องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1000 วิเคราะห์เหตุใดต้องรวมกำลังรบต่อ
“สนทนากับใต้เท้าหวังมักทำให้รู้สึกที่เคยได้ยินได้ฟังได้เห็นมา ล้วนไร้ประโยชน์ ลำบากใจเหมือนกัน!”
หวังซีเจวี๋ยทอดถอนใจเช่นนี้ หวังทงกล่าวตอบว่า ‘ใต้เท้าหวังล้อเล่นแล้ว’ จากนั้นไม่ได้กล่าวอันใดต่อ
วันที่ 27 เดือนสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 16 เมืองเสิ่นหยางเป็นฐานตั้งทัพใหญ่ปราบตะวันออก เมืองเหลียวโจวและสายข่าวที่ต่างๆ รายงานมายังเสิ่นหยาง
ข่าวชัยชนะใหญ่เสิ่นหยางไปถึงเหลียวหยาง หลี่เฉิงเหลียงเริ่มหายป่วยทันที รอข่าวชัยชนะใหญ่แม่น้ำไท่จื่อเหอมาถึง หลี่เฉิงเหลียงก็ขี่ม้าเหยาะๆ ได้แล้ว เมื่อก่อนเหลียวหยางเป็นศูนย์กลางเมืองเหลียวโจว หลี่เฉิงเหลียงเองก็รู้ว่าควรทำตัวเช่นไร ย้ายที่บัญชาการไปยังเสิ่นหยางทั้งหมด
เมื่อเป็นเช่นนี้ หวังทงมีคำสั่งใด เมืองเหลียวโจวก็จะได้ตอบสนองคำสั่งได้ทันท่วงที สะดวกมาก
ก่อนทัพใหญ่ปราบตะวันออกมา พื้นที่อันตรายที่สุด หนึ่ง เสิ่นหยางถูกล้อม สอง เหลียวหนานวิกฤต เพราะสองพื้นที่นี่เคร่งเครียดที่สุด ทำให้ป้อมกำแพงเมืองเหลียวโจวหลายแห่ง มีพวกนอกด่านกลุ่มเล็กรุกรานมาก่อกวนเสมอ บ้างก็เป็นพวกโจรกับพวกมีอิทธิพลในพื้นที่ร่วมสมคบคิดกันวางเพลิงปล้น ตอนนี้สองพื้นที่นี้พ้นวิกฤตแล้ว หลายเส้นทางล้วนสงบตามไปด้วย พวกยังไม่รู้ดีชั่ว ก็รอให้ทัพใหญ่มาปราบ
ข่าวซูเอ่อร์ฮาฉีพ่ายแพ้ยังไม่ทันมาถึง กองกำลังฝู่ซุ่นทางตะวันออกเสิ่นหยางก็กลับคืนสู่การครอบครองของกองกำลังหมิงเมืองเหลียวโจวอีกครั้ง
ตอนเหนือและตะวันออกของเมืองเหลียวโจวยังมีพวกมองโกลกลุ่มเล็กเคลื่อนไหว แต่ชาวเผ่าหนี่ว์เจินกลับเก็บตัวเงียบตลอดแนว ตามรายงานข่าวจากกองกำลังเถี่ยหลิ่ง พวกเขาสังหารตัดหัวโจรเผ่าหนี่ว์เจินได้จำนวนหนึ่ง ล้วนเป็นเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซี
สถานการณ์เมืองเหลียวโจวตอนนี้กลับคืนสู่สภาพก่อนหน้าที่ป้อมเจี้ยฝานไจ้พ่ายศึกแล้ว เป้าหมายทัพใหญ่ปราบตะวันออกบรรลุแล้ว สามารถยกทัพกลับได้แล้ว อย่างน้อยหวังซีเจวี๋ยก็คิดเช่นนี้
“ใต้เท้าหวัง แม้ว่าเมืองเหลียวโจวกลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่ศึกนี้ยังไม่จบ ตอนนี้คิดถอนทัพยังเร็วไป”
หวังทงกล่าวตรงไปตรงมา แต่ไรไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินของหวังทงอย่างหวังซีเจวี๋ย ครั้งนี้กลับแย้งตรงๆ ว่า
“ใต้เท้าหวัง ตอนนี้เสร็จภารกิจใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนกำลังอีก ทำให้สูญเสียงบประมาณแผ่นดิน กองกำลังหู่เวยแม้ว่าองอาจกล้าหาญ แต่เดินทัพทางไกลไปโจมตี ก็ย่อมเหน็ดเหนื่อย ใต้เท้าหวังคิดเพื่อทหาร ก็ควรจะรีบยกทัพกลับเข้าด่านเพื่อบำรุงกองทัพ!”
อย่างไรก็อยู่วงการขุนนางมานานปี พูดไปก็ยิ้มไป หวังซีเจวี๋ยกล่าวด้วยท่าทางสบาบๆ ไม่อ้อมค้อม กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
หวังทงหรี่ตามองหวังซีเจวี๋ย กลับกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง ครั้งนี้ศึกใหญ่รอบเมืองเสิ่นหยางสังหารไปนั้นล้วนเป็นเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีกับมองโกลนอกด่าน แม่น้ำไท่จื่อเหอแม้ว่าสังหารเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว ทำลายกำลังหลักของเจี้ยนโจวได้ แต่ยังไม่ถึงที่สุด ตอนนี้นอกกำแพงเมืองเผ่าหนี่ว์เจินแต่ละเผ่ากำลังระส่ำระสาย มองโกลแต่ละเผ่าก็สูญเสียหนัก เป็นโอกาสให้นู่เอ่อร์ฮาชื่อได้รวบรวมกำลัง หากปล่อยให้ทำได้สำเร็จ ก็ย่อมกลายเป็นภัยใหญ่แผ่นดินหมิง”
หวังซีเจวี๋ยสีหน้านิ่งสงบ ค่อยยกถ้วยชาขึ้นเป่าและจิบเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า
“ท่านแม่ทัพมีความชอบการศึก เรื่องนี้ข้ารู้ แต่นู่เอ่อร์ฮาชื่อตอนนี้ยังจะทำอะไรได้อีก ใต้เท้าหวังดึงดันเช่นนี้ ช่างเหมือนนำมีดสังหารไก่ไปสังหารวัว ไม่ควรๆ เรื่องเล็กเช่นนี้ ให้ทหารเมืองเหลียวโจวไปจัดการก็ได้”
“ตอนนี้ทหารเมืองเหลียวโจวระดับเช่นนี้ จะไปสู้กับเผ่าหนี่ว์เจินได้อย่างไร หากไม่มีกำลังสองเท่า เมืองเหลียวโจวถึงกับไม่อาจมั่นใจว่าจะรบชนะได้ หากแพ้มาอีก สถานการณ์ย่ำแย่ จะใช้ต้องเวลาอีกนาน ไยต้องลำบากเช่นนั้น ใต้เท้าหวังท่านลองดู นู่เอ่อร์ฮาชื่อขอศพปู่และบิดาคืนจากแผ่นดินหมิง รวบรวมกำลังตั้งเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว ครั้งนี้ยังสมคบคิดกับพวกป่าเถื่อนนอกด่าน เรียกเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีมาร่วมรบ รวมกำลังชาวเผ่าหนี่ว์เจิน มีการวางแผน คนเช่นนี้ไม่อาจให้เขาได้ฟื้นตัวได้ หากปล่อยให้เขาได้มีโอกาสพักหายใจ นอกกำแพงเมืองเกิดเหตุการณ์อีก เช่นนั้นย่อมยุ่งยากใหญ่แล้ว”
หวังทงกล่าวหนักแน่น หวังซีเจวี๋ยได้แต่ส่ายหน้ายิ้มเล็กน้อย แม้ว่าหวังทงตั้งแต่ออกจากด่านมารบชนะใหญ่มาหลายครั้ง แต่ไรมาก็มีสถานะเป็นคนออกคำสั่งมาตลอด แต่ในหลักการ หวังซีเจวี๋ยยังคงเป็นผู้นำทัพใหญ่ปราบตะวันออก การจะทำเช่นไรต่อ ท่าทีหวังซีเจวี๋ยแม้ว่าไม่ได้แสดงออกชัด แต่ก็เห็นได้ว่าไม่เห็นด้วย
หากหวังซีเจวี๋ยไม่เห็นด้วย เช่นนั้นทัพใหญ่ก็เคลื่อนไม่ได้จริงๆ แม้เป็นหวังทงนำกองกำลังหู่เวยไปได้ ก็ย่อมเป็นโทษใหญ่ หาเรื่องยุ่งยากให้ตนเอง หวังทงมองหวังซีเจวี๋ยที่สงบนิ่งก็พอเข้าใจ หวังซีเจวี๋ยคิดเช่นนี้ทำเช่นนี้ ย่อมรู้สึกว่าเพื่อชาติเพื่อประชา
หากเป็นเพราะคิดอิจฉาหาเรื่องเช่นนั้นก็จัดการไม่ยาก แต่หวังซีเจวี๋ยกลับมีความคิดดื้อดึงและยึดมั่นไม่คลายเช่นนี้เอง ตอนบัณฑิตต่างดูแคลนหวังทง หวังซีเจวี๋ยกลับกล้าไม่กลัวหวังทง ตอนนี้หวังทงคิดจะก้าวไปอีกขั้น หวังซีเจวี๋ยกลับยืนยันไม่รับคำ
สถานการณ์เช่นนี้ ที่หวังทงทำได้ก็คือเกลี้ยกล่อมว่า
“ใต้เท้าหวัง มองโกลต่างจากเผ่าหนี่ว์เจิน พวกนอกมองโกลด่านเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนบนทุ่งหญ้า พักไม่เป็นหลักแหล่ง รุกรานแผ่นดินหมิงไม่ใช่เพื่อครอบครอง ขอแค่สมบัติเงินทอง ตอนเผ่าอันต๋าเป็นใหญ่บนทุ่งหญ้า มีความสามารถมาก แต่เหตุใดยังตั้งตนสงบที่เมืองกุยฮว่าเฉิง แต่เผ่าหนี่ว์เจินนี่ไม่เหมือนกัน แม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป่ซานนับพันลี้ ไม่ว่าเป็นเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวหรือเป็นเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซี ล้วนตั้งป้อมค่ายเป็นหลักแหล่ง เพาะปลูกทำการค้า หากให้พวกเขารวมตัวขยายอิทธิพล พวกเขาย่อมคิดยึดครองแผ่นดินกว้างใหญ่ของแผ่นดินหมิงเรา นอกด่านพื้นที่หนาวเย็น พอได้มาถึงภาคกลางอบอุ่น พวกเขาอยากมายึดครองเพาะปลูกทำการค้า ไม่อยากถอนกำลังกลับแน่นอน กลับจะคิดตั้งหลักอยู่นาน พวกเลี้ยงสัตว์เร่รอนบนทุ่งหญ้ารู้การบริหารจัดการราษฎรเพาะปลูกได้อย่างไร หากพวกมองโกลเข้ามาในเขตแดนแผ่นดินหมิง ก็แค่จุดไฟสัญญาณบนป้อมกำแพงแจ้งข่าวให้ราษฎรรวบกำลังขับไล่ แต่หากเป็นชาวเผ่าหนี่ว์เจินเข้ามาในเขตแผ่นดินหมิง เกรงว่าไม่นานเท่าไร ชาวนาและที่นาย่อมตนใต้การครอบครองของพวกเขา กำลังเช่นปล่อยนานวันก็ยิ่งเติบใหญ่ราวก้อนหิมะกลิ้งไป”
เห็นสีหน้าหวังซีเจวี๋ยเริ่มลังเล หวังทงรู้ได้ผล รีบตีเหล็กเมื่อร้อนกล่าวต่อว่า
“ข้าแม้ว่าขุนนางบู๊ แต่อ่านประวัติศาสตร์มาด้วยใจชอบ ราชวงศ์สุยรวมกำลังยกทัพปราบโกครูยอ หลายครั้งไม่ได้ชัยกลับมา ใต้หล้าระส่ำ สูญชาติสิ้นแผ่นดิน ราชวงศ์ถังจึงได้แผ่นดินไปครองต่อ ว่ากันมีตัวอย่างก่อนหน้าเช่นนี้ ปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ถังถึงฮ่องเต้ถังกาวจงล้วนปรีชาสามารถ เหตุใดพอชาติมั่นคงก็ต้องเริ่มยกทัพไปปราบโกครูยอ เหตุใดตั้งแต่ฮ่องเต้ถังไท่จงมาถึงถังกาวจง ระยะเกือบ 40 ปี จึงยกทัพปราบโกครูยอไม่หยุด จนกระทั่งทำลายราบได้…”
พูดถึงตรงนี้ หวังซีเจวี๋ยเงียบไป หวังทงเล่าประวัติศาสตร์ต่อหน้าเขา ก็เหมือนสอนหนังสือสังฆราช เหตุใดราชวงศ์สุยและถังต้องปราบโกคูรยอ เรื่องนี้เขาย่อมเข้าใจ แต่คิดไม่ถึงหวังทงถึงกับเอาโกครูยอไปเทียบกับการรวมตัวกันของเผ่าหนี่ว์เจิน และพอถูกหวังทงกล่าวเช่นนี้ คิดเช่นนี้ สองกลุ่มนี้ก็เหมือนมีจุดร่วมเหมือนกัน
“ใต้เท้าหวัง เผ่าหนี่ว์เจินไม่เหมือนเกาหลี ชาวเกาหลีอ่อนแอการรบ แต่เผ่าหนี่ว์เจินกลับรบเก่งกล้า หาก…”
หวังทงยังจะพูดต่อ หวังซีเจวี๋ยเอ่ยตัดบทขึ้น กล่าวว่า
“ท่านแม่ทัพ สถานะท่านตอนนี้ถือว่าขุนนางสูงสุดมากแล้ว หากยังแสวงหาความชอบไม่หยุดเช่นนี้อีก คิดการใดกันแน่?”
หวังทงอึ้งไป ตามด้วยส่ายหน้า หัวเราะลั่นออกมา เมื่อครู่ตอนโน้มน้าวก็เคร่งเครียดมาก ยามนี้จึงได้นั่งลงกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังที่แท้คิดเช่นนี้ ท่านคิดว่าข้าแสวงหาความชอบไม่หยุดเช่นนี้ ยังรบชนะต่อเนื่องเช่นนี้ เพื่อสร้างความดีความชอบต่อเนื่องเช่นนี้ เป็นการคิดการไม่ซื่อกระมัง!”
คิดไม่ถึงหวังทงกล่าวตรงเช่นนี้ หวังซีเจวี๋ยเองก็อึ้งไป ตามมาด้วยน้ำเสียงผ่อนลงว่า
“ใต้เท้าหวังตรงไปตรงมา ข้าไม่เข้าใจจริงๆ หากทุกเรื่องล้วนมีแผนการ ข้าร่ำเรียนตำรามานานปี กว่าจะโดดข้ามฝูงปลามาสู่ตำแหน่งขุนนางนี้ได้ แต่ละก้าวมาถึงวันนี้ ก็ล้วนเพื่อชาติเพื่อประชา และก็เพื่ออำนาจวาสนาตนเองเช่นกัน ท่านแม่ทัพเป็นขุนนางคนสนิทฝ่าบาท ยังมีความดีความชอบมาก มากแทบล่มเมือง ล้วนถึงขั้นนี้แล้ว กลับยังอยากรบเช่นนี้ ข้าอ่านหนังสือปราชญ์มามาก ก็พอรู้เรื่องทางโลก ทำอะไรก็ย่อมคิดผลที่ได้ แต่ใต้เท้าหวังคิดต้องการสิ่งใด ยังต้องการสิ่งใด ข้ากลับมองไม่ออก มองไม่เข้าใจ ออกศึกมาหลายวัน ทหารก็ล้วนคิดถึงบ้าน คิดอยากกลับบ้านกันแล้ว”
หวังซีเจวี๋ยกล่าวจบ ก็ล้มตัวพิงพนักเก้าอี้ รอหวังทงตอบ ความคิดนี้เป็นที่เข้าใจได้ หวังทงหากอธิบายไม่ได้ ก็คงได้ผลตามมาที่ไม่ต้องคิดก็รู้ได้
หวังทงมองหวังซีเจวี๋ย ยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง หากข้าบอกว่าข้าชอบออกศึก เคยตั้งปณิธานไว้ว่า ต้องกวาดล้างพวกป่าเถื่อนนอกด่านแผ่นดินหมิงให้หมดไป เพื่อบุกเบิกพื้นที่ให้แผ่นดินหมิง เหตุผลนี้ได้ไหม?”
หวังซีเจวี๋ยยิ้มส่ายหน้า หวังทงเองก็ยิ้มกล่าวว่า
“ตอนนี้ หลักการบนโลกนี้ วาจาคุณธรรมเช่นนี้ไม่มีผู้ใดคิดเชื่อ กล่าวว่าคิดเพื่อประโยชน์ตน กลับเป็นจริงมากกว่า”
กล่าวจบ หวังทงก็ควักเอาฎีกาหนึ่งส่งให้หวังซีเจวี๋ย ยิ้มกล่าวต่อว่า
“ใต้เท้าหวังลองอ่านดู เดิมทีไม่อยากเอาออกมาเร็วเพียงนี้”
หวังซีเจวี๋ยเปิดฎีกาออกอ่าน สีหน้าก็นิ่งค้างไปทันที หวังทงคว้าพู่กันและหมึกของหวังซีเจวี๋ยมาลบข้อความด้วย ตนเอง พอลบเสร็จ ก็หยิบพู่กันเขียนลงไปบนฎีกาสองสามอักษร จากนั้นประทับตราตนเอง ส่งให้หวังซีเจวี๋ย จากนั้นเอ่ยถามขึ้นว่า
“ใต้เท้าหวัง เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวรบไม่รบ?”
ได้เห็นฎีกาแล้ว หวังซีเจวี๋ยก็นิ่งเงียบไปนาน เงยหน้ามองหวังทงอีกที จิตใจก็สับสนอย่างมาก
……
วันที่ 25 เดือนสอง ใต้เท้าหวังผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพหวังซีเจวี๋ย แม่ทัพหวังทง ขันทีเฉินจวี่ ผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียง รวมกำลังทัพใหญ่ปราบตะวันออกและทหารเมืองเหลียวโจว
ผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพหวังซีเจวี๋ยประกาศว่าต้องการกำจัดให้สิ้น ไม่ให้พวกนอกด่านมีโอกาสได้พักหายใจ ออกคำสั่งให้ทัพใหญ่ปราบตะวันออกแต่ละหน่วย และทหารม้าเมืองเหลียวโจวห้าพัน ทหารราบสามหมื่น ออกรบเจี้ยนโจว
ครั้งนี้ไม่ได้ทิ้งทหารราบเมืองจี้โจวเฝ้าเมือง หากไปด้วยกัน เมืองเหลียวโจวครั้งนี้เคลื่อนกำลังหมดหน้าตัก แต่ทว่าทหารราบก็เอาไปเป็นได้แค่คนงานในกองทัพ นับๆ ไปมา ศึกครั้งนี้นำทัพใหญ่รบเจี้ยนโจวรวมเกือบเจ็ดหมื่น ล้วนเป็นทหารกล้าแผ่นดินหมิง ขนาดใหญ่จนน่าตกใจ
ตอนหวังทงนำกำลังออกรบแรกๆ หวังซีเจวี๋ยนั่งเป็นประธานด้านหลัง เรื่องนี้ หนึ่ง เพราะไว้ใจ สอง ดูเหมือนว่าสองฝ่ายไม่สนิทกัน ต้องรู้ว่าขุนนางบุ๋นที่อื่นคุมกำลัง ต้องนั่งเป็นประธานการรบ แต่ทว่าที่เสิ่นหยาง หวังซีเจวี๋ยกับหวังทงมักจะสนทนาส่วนตัวกันมาก สายสัมพันธ์เห็นชัดว่าใกล้ชิด ทุกคนล้วนรู้สึกงง