องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1001 อุบายแกล้งปล่อย
วันที่ 2 เดือนสาม หวังทงนำทัพใหญ่ออกจากเสิ่นหยาง เตรียมใช้เส้นทางกองกำลังฝู่ซุ่น จากด่านฝู่ซุ่นออกนอกกำแพงเมืองไปปราบเผ่าหนี่ว์เจิน หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่ล้วนนั่งเป็นประธานที่เมืองเสิ่นหยางเช่นเดียวกับยามหวังทงโจมตีเสิ่นหยางและช่วยเหลียวหนาน
เมืองเสิ่นหยางกำแพงหนาและสูง เสบียงเพียงพอ อยู่ที่นั่นแน่นอนปลอดภัยไร้กังวล ทุกคนล้วนมองสถานการณ์แง่บวก หลายชัยชนะที่ผ่านมา ทัพศัตรูถูกวาดสิ้นซาก ชาวเผ่าหนี่ว์เจินนอกกำแพงเมืองแม้ยังมีอยู่ แต่ต่อหน้าทัพใหญ่เช่นนี้ ไม่อาจมีแรงต้านทานใดได้อีก
ชัยชนะเรียกได้ว่าตอกฝาโลงแล้ว ฎีการายงานชัยชนะส่งม้าเร็วไปยังเมืองหลวงแล้ว เมืองหลวงมีคนไม่น้อยเร่งเดินทางมา
คนมาจากเมืองหลวง มีทั้งผู้แทนพระองค์ที่ราชสำนักส่งมาถามไถ่ มีทั้งคนที่พวกชนชั้นสูงในเมืองหลวงแอบยัดทะนานส่งตามมาด้วย ชัยชนะใหญ่อยู่แค่เอื้อม พวกที่ได้ปฏิบัติงานในกองทัพนี้ล้วนจะได้พระราชทานรางวัลอย่างงาม วันหน้าอาจได้ประโยชน์มากมาย ทัพใหญ่เปิดศึก ลำบากอันตราย ลูกหลานตระกูลมากอำนาจวาสนาแน่นอนไม่อยากมาลำบากด้วย แต่พอมีความมั่นใจว่าชนะแน่นอน ก็คิดจะหาทางเชื่อมสะพานมาเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย
ยังดีที่รู้ว่าคนเช่นหวังทงไม่ได้คบหาด้วยง่ายนัก ขุนนางปกติไม่กล้าหาช่องทางแทรกตัวเข้ามา แต่คนระดับนี้อย่างไรก็สถานะล้วนไม่ธรรมดา หวังซีเจวี๋ยก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง หางานสบายๆ ให้ปฏิบัติหน้าที่กัน
เสิ่นหยางเดิมทีเป็นเมืองรุ่งเรืองอันดับสองในเมืองเหลียวโจว ในเมืองสิ่งบันเทิงต่างๆ ล้วนไม่ขาดแคลน พอหลุดจากวงล้อมได้ เรื่องเหล่านี้ก็ยิ่งรุ่งเรือง พวกว่างงานที่มาแสวงหาความดีความชอบจากกองทัพก็มีที่หาความสำราญ
รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยในคณะเสนาบดีใหญ่ ผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพทัพใหญ่ปราบตะวันออกมาจากตระกูลคหบดีใหญ่แดนใต้ พิถีพิถันเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าอาภรณ์ เป็นคุณชายที่รู้จักเสพสุขไม่น้อย แต่หวังซีเจวี๋ยก็รู้จักแยกแยะ ไม่เคยแสดงตัวเหลวไหลกลางทัพใหญ่ กินใช้ไม่ต่างจากเฉินจวี่และหวังทงนัก
แต่ทว่าหวังทงนำทัพใหญ่ออกจากเสิ่นหยาง หวังซีเจวี๋ยก็เริ่มร่วมงานเลี้ยงบันเทิงมากขึ้น พวกที่มาจากเมืองหลวงรู้ขอบเขตหวังซีเจวี๋ย เห็นว่าใต้เท้าท่านนี้ไม่ได้ปฏิเสธ หากยังมาร่วมงานเอง ล้วนยินดียิ่ง
แต่ไม่กี่วันก็มีข่าวเล็ดรอดมา เช่นว่าเมืองเหลียวโจวใกล้จะเปลี่ยนจากมณฑลทหารเป็นมณฑลแล้ว ทหารเมืองเหลียวโจวจำนวนมากแต่ละหน่วยปฏิกิริยาต่างกัน ผู้บัญชาการจากเดิมหนึ่งคนก็จะมีเป็นสามคน แต่ละคนรับหน้าที่ดูแลพื้นที่ตนเอง
ข่าวนี้ออกมา เมืองเหลียวโจวก็สะเทือนไปทั่ว เปลี่ยนสภาพจากมณฑลทหาร ผลประโยชน์และสิทธิพิเศษมากมายต้องแบ่งสรรออกไป หนึ่งผู้บัญชาการก็เปลี่ยนเป็นสามผู้บัญชาการ ตระกูลหลี่คิดแล้วไม่อาจดึงดันต่อได้ อิทธิพลอำนาจเมืองเหลียวโจวย่อมเปลี่ยนไป ตระกูลหลี่ที่คุมสถานการณ์เพียงตระกูลเดียวก็จะเปลี่ยนไป
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ส่งผลกระทบที่สุดก็คือตระกูลหลี่ มีพวกสถานะเพียงพอ ไปเลียบเคียงถามตระกูลหลี่ ไม่ว่าหลี่เฉิงเหลียงหรือคนสนิทล้วนวางเฉยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ท่าทีเช่นนี้ คนฉลาดย่อมมองเข้าใจ ข่าวเกรงว่าจะจริงถึงแปดส่วน
จากนั้นทุกคนล้วนได้สติ ตอนนี้เรื่องแรกสุดก็คือตรวจสอบที่ดิน ตอนนี้ประชากรและที่ดินในบัญชีทางการเมืองเหลียวโจวน้อยกว่าความเป็นจริงมาก
ทุกคนรวบรวมคนยากจนจากแต่ละที่ในด่านออกมาเมืองเหลียวโจวบุกเบิกพื้นที่ ที่ดินสมบูรณ์นอกด่านถูกบุกเบิกพื้นที่ออกมา ผลผลิตที่ได้ไม่ต้องจ่ายภาษี นี่เป็นสาเหตุแห่งความร่ำรวยหนึ่งของบรรดาตระกูลชั้นสูงในเมืองเหลียวโจว เพราะเป็นเมืองชายแดน กิจการทหารเหนือกว่ากิจอื่นใด ราชสำนักไม่ควบคุมเรื่องเหล่านี้ ในเรื่องนี้มีคนได้ประโยชน์มาก
เมืองชายแดนเปลี่ยนระบบจัดการ ก็หมายความว่าราชสำนักจะส่งขุนนางบุ๋นมาประจำการ จะเก็บภาษีเมืองเหลียวโจว อย่างไรก็ต้องตรวจนับที่ดินก่อน เพื่อกำหนดฐานภาษี
หากทำตามนี้ ก็เท่ากับขูดเลือดเนื้อทุกคนออกไป ย่อมต้องเจ็บปวดเลือดซิบแทบไม่อาจทนไหว ทุกคนผู้ใดก็ไม่ยินยอม แต่หลังชัยชนะใหญ่ ตระกูลชั้นสูงในเมืองเหลียวโจวเข้าใจดี หากราชสำนักต้องการทำเช่นนี้จริง เมืองเหลียวโจวไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย
และเมืองเหลียวโจวกับมณฑลในด่านยังมีเรื่องหนึ่งที่ต่างกัน ก็คือมณฑลในด่านมีตระกูลใหญ่หลายตระกูลล้วนอาศัยลูกหลานมีความชอบเป็นบัณฑิตหรือขุนนางมาปลอดภาษีหรือลดภาษีได้ แต่ตระกูลใหญ่ในเมืองเหลียวโจวไม่มี ส่วนใหญ่มักเป็นพวกนักรบที่ตั้งตัวมาจากท้องที่ คนเช่นนี้ไม่นับเป็นขุนนางบัณฑิต ไม่มีอำนาจต้านทานใด
“หากไม่ใช่เพราะหวังทงนำทัพได้หน้าได้ตายิ่งใหญ่ ทุกคนในเมืองเหลียวโจวล้วนถูกกลบรัศมี เกรงว่าข่าวนี้พอออกมา พวกคนใหญ่คนโตในพื้นที่คงได้สมคบคิดกับพวกนอกด่านก่อกบฏแล้ว”
หวังซีเจวี๋ยแอบกล่าวกับเฉินจวี่เช่นนี้ ภาษีที่ดินมากขึ้นหนึ่งส่วนให้ราชสำนัก ท้องที่ก็น้อยลงหนึ่งส่วน ส่วนใหญ่มักแก่งแย่งกันเช่นนี้ราวกับศัตรู แต่ตอนนี้ตระกูลชั้นสูงเมืองเหลียวโจวได้แต่หวาดกลัว หากไม่กล้าขยับก่อการอันใด เพราะหวังทงเห็นได้ชัดว่ามีกำลังอิทธิพลยิ่งใหญ่
สถานการณ์ต่างๆ นานา สายข่าวมานับวันยิ่งมากยิ่งละเอียด ทุกคนล้วนเข้าใจ สายข่าวแปดเก้าส่วนเป็นรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยปล่อยออกมา
เดือนสามหวังซีเจวี๋ยจัดงานเลี้ยงที่เสิ่นหยาง เชิญตระกูลใหญ่เมืองเหลียวโจวมา พวกที่มาร่วมงานได้ล้วนมากันครบ เป็นการสร้างความคึกคักมากยิ่งขึ้นในเสิ่นหยาง
เป็นงานเลี้ยงหงเหมิน[1]หรือไม่ก็ไม่ทราบได้ แต่ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ ตระกูลหลี่ที่เคยราวกับฮ่องเต้ก็เก็บตัวเงียบ ทุกคนได้แต่ไปร่วมงานที่เสิ่นหยาง สืบข่าวในงานเสียหน่อยก็ดี
จวนใหญ่ตระกูลหลี่ในเมืองเปิดที่ทางให้จัดงานนี้ จัดเรียงโต๊ะเต็ม พ่อครัวหลายร้านอาหารและพ่อครัวตระกูลหลี่เองก็ถูกส่งมาเตรียมจัดงานที่นี่
เทียบเชิญร่วมงานนี้ก็ตระหนี่มาก ไม่ได้แจกหว่าน ส่วนใหญ่คนใหญ่คนโตในพื้นที่จึงได้รับเทียบ ต้องคุณสมบัติใดจึงได้ ทุกคนคิดไม่ตก แต่พอมีข้อเปรียบเทียบ ปกติทุกคนไม่อาจแบ่งว่าใครสูงกว่าใคร ตอนนี้ข้ามีเทียบเชิญ เจ้าไม่มี เป็นเพราะข้าสูงกว่าเจ้า
มาถึงเสิ่นหยาง อย่างไรก็ไม่อาจมางานเลี้ยงมือเปล่า หวังซีเจวี๋ยหลายวันนี้รับของขวัญกันมือเมื่อยไปหมด คนที่มางานเลี้ยงแน่นอนเป็นคหบดีใหญ่ และยังมาร่วมงานด้วยเรื่องเช่นนี้ มอบของขวัญล้วนไม่เสียดายที่จะจ่ายเงิน
หวังซีเจวี๋ยไม่เคยปฏิเสธของขวัญ มีแต่ยิ้มรับไว้ แต่ของขวัญกับคนมอบของขวัญล้วนจดบันทึกไว้ละเอียด และยังคัดลอกชุดหนึ่งส่งให้ขันทีเฉินจวี่ แสดงถึงความยุติธรรม
ขันทีเฉินจวี่เริ่มแรกไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ หวังซีเจวี๋ยส่งรายการของขวัญมาให้เขาชุดหนึ่ง เฉินจวี่ยังว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ต่อมาจึงได้เข้าใจ ไม่เพียงแต่รับรายการของขวัญไว้ ยังส่งคนไปตรวจนับ นี่เป็นเรื่องยินดีปรีดาของทั้งสอง
*************
“…ชัยชนะใหญ่ครั้งนี้ ล้วนเป็นเพราะฝ่าบาททรงคุ้มครอง….”
“…ข้าไม่ได้ตามไปด้วย แต่ทว่าใต้เท้าหวังไปเจี้ยนโจวครานี้ ย่อมได้ชัยชนะ ประสบความสำเร็จแน่นอน ….”
คนที่มีคุณสมบัติพอเข้าร่วมงานก็ได้รับเชิญมาหมด คนที่เข้าร่วมงานมีมาก พื้นที่กว้างก็เต็มไปด้วยแขกรับเชิญ วาจาหวังซีเจวี๋ย หลายคนล้วนเดินเข้ามาฟัง มือยังถือจอกสุรา
เห็นท่าทางการพูดหวังซีเจวี๋ยเช่นนี้ ทุกคนอย่างไรก็ต้องแสดงอารมณ์ตาม หันไปถวายบังคมยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งเมืองหลวง จากนั้นก็ยกจอกคารวะก่อนจะนั่งลง
อาหารเริ่มขึ้นโต๊ะ ทุกคนกำลังจะยกตะเกียบก็ได้ยินหวังซีเจวี๋ยกล่าวขึ้น หลายคนคิดว่าคงเป็นใต้เท้าหวังกล่าวตามมารยาท กินกันสักสองสามคำก่อนค่อยคุยกันก็ได้ คิดไม่ถึงเห็นคนรอบๆ พากันลุกขึ้นยืนรีบเดินไป
อดไม่ได้สบถด่าในใจ เจ้าใต้เท้าหวังนี่จะพูดทีเดียวให้จบได้ไหมเนี่ย อาหารไม่ได้กินสักที
“…ในด่านมีการตรวจสอบที่ดินหลายครั้ง ทุกท่านอยู่นอกด่านอาจไม่ค่อยรู้กัน ธรรมเนียมในด่านก็คือ พวกมีโฉนดที่ดินก็ให้จ่ายภาษีตามนั้น ไม่มีโฉนดที่ดินก็ค่อยว่ากันส่วนอื่น”
หวังซีเจวี๋ยกล่าวจบ ทุกคนล้วนนั่งไม่ติด ส่งเสียงฮือดัง เมืองเหลียวโจวมีที่ดินไม่น้อยตามป้อมค่ายต่างๆ ที่ดินอันเป็นที่นาเหล่านี้ครอบครัวทหารเพาะปลูก รับเบี้ยหวัดและเสบียง แต่ทุกคนทำเงินจริงๆ ก็ได้จาการบุกเบิกพื้นที่ทำนาเอง ไม่มีที่ดินค่อยว่ากัน หรือว่าราชสำนักคิดฮุบที่ดินเหล่านี้ด้วย
มีคนคิดโยงไปถึงหลายวันนี้มีลูกหลานพวกผู้มีอำนาจวาสนาในด่านพากันมาพวกนั้น หรือว่าคนเหล่านี้คิดจะมาจับจ้องที่ดินนาดีนอกด่าน?
“ใต้เท้าหวัง จัดการเช่นนี้ เกรงว่าราษฎรเมืองเหลียวโจว…”
มีคนอดไม่ได้กล่าวเสียงดังขึ้น กล่าวได้ไม่ทันจบก็หยุดไป มาร่วมงานครั้งนี้ล้วนเป็นเจ้าของที่ไม่น้อย มีคนหลายคนเป็นบ่าวของขุนพลทหารเมืองเหลียวโจว พวกเขารับหน้าดูแลที่ดินแทน เพราะมีคนให้ท้าย ส่วนใหญ่จึงเหิมเกริมมาก ได้ยินหวังซีเจวี๋ยกล่าวเช่นนี้ก็อดไม่ได้
แต่ทว่าข้างๆ มีคนรีบกระตุกไว้ กระซิบด่าเบาๆ ว่า
“เจ้าสมองพิการหรือไง เจ้าไม่กลัวหวังทงจับเจ้ากินหรือไง!”
พอคิดเทียบนายตนกับหวังทงแล้ว ความหุนหันก็พลันเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว ทุกคนพากันเงียบราวเป่าสาก ไม่มีเสียงออกมาอีก พากันนั่งฟังโดยดี
หวังซีเจวี๋ยแน่นอนสังเกตเห็นทุกช่วงการกระทำนี้ พริบตาก็ทอดถอนใจ คิดจะเล่นอุบายในเรื่องที่ดิน ก็ยากมาก ไม่รู้ว่าทำให้เกิดความยุ่งยากตามมาเท่าไร แม้ตนเป็นรองอำมาตย์ในคณะเสนาบดีใหญ่ก็เตรียมพร้อมรับกับความยุ่งยากวุ่นวายที่จะตามมาแล้ว คิดไม่ถึงหวังทงนำทัพมาทำให้ทุกคนถึงกับหวาดกลัวเช่นนี้ได้
ยืมบารมีผู้อื่นมาข่ม หวังซีเจวี๋ยเข้าใจหลักการนี้ ประเด็นล้วนกล่าวถึงเช่นนี้แล้ว จึงยิ้มกล่าวว่า
“ข้าไม่มาเมืองเหลียวโจว คงไม่รู้ว่าพื้นที่นอกด่านหนาวเหน็บยากลำบาก ถึงกับมีที่ดินอุดมเช่นนี้ได้ มีราษฎรเพาะปลูกกันมากเพียงนี้ ข้าอยู่ส่วนกลางมานานปี ไม่เคยจำได้ว่าเมืองเหลียวโจวเคยส่งมอบเสบียงให้ราชสำนัก กลับเป็นทุกปีราชสำนักส่งมา ตอนนี้รอบเมืองเหลียวโจวไม่มีภัยคุกคามแล้ว ยังต้องจัดการบริหารแบบมณฑล คงต้องเก็บภาษี ตรวจสอบที่ดิน มีอันใดไม่ควรงั้นหรือ?”
คนเบื้องหน้าไหนเลยกล้าปฏิเสธ สีหน้าทุกคนยังคงยิ้ม แต่ล้วนเป็นยิ้มเฝื่อนๆ หวังซีเจวี๋ยกล่าวต่อว่า
“ข้ารู้ทุกท่านไม่อาจสละเงินภาษีก้อนนี้ แต่ข้าสามารถบอกทุกท่านตรงไปตรงมาได้ว่า สามปีแรกของการตรวจสอบที่ดินกับเก็บภาษีนั้น ราชสำนักจะจับตาดูแน่นหนา ไม่ให้มีเล็ดรอดแม้แต่น้อย ทุกคนอย่าได้คิดเล่นอุบายใดเชียว!”
เดิมคิดว่าจะปลอบ คิดไม่ถึงว่าจะกำราบรุนแรงหลายส่วน ทุกคนสีหน้ายิ่งขมวดแน่น หวังซีเจวี๋ยเดินไปสองก้าว ยิ้มกล่าวว่า
“ข้ามีเส้นทางหนึ่งคิดแนะให้ทุกท่าน ตอนนี้ยังมีที่นาดีนับหมื่นฉิ่งที่ไม่ต้องเสียภาษี รอให้ทุกท่านไปบุกเบิกพื้นที่!”
…………………………..
[1] งานเลี้ยงในสมัยเซี่ยงอวี่หรือฉ้อปาอ๋องคิดสังหารหลิวปังที่ตอนนั้นยังไม่ได้ปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่น แต่สุดท้ายไม่ได้สังหาร ต่อมาเป็นสำนวนหมายถึงงานเลี้ยงลวงสังหาร