Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ - ตอนที่ 84
บทที่ 84 จื่อจวีหานซื่อ (4)
ในร้านอาหารเคล้าดนตรี บทเพลงที่ไพเราะหลั่งไหลออกมาจากการกระโดดขึ้นลงของคีย์สีดำขาว เสียงที่นุ่มนวลของนักร้องยิ่งเพิ่มรสชาติของความสง่างามและการผ่อนคลายให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น อี้เป่ยซีจับกระชับกระเป๋าของตัวเอง ไม่มีกะใจชื่นชมเสียงดนตรี พอเห็นเงาที่คุ้นเคย ก็พุ่งปรี่เข้าไปหาด้วยความโมโหเล็กน้อย
“เซี่ยเช่อ นายมันจอมหักหลัง” เธอพูดกัดฟัน
เซี่ยเช่อละสายตาออกจากเมนู กวาดมองอี้เป่ยซีอย่างเกียจคร้าน แล้วพลิกเมนูด้วยความจริงจังเป็นอย่างมาก บอกชื่อรายการอาหารแก่บริกรข้างๆ เป็นครั้งคราว อี้เป่ยซีเห็นว่าเขาไม่ได้สนใจเธอ ทันใดนั้นความโมโหทั้งหมดก็อันตธานหายไป นั่งลงบนที่นั่งตรงข้ามกับเขา ดื่มน้ำเงียบๆ
“เท่านี้ละกัน” ในที่สุดเขาก็สั่งอาหารเสร็จ ส่งเมนูให้บริกรด้วยความสง่างาม ดวงตาที่น่ามองสำรวจคนที่อยู่ตรงหน้าไปทั่ว “มีอะไรอยากพูดไหม?”
“ฉันผิดไปแล้ว ฉันเองก็มีธุระเหมือนกันนี่นา ก็เลยไม่เห็นข้อความของนาย แต่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมนายถึงรีบร้อนเรียกฉันไปขนาดนั้น?”
ริมฝีปากของเซี่ยเช่อยกขึ้น เจือปนความดูหมิ่นและความลึกลับ “เธอทายสิ”
“คราวหน้าฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว นายอย่าโกรธฉันเลยนะ ได้หรือเปล่า?”
“ฉันเคยบอกว่าโกรธเธอเหรอ?”
“หา?”
“ฉันไม่ได้บอกว่าโกรธ คนขี้งกอย่างเธอจะยอมทำของหล่นได้ยังไง เอ๊ะ แต่คุยกันแล้วนะว่าเธอเลี้ยง”
หางตาของอี้เปยซีกระตุก “แน่นอน เป็นเจ้าบ้านที่ดีไม่ใช่เหรอ ฉันเลี้ยง ฉันเลี้ยง”
เขาพยักหน้า ราวกับว่าพอใจในการต้อนรับแขกของเธอมาก สองขาไขว่ห้างกัน ทำทีเอ่ยปากอย่างไม่ใส่ใจ “เป่ยซี เธอเคยได้ยินหลานฉือเซวียนพูดถึงคนคนนึงไหม?”
“เขาพูดถึงตั้งหลายคน นายหมายถึงใคร?”
“ลั่วจื่อจี้”
อี้เป่ยซีนึกย้อนด้วยความจริงจังเป็นอย่างมาก นึกถึงความทรงจำทั้งหมดที่มีร่วมกับหลานฉือเซวียน แต่ไม่มีชื่อนี้ปรากฏออกมาเลย ส่ายหัวกับคนตรงหน้าด้วยความสัตย์จริง “ไม่รู้แฮะ ที่จริง ช่วงหลังนี้เขาไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเองให้ฉันฟังแล้ว นายลองไปถามพวกพี่เป่ยเฉินดูสิ เขาน่าจะรู้อะไรบางอย่าง”
“อือ” เซี่ยเช่อพยักหน้า ในเวลานี้เอง บริกรได้เอาไวน์มาเสิร์ฟแล้ว มาถึงตรงหน้าเซี่ยเช่อและรินให้เขา เงาของแก้วทรงสูงถูกย้อมด้วยสีแดง อี้เป่ยซีจ้องไวน์แดงที่ไหลออกมาแน่นิ่ง
“อย่าได้คิด ดื่มน้ำผลไม้ของเธอไป”
เธอกัดหลอด “ฉันก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำไมถึงยังไม่ให้ฉันดื่ม นายแกล้งฉัน”
“อือ ก็แกล้งเธอนี่แหละ” พูดพลางยกแก้วไวน์ขึ้นมา จิบไปหนึ่งคำ “ฉันนึกว่าเธอจะยึดติดเรื่องราคาของมันซะอีก”
อี้เป่ยซีจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง “เซี่ยเช่อ นายๆๆ…”
“เธอจะเลี้ยงไม่ใช่เหรอ ของที่อยากลองก่อนหน้านี้ก็สั่งมาหมดแล้ว ไม่เป็นไร อย่างมากก็กักตัวเธอไว้ขัดหนี้”
มือหนึ่งของเธอกุมกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง อีกมือหนึ่งกุมหน้าอกของตัวเอง ท่าทางเจ็บปวดอย่างมาก
ทั้งสองคนคุยเรื่องสัพเพเหระกันครู่หนึ่ง หลานฉือเซวียนในชุดสูทสีขาวกับหญิงสาวสวมชุดวันพีซสีขาวเดินมาทางพวกเขา การเคลื่อนไหวมีความระแวดระวังและอึดอัดเล็กน้อย
จนกระทั่งมาถึงที่โต๊ะ อี้เป่ยซีจึงสังเกตเห็นทั้งสองคน บนใบหน้าของเซี่ยเช่อผุดรอยยิ้มขี้เล่น
“คุณนี่เอง เยี่ยฉิน”
“เป่ยซี เธอก็อยู่นี่ด้วยเหรอ” อี้เป่ยซีรีบทักทายเยี่ยฉินที่นั่งลงข้างเธอ หลานฉือเซวียนเม้มปากไม่พูดไม่จานั่งลงข้างๆ เซี่ยเช่อ
“ทำไมนายถึงมากับเยี่ยฉินได้ล่ะ เกิดอะไรขึ้น?”
เยี่ยฉินรีบโบกมือ “เป่ยซี เธอเข้าใจผิดแล้ว คือ คืออย่างนี้ เรื่องการเลือกวิชาของนักศึกษาในคาบพวกเรา ตอนแรกทางมหา’ลัยบอกว่าพวกเขาจะจัดการกันได้ ตอนนี้ผ่านไปเดือนนึงแล้ว เพิ่งมาบอกฉันว่าให้มาหาอาจารย์เซี่ย พอดีเจอประธานหลานระหว่างทาง เขาก็เลยพาฉันมา”
“เอ่อ เรื่องนี้นี่เอง” อี้เป่ยซีเกาหัว “คือว่า ก่อนหน้านี้ ฉันลืมบอกเซี่ยเช่อน่ะ แหะๆ ขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรๆ อาจารย์เซี่ย เรื่องวิชาเลือกของนักศึกษาพวกเรา…” บริกรที่อยู่ข้างๆ มาเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่งยวด
เซี่ยเช่อขมวดคิ้ว หมุนจานใบหนึ่งเล็กน้อย ไม่ได้มองเยี่ยฉินเลย “ตอนนี่เป็นเวลาส่วนตัวของผม ผมไม่ชอบคุยเรื่องงาน”
อี้เป่ยซีเห็นท่าทางเย็นชาและหยิ่งยโสของเขาก็อยากจะชกเขาสักหมัด เธอตบๆ มือของเยี่ยฉิน “ไม่เป็นไรนะ ความหมายของอาจารย์เซี่ยก็คือ ช่วงเวลางานเขาจะต้องแก้ปัญหานี้ให้คุณอย่างแน่นอน เยี่ยฉินคุณวางใจเถอะ”
“เธอสนิทกับเยี่ยฉินตั้งแต่เมื่อไร?” หลานฉือเซวียนพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยถาม
“เอ๊ะ ฉันยังอยากจะถามนายอยู่เลย ว่าทำไมถึงสนิทกับอาจารย์เยี่ยฉินขนาดนี้ แถมยังยอมพาเธอมาที่นี่ด้วยตัวเอง”
หลานฉือเซวียนเหลือบมองเยี่ยฉิน เห็นเธอส่ายหัว ในดวงตาเต็มไปด้วยความวิงวอน “ฉันถามเธอก่อนนะ อย่ายืมแรงเพื่อตอบโต้กลับตลอดเวลาสิ”
“ก็ตอนที่ไปหาเซี่ยเช่อน่ะ เจอระหว่างทาง จากนั้นก็ตกหลุมรักอาจารย์เยี่ยตั้งแต่แรกพบ สองคนรู้สึกดีๆ ต่อกัน โอเคไหม?”
คนที่นั่งอยู่ต่างผงะออกอย่างขยะแขยงกับเรื่องรักที่อี้เป่ยซีจงใจสร้างขึ้นมา เยี่ยฉินยิ้มเจื่อน บนใบหน้าของหลานฉือเซวียนกับเซี่ยเช่อมีอาการคล้ายคลึงกันเล็กน้อย ต่างมีความรังเกียจเหลือจะรับ
“รับเธอไม่ไหวเลย ทำซะจนไม่อยากกินข้าวแล้ว” หลานฉือเซวียนตัวสั่นขนลุกทั่วร่างกาย รินไวน์แก้วหนึ่งให้ตัวเอง
“เอ๊ะ เป่ยซี ทำไมช่วงนี้ไม่เห็นเธอที่มหา’ลัยเลยล่ะ?” บรรยากาศบนโต๊ะกินข้าวลดลงถึงจุดเยือกแข็งฉับพลัน อี้เป่ยซีเอาหลอดที่กัดจนแบนกัดคืนสู่ลักษณะเดิม คนๆ แก้วเล่นด้วยความอึดอัดเล็กน้อย
“เรื่องนี้พูดแล้วมันยาว พวกเรากินไปคุยไปเถอะ”
ดังนั้นเรื่องทั้งหมดจากปากของเธอก็กลายเป็นเรื่องการคัดเลือกเพื่อนร่วมทีมห่วยๆ และการถูกเพื่อนร่วมทีมโกงในเกมส์ การต่อสู้ในที่มืด ความอดทนต่อความหิวโหย ทั้งโต๊ะต่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เธอโล่งอก และหยอกล้อกับสามคนต่อไป
หลังจากกินข้าว เซี่ยเช่อเสนอให้ไปชมนิทรรศกาลภาพวาดในบริเวณใกล้เคียง อีกสามคนเห็นด้วยอย่างง่ายดาย หลังจากมาถึงแล้วจึงพบว่าผลงานหลักที่นำมาจัดแสดงในวันนี้คือภาพวาดเก่าๆ ของจื่อจวีหานซื่อ มีมูลค่าสูงลิ่ว และจัดแสดงน้อยมาก เด็กสาวทั้งสองคนตื่นเต้นจนอดใจไม่ไหว แทบจะกระโดดลอยจากพื้น
“เป่ยซี เธอก็ชอบเขาเหรอ”
อี้เป่ยซีพยักหน้าอย่างแรง “ใช่ๆๆ ฉันชอบเขาที่สุดเลย”
“ได้ยินว่ายังมีภาพวาดน้ำมันบางส่วนของเขาจัดแสดงด้วย เหมือนจะอยู่ทางนั้น” เซี่ยเช่อชี้นำทางพวกเธอสองคน แม้แต่คนนั้นก็อดใจไม่ไหวโบยบินข้ามไปแล้ว สีหน้าของหลานฉือเซวียนที่อยู่ด้านหลังกลับมีความสับสนเล็กน้อย แต่ก็ยังตามเซี่ยเช่อ และเดินทันเด็กสาวทั้งสองคน
หลานฉือเซวียนกระแอมไเบาๆ เดินมาข้างๆ อี้เป่ยซี “เธอชอบจื่อจวีหานซื่อขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ใช่แล้ว ฉันก็บอกนายตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันชอบเขาที่สุดๆ ๆ เลย เวลาที่เห็นภาพวาดของเขาก็รู้สึกเงียบสงบมาก เหมือนกับว่าตัวเองก็อยู่ในอารมณ์ที่ผ่อนคลายและล้ำลึกของเขาด้วย เขาจะต้องมีพรสวรรค์แน่ๆ จะต้องเป็นคนประเภทที่ดีดพิณอยู่ในป่าไผ่ร้างผู้คน ดื่มน้ำจากลำธารทุกวัน เป็นบุรุษที่พูดคุยเยี่ยงมิตรกับดวงจันทร์”
“พูดยังกะว่าเธอเคยเจอเขา” ดวงตาของหลานฉือเซวียนจ้องเขม็งมาที่อี้เป่ยซี
เธอพยักหน้า “เหมือนกับว่าฉันเคยเจอเขา ในภาพวาด ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าภาพวาดไหนก็มีเขาอยู่ข้างใน แต่ไม่รู้ว่าในความเป็นจริงเขาจะมีหน้าตายังไง ทำไมฟังจากน้ำเสียงนายแล้ว นายรู้จักเขาเหรอ?”
“ไม่รู้”
“ชิ อะไรเรียกว่าไม่รู้ ทำตัวลึกลับ เอ๊ะ เยี่ยฉิน พวกเราไปดูทางนั้นกัน”
เซียเช่อเดินมาข้างหลานฉือเซวียนทีละก้าวๆ ด้วยความเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง “อยากพนันไหม?”
“ไม่มีความหมายหรอก พนันอะไร?”
————