Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ - ตอนที่ 203
ตอนที่ 203 วิกฤตความจำ (1)
ลั่วจื่อหานรู้สึกว่าตัวเองหลับไปนานมาก ทั้งร่างกายและหัวใจรู้สึกว่างเปล่า เขาไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนจึงเห็นแสงรำไรในความมืด ประสาทการรับกลิ่นก็เหมือนจะถูกปลุกด้วยแสงนี้ ปลายจมูกได้กลิ่นหอมของอี้เป่ยซีจางๆ เป็นครั้งคราว
ราวกับว่ามีคนทะเลาะกันข้างๆ เขา ลั่วจื่อหานพยายามตั้งใจฟังว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน แต่เสียงข้างหูนั้นกลับสับสนวุ่นวายขึ้นทุกที น้ำเสียงอันหลากหลายต่างผสมปนเปนเข้าด้วยกัน มันลอยเข้าหูเขาเลือนรางจากระยะไกล ลั่วจื่อหานกำลังจะยอมแพ้แล้ว แต่เสียงหยดน้ำร่วงหล่นก็ดังขึ้นข้างหู
หัวใจของเขาบีบแน่น
เธอกำลังร้องไห้เหรอ? อี้เป่ยซีกำลังร้องไห้ เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงได้เสียใจขนาดนี้ ทำไมต้องหลั่งน้ำตาด้วย
ลั่วจื่อหานใช้กำลังทั้งหมดที่มีในร่างกายเพื่อลุกขึ้น เพื่อลืมตา ดูเหมือนเขาลืมวิธีการทำสิ่งง่ายๆ เหล่านี้ทันใด ต้องออกแรงจากตรงไหน ลั่วจื่อหานทำตัวไม่ถูกและเข้าสู่ความสับสนอีกครั้ง
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องคนไข้ส่วนตัว แสงแดดจ้านอกหน้าต่างลอดผ่านช่องว่างระหว่างผ้าม่านทั้งสอง มันส่องเป็นแสงสีทองยาวบนพื้น ยืดเหยียดไปยังบานประตูที่ปิดสนิท ภายในห้องนอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครเลย
คนเนรคุณ เขายังนึกว่าทันทีที่เขาลืมตาก็จะเจอเธอ…
เป่ยซี ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?
ในหัวของลั่วจื่อหานเต็มไปด้วยคำถามนี้ เขาต้องการจะลุกขึ้น ไม่สนใจแม้กระทั่งบาดแผลของตัวเอง แต่อาการเจ็บที่หน้าอกทำให้เขาต้องนอนกลับลงไปอีกครั้ง
เขาคงหลับไปนานมากสินะ เด็กน้อยคงร้อนใจแย่แล้ว
“ลั่วจื่อจี้ ลั่วจื่อจี้” เสียงของลั่วจื่อหานแหบแห้ง เขาเพิ่งเรียกไปได้สองคำ เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบก็ดังขึ้นนอกประตู จากนั้นก็ผลักประตูเข้ามาในทันที
“พี่ ในที่สุดพี่ก็ตื่นแล้ว พี่ไม่รู้หรอกว่า…”
ลั่วจื่อจี้ยังไม่ทันพูดจบ ผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังก็ไออย่างแรงสองที เขาไม่มีทางเลือกนอกจากยืนหลบไปด้านข้างด้วยสีหน้าอึดอัดใจ คุณแม่ลั่วยังคงมีท่าทางสง่างาม แต่ฝีเท้าที่ไร้ระเบียบกลับเผยอารมณ์ของเธอในขณะนี้ได้อย่างสมบูรณ์
“ลูกตื่นสักที”
ใบหน้าที่ยังคงป่วยของลั่วจื่อหานเผยรอยยิ้มเข้มแข็ง “ขอโทษครับแม่ ทำให้ทุกคนเป็นห่วง”
“ไม่เป็นไร ลูกไม่เป็นก็ดีแล้ว ไม่เป็นก็ดีแล้ว”
ในตอนแรกลั่วจื่อหานต้องการจะเรียกลั่วจื่อจี้เพื่อถามเรื่องของอี้เป่ยซี แต่เนื่องจากแม่ของเขาอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่ควรทำให้แม่ของตัวเองที่ตื่นตระหนกและกังวลใจต่อเขาอยู่เสมอรู้สึกไม่สบายใจ จึงข่มเอาไว้และไม่พูดอะไร ทั้งสองคนพูดคุยกันต่อเล็กน้อย คุณแม่ลั่วไล่ให้ลั่วจื่อจี้ออกไปก่อน ส่วนเธอก็กำชับให้เขาพักผ่อนให้มากๆ ก่อนที่จะออกจากห้องไป
ลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว เขารู้ว่าแม่ของตัวเองไม่ชอบอี้เป่ยซี ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคราวก่อน ทัศนคติที่เธอมีต่ออี้เป่ยซีก็ยังคงเป็นความเกลียดชัง
คราวนี้เกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ แม่ของเขาจะต้องโยนความผิดทั้งหมดให้กับอี้เป่ยซีอย่างแน่นอน เขาอดกังวลไม่ได้ อิทธิพลของลู่เซิงในประเทศ U นั้นยากที่จะแก้ไขและหยั่งรากลึก เรื่องที่สนามบินคราวก่อนก็ไม่สามารถถอนรากถอนโคนได้อย่างสมบูรณ์ เขาไม่สามารถรับรองสถานการณ์ของอี้เป่ยซีได้ อีกทั้งตอนที่เขาหมดสตินั้น ลั่วจื่อจี้ก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก…
ถ้างั้นตอนนี้เป่ยซีก็อาจจะกลับบ้านพ่อแม่ของตัวเองแล้ว หรือไม่ก็เป่ยซีกำลัง…อยู่ที่บ้านของลู่เยี่ยจิ่ง?
เมื่อนึกถึงตรงนี้ คิ้วของลั่วจื่อหานก็กระตุกสองสามที ปลอบโยนตัวเองอยู่ในใจนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังคงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ลงมาได้ เขากดกริ่งบนโต๊ะ ลูกน้องของเขาเพิ่งมาถึงหน้าประตูก็ถูกคุณแม่ลั่วขวางอยู่ด้านหลัง
“เป็นอะไรไป?”
ลั่วจื่อหานเดาถูกว่าแม่ตัวเองคิดจะทำอะไร เขาขยับริมฝีปาก สุดท้ายก็กลืนสิ่งที่ต้องการจะพูดลงไป “ไม่มีอะไรครับแม่”
รออีกหน่อย รอจนถึงกลางคืนค่อยหาโอกาสดึงอี้เป่ยซีกลับมาก็แล้วกัน
เจ้าเด็กแสบคนนี้ ช่างทำให้คนอื่นไม่สบายใจจริงๆ
ตกกลางคืน คุณแม่ลั่วเฝ้าดูเขากินยาด้วยตัวเองจึงจะออกจากห้องไปอย่างวางใจ มือของเธอเพิ่งจะแตะลูกบิดประตู เสียงที่อ่อนแอของลั่วจื่อหานดังขึ้นข้างหลัง
“แม่ครับ เป่ยซีเขาเป็นเด็กดีมากจริงๆ พอแม่รู้จักกับเขาสักพักนึงแล้ว แม่ก็จะต้องชอบเขาแน่ๆ การที่ฟังลมปากของคนข้างนอกแล้วปฏิบัติต่อเขาด้วยอคติ ผมว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไร”
“อืม แม่รู้แล้ว รีบนอนเถอะ อย่าคิดมาก”
“ครับ”
ลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว เปลือกตาค่อยๆ หนักอึ้ง ในที่สุดมันก็ลงมาปิดดวงตาที่ลุ่มลึกคู่นั้น เปลือกตาบนล่างบรรจบเข้าหากันเบาๆ
“แม่ครับ แม่จะทำแบบนี้ไม่ได้ และแม่ก็ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ พี่เขาจะต้องโกรธมากแน่ๆ พ่อ พ่อก็จะไม่เห็นด้วยที่แม่ทำแบบนี้” ลั่วจื่อจี้เฝ้าอยู่หน้าประตู กันไม่ให้คนกลุ่มหนึ่งเข้าไป
“แม่กำลังช่วยพี่ชายลูกนะ! พอเขาตื่นขึ้นมาแล้วเขาก็จะลืมทุกอย่าง ตราบใดที่ไม่ติดต่ออี้เป่ยซีอีก ตราบใดที่ไม่มีใครปากมาก ก็จะไม่มีปัญหาอะไร”
ลั่วจื่อจี้ยืนอยู่หน้าประตูอย่างมั่นคง พูดด้วยความขึงขัง “แม่ไม่รู้เลยว่าอี้เป่ยซีมีความหมายกับพี่ใหญ่มากแค่ไหน!”
“พี่ใหญ่เริ่มออกตามหาเธอตั้งแต่เขาแปดเก้าขวบ เขาหามาสิบสามปี สิบสามปีนี้ พี่ใหญ่เป็นยังไงบ้าง ใช่ว่าแม่ไม่รู้”
“ตอนที่เมาก็ร้องหาเซี่ยเซี่ย เซี่ยเซี่ย ตลอดเวลา ตอนที่บาดเจ็บสาหัสอาการโคม่าก็เรียกหาเซี่ยเซี่ย ถึงมันจะเป็นไปไม่ได้ แต่ตราบใดที่มันเกี่ยวข้องกับเธอ พี่ก็ทำได้ทั้งนั้น”
“แม่ หรือว่าแม่อยากให้พี่ใหญ่ต้องอยู่ในวังวนแห่งความหวังและผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหรอ? พี่ใหญ่เคยทรมานแค่ไหนเขาก็จะทรมานแค่นั้นนะ”
ใบหน้าของคุณแม่ลั่วยังคงเย็นชา “แม่จะบอกเขาเอง ว่าผู้หญิงคนนั้นตายแล้ว”
“แม่ ทำไมแม่ถึงไม่เข้าใจพี่เลย เขาไม่เชื่อหรอก ต่อให้แม่เอาศพของอี้เป่ยซีมาวางตรงหน้าเขา บอกเขาว่าเธอตายแล้ว พี่ก็ไม่เชื่อหรอก”
“พี่จื่อจี้” หลิงจื่อเซี่ยเผยยิ้มอย่างสงวนท่าที “สิ่งที่พี่จื่อหานชอบก็อาจจะเป็นแค่ความหลงใหลก็เท่านั้น อี้เป่ยซีจะมีตัวตนหรือไม่มันก็ไม่สำคัญ การที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน เป็นเพราะว่าอี้เป่ยซีคืออี้เป่ยซี ไม่ใช่ฉู่เซี่ยในอดีต พวกเราก็แค่ให้พี่จื่อหานลืมอี้เป่ยซี แต่ว่าไม่เอาฉู่เซี่ยออกไปนี่นา”
“หลิงจื่อเซี่ย เธอพูดอะไรของเธอ! เสียแรงที่ฉันนึกมาตลอดว่าเธอจริงใจกับพี่ชายฉัน”
หลิงจื่อเซี่ยกำหมัดแน่น “ก็เพราะว่าฉันชอบพี่จื่อหานจริงๆ ก็เลยคิดวิธีนี้กับแม่เพื่อช่วยพี่จื่อหาน อี้เป่ยซีเอาความปัญหาและความวุ่นวายมาให้พี่จื่อหานมากมายแบบนั้น โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งไม่คาดคิด ใครจะรู้ว่าครั้งหน้าพี่จื่อหานจะต้องจ่ายราคาแพงอะไรอีก”
“หลิงจื่อเซี่ย ทำไมเธอถึงไม่แยกแยะผิดถูกแบบนี้”
หลิงจื่อเซี่ยหัวเราะ ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว “พี่ เมื่อกี้ลู่เซิงมาหาฉันแล้ว พี่ทายสิว่าฉันบอกอะไรเขา? เฮ้อ ก็ไม่รู้ว่าพวกลู่เยี่ยจิ่งจะถูกขังไว้ได้นานแค่ไหน จะมีคนไปช่วยอี้เป่ยซีทันหรือเปล่านะ”
————