพวกเขาขนาดนั้น ไม่ ไม่ต้องรีบขนาดนี้หรอก ฉัน ยังไม่ได้เตรียมตัวเลย”
มือของลั่วจื่อหานกำแน่น ผู้หญิงตัวน้อยของตัวเองใส่ใจกับเรื่องของเขามากขนาดนี้ ในใจก็รู้สึกพึงพอใจมาก “ไม่ต้องหรอก พวกเขาจะมองคนที่ฉันชอบยังไงก็ไม่มีประโยชน์”
“แต่ว่ามันก็ไม่ได้…” อี้เป่ยซียังไม่ทันพูดจบ ริมฝีปากก็ถูกประกบแล้ว จนกระทั่งทั้งสองคนหายใจหอบเล็กน้อย ลั่วจื่อหานจึงปล่อยเธอ บีบๆ ปลายจมูกที่ละเอียดอ่อนของเธอ
“คุณปู่ชอบเธอ พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรหรอก”
ใบหน้าที่บึ้งตึงของอี้เป่ยซีค่อยๆ จางหายไป “นายนี่ฉลาดจริงๆ เลย อา จริงสิ สวรรค์ ลั่วจื่อหาน ทำไมฉันถึงได้ชอบนายขนาดนี้ นายนี่เยี่ยมไปเลย”
เขาลูบหัวของเธอ การกระทำนั้นอ่อนโยนราวกับช็อกโกแลตอันอ่อนนุ่ม
เช้าตรู่ของวันศุกร์อี้เป่ยซีก็ลากแม่ของตัวเองไปเลือกของขวัญที่ห้างด้วยกันแล้ว ลั่วจื่อหานต้องรีบออกไปกลางคันเนื่องด้วยธุระที่บริษัท กำชับอี้เป่ยซีอย่างไม่ค่อยวางใจ และจากไปด้วยความเป็นกังวล
“ทำไมจู่ๆ ก็ไปซะแล้ว” หลังจากที่ได้คลุกคลีกันหลายเดือน คุณแม่อี้พบกว่าเด็กลั่วจื่อหานคนนี้นอกจากจะทำให้คนรู้สึกเย็นชาอยู่บ้างแล้ว ในฐานะลูกเขยของเธอก็นับว่าใช้ได้ ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยอีกทั้งยังนึกถึงลูกสาวของเธอในทุกๆ เรื่อง จะให้แม่ยายคนนี้ไม่ชอบได้อย่างไร
“มีธุระนิดหน่อย พวกเราดูกันเองก็ได้ค่ะ” อี้เป่ยซีลากแม่ของตัวเองไปยังร้านผ้าพันคอไหม “แม่ว่าผืนนี้ใช้ได้ไหมคะ?”
“อัยยาคุณหนูใหญ่ของแม่ ของพวกนี้เชยจะตาย ลูกส่งให้คนอื่นลงเหรอ?”
อี้เป่ยซีมองซ้ายมองขวา แล้วพยักหน้าอย่างเขินอาย “งั้นพวกเราไปดูกันต่อเถอะค่ะ”
ทั้งสองคนช้อปปิ้งกันตลอดทั้งเช้า จึงซื้อผ้าพันคอที่น่าพึงพอใจมาผืนหนึ่งรวมทั้งของบำรุงจำนวนหนึ่ง อี้เป่ยซีรู้สึกว่าวันนี้เธอได้เผาผลาญพลังงานของทั้งปีไปหมดแล้ว
“ในที่สุดก็จบสักที…” อี้เป่ยซีวางของลงบนเก้าอี้ในร้านอาหาร เงยหน้ามองนอกหน้าต่าง เงาสีน้ำเงินผ่านวูบไป
เขานั่นเอง!
ไม่ จะเป็นเขาไม่ได้ เขา เขาไม่อยู่แล้วนี่นา คงเป็นภาพลวงตาของตัวเองล่ะมั้ง
เธอหัวเราะ มือที่ดื่มชายังคงสั่นเล็กน้อย เธอมองออกไปข้างนอกอีกครั้ง เงาสีน้ำเงินนั้นผ่านวูบไปอีกครั้งราวกับวิญญาณ
ถ้วยตกลงบนที่วางแก้วส่งเสียงคมชัด อี้เป่ยซีรีบดึงทิชชู่ออกมาเช็ดสองสามแผ่น
“เป็นอะไรไป? ทำไมดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย”
อี้เป่ยซีรู้ว่าหากตัวเองพูดออกมาจะทำให้คุณแม่เป็นห่วงเธอ ส่ายหน้า “เมื่อกี้นึกถึงหนังผีเรื่องนึง ฉากเหมือนกับที่นี่มากเลย หนูก็เลยอิน”
“…”
“แม่อยากฟังไหมคะ?”
“อี้เป่ยซี ลูกอยากบังคับให้แม่ตีลูกเหรอ”
“อย่าๆๆ ไม่อยากฟังหนูก็ไม่เล่าแล้ว ปากยังขยับได้ก็อย่ารบกวนมือเลยค่ะ”
เงานั้นผ่านวูบไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ราวกับว่าตั้งใจให้อี้เป่ยซีเห็นจึงจงใจหยุดอยู่ครู่หนึ่ง…อี้เป่ยซีกำหมัด สูดหายใจลึก “หนูไปห้องน้ำนะคะ”
เธอวิ่งเหยาะออกไปแต่ก็ไม่เห็นเงานั้น กัดริมฝีปากด้วยความหดหู่เล็กน้อย ก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวอย่างไม่เต็มใจ
จู่ๆ มือที่ใหญ่โตคู่หนึ่งคว้าตัวอี้เป่ยซีไว้ ลากเธอไปยังสถานที่ที่ค่อนข้างลับ
“นาย…” เขามองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ ขาทั้งสองข้างอดไม่ได้ที่จะสั่น…
เขาถอดหมวกออก รอยยิ้มเย็นชามีความเกลียดชังเจือปน “ว่าไง เห็นว่าเป็นฉัน ดีใจมากล่ะสิ”
อี้เป่ยซีประคองกำแพงไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองลื่นไหลลงไป มองเขาด้วยคามกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย “ลู่เยี่ยจิ่ง ทำไมนาย…”
เมื่อลู่เยี่ยจิ่งได้ยินคำถามของเธอ ความโมโหในใจลุกพรึ่บและระเบิดออกมาทันใด เขาบีบคางของอี้เป่ยซี น้ำเสียงโหดร้าย “อี้เป่ยซี เธอทำให้พี่ชายของฉันจากโลกใบนี้ไปตลอดกาล ทำไมเธอถึงยังมีชีวิตอยู่อย่างอิสระแบบนี้ เธอควรจะสวดอ้อนวอนต่อหน้าหลุมศพของเขาเขาทุกวัน ขอให้เขายกโทษให้กับความผิดของตัวเอง เธอไม่คู่ควรกับชีวิตที่มีความสุขแบบนี้ ”
อี้เป่ยซีตัวสั่นไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงอ่อนแอเล็กน้อย “ฉันรู้ว่าฉันมีส่วนรับผิดชอบต่อการตายของลู่เยี่ยหวา แต่ว่าลู่เยี่ยจิ่งนายเคยคิดหรือเปล่า ว่าเยี่ยหวาเขาอยากเห็นพวกเรายึดติดกับความตายของเขา กลายเป็นศัตรูกัน แล้วใช้ชีวิตอยู่อย่างผิดปกติงั้นเหรอ”
“เยี่ยจิ่ง ฉันรู้ว่าฉันทำผิดต่อเยี่ยหวา ทำผิดต่อบ้านลู่ ชีวิตที่เหลืออยู่ของฉัน ฉันจะชดเชยให้พวกนายเอง แต่ฉันจะไม่ทำกับตัวเองเหมือนนักโทษที่แบกไม้กางเขนหรอกนะ”
————