องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1002 จุดเริ่มแห่งชาวอาณานิคม
คนในงานเลี้ยงเริ่มคิดตามหวังซีเจวี๋ย ล้วนถูกชี้นำให้คิด ที่นาที่ตนเองกว่าจะเก็บสะสมมาได้เหล่านี้ต้องเสียภาษีย่อมรู้สึกเจ็บปวด
ขณะกำลังเจ็บปวดใจนั้นเอง อยู่ๆ หวังซีเจวี๋ยก็พูดออกมาว่า ‘มีที่ดินไม่ต้องเสียภาษี’ คหบดีเมืองเหลียวโจวที่มาร่วมงานเลี้ยงทั้งหมดก็เงี่ยหูตั้งใจฟังขึ้นมาทันที
ตอนนี้เห็นว่าราชสำนักจะตรวจสอบที่ดินเพื่อเก็บภาษีในเมืองเหลียวโจว ได้ยินหวังซีเจวี๋ย ตอนลงมือตรวจสอบก็ไม่ไว้หน้า ทุกคนคิดหาช่องทางก็ย่อมยากมาก พอได้ยินเรื่องดีเช่นนี้ ผู้ใดจะไม่หวั่นไหว
ที่ดินไม่ต้องจ่ายภาษี นับเป็นเรื่องดียิ่งเทียมฟ้า แต่ชาวเมืองเหลียวโจวคิดไปคิดมาแล้ว ก็ไม่เห็นว่ามีที่ดินดีเช่นนี้ หวังซีเจวี๋ยเป็นถึงรองอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่ ระดับอำมาตย์เช่นนี้คงไม่กล่าววาจาเหลวไหล
ทุกคนส่งเสียงฮือฮา หันไปประสานมือถามประธานงานเลี้ยงขึ้นว่า
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าหวังหมายถึงที่ใด ข้าน้อยโง่เขลา ขอโปรดชี้แนะ?”
หวังซีเจวี๋ยยิ้มพยักหน้า กล่าวเสียงดังกังวานว่า
“นอกกำแพงเมือง หรือว่าไม่มีที่นาดีกัน ที่นั่นไม่ใช่พื้นที่แผ่นดินหมิง พวกเจ้าไป ในสิบปี ยังต้องห่วงเรื่องภาษีหรือ?”
“แต่ตรงนั้นมันเป็นที่ชาวเผ่าหนี่ว์เจิน…”
“ในเมื่อแม่ทัพหวังนำทัพใหญ่ไปแล้ว ไหนเลยจะเป็นที่นาชาวเผ่าหนี่ว์เจินได้อีก”
หวังซีเจวี๋ยยิ้มตอบ กล่าวจบ หวังซีเจวี๋ยไม่สนใจทุกคน กลับไปนั่งที่เดิม ยิ้มสนทนาชนจอกสุรากับเพื่อนร่วมโต๊ะ งานเลี้ยงเริ่มแล้ว
ที่ควรกล่าวก็กล่าวจบแล้ว คนเบื้องหน้าล้วนกำลังเคลิ้มคิดกันไป มีคนออกหน้ามากล่าวว่า
“ที่นานอกกำแพงทางตะวันออกยังอุดมกว่าที่พวกเราที่นี่อีก ที่นั่นล้วนเป็นดินดำชั้นดี กำมากำหนึ่งก็มีแต่ความอุดมชุ่มชื้น ชาวเผ่าหนี่ว์เจินยังขุดร่องน้ำไว้ทั้งพื้นที่ ดูแลอย่างดี!”
ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์หึ่ง เมืองเหลียวโจวทำการค้ากับชาวเผ่าหนี่ว์เจินนอกกำแพงเมือง เป็นแหล่งเงินทองหนึ่งของตระกูลชั้นสูงในเมืองเหลียวโจว หลายคนบ้างก็เคยไปด้วยตนเอง คนเบื้องหน้าบางคนก็เคยไป เข้าใจความเป็นอยู่ชาวเผ่าหนี่ว์เจินนอกกำแพงเมืองดี ที่นั่นเป็นที่ดินชั้นดี ที่นาอุดมสมบูรณ์ พื้นที่ได้รับการบุกเบิกไว้ไม่น้อยแล้ว แต่ยังมีพื้นที่อีกมากรอการบุกเบิก
“ที่ใต้เท้าหวังว่ามาเมื่อครู่ถึงที่นาหมื่นฉิ่ง หากนับกันจริง เกรงว่าไม่เพียงแค่หมื่นฉิ่งแล้ว!”
“เบาหน่อย เจ้าไม่รู้หรือนี่เป็นหลุมพราง ไม่แน่สิบปีให้หลัง ราชสำนักอาจคิดแค่หมื่นฉิ่ง ที่เหลือทำเป็นไม่รู้ไป!”
ทุกคนล้วนพยักหน้า ล้วนคิดเช่นนี้ มองหวังซีเจวี๋ยคุยกันคนอื่นๆ ในงานเลี้ยงแล้ว ทุกคนก็วางใจ คนที่มาที่นี่ได้ล้วนเป็นคหบดีใหญ่ ล้วนเคยได้ยินชื่อเสียงกันและกันมาก่อน แม้ว่าแปลกหน้า แต่แนะนำกันแล้วก็ล้วนมีสายสัมพันธ์กันไม่น้อย จึงคุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว บรรยากาศสนทนาก็ยิ่งคึกคัก
“แต่ต้องการคนงานมากมายเช่นนี้ แม้ที่ทางข้างนอกมาก แต่ไม่อาจส่งคนไปทำงานได้ เมืองเหลียวโจวก็ไม่อาจเสียโอกาส…”
“พวกเจ้าก็ช่างโลกแคบจริง ตอนนี้แล้ว ที่นาเมืองเหลียวโจวต้องเสียภาษีแล้ว เจ้าปลูกออกมามาก ก็ยิ่งต้องเสียภาษีมากตามไปด้วย ที่นอกกำแพงเมืองเก็บเกี่ยวมาได้ต่างหากที่ล้วนเป็นของพวกเจ้าเอง”
“…ทุกท่าน ข้าไปตอนเหนือบ่อย คบหากับมองโกลพวกนอกด่านมา ยังได้ยินเรื่องเช่นว่า ที่ตอนเหนือต้าถงที่ซานซี ชาวฮั่นที่นั่นล้วนจับพวกนอกด่านมาเป็นทาส ให้เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน พวกนอกด่านจะเหนื่อยตายไปก็ไม่ต้องสนใจ ขอเพียงเลี้ยงคนไว้คอยควบคุมก็พอ…”
ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็หันไปสนใจเรื่องนี้กันหลายส่วน มีคนกล่าวว่า
“หากสามารถจับพวกเผ่าหนี่ว์เจินมาเป็นทาสได้ พวกเขาก็รู้การเพาะปลูก ย่อมใช้งานได้ดี”
ทุกคนจึงเริ่มหันไปสนใจป้อมเผ่าหนี่ว์เจินนอกกำแพงเมือง คิดกันออกแล้ว ทุกคนกล่าวกันคนละคำสองคำ ก็ยิ่งลงลึกรายละเอียด มีคนกล่าวว่า
“พวกโสมคนและหนังสัตว์ในป่า ยังมีพวกของป่าต่างๆ ตอนนี้ล้วนส่งมาไม่ได้ ที่น่าโมโหก็คือ เจ้านู่เอ่อร์ฮาชื่อยังจงใจตั้งหน่วยงานมาควบคุมการซื้อขายโสมคน สูงกว่าราคาแท้จริงมาก หากพวกเราไปกันเอง การค้าของป่าบนเขาใช่ว่าจะตกเป็นของพวกเราหรือ”
ที่ดินแม้มีผลประโยชน์ แต่อย่างไรก็ไม่เท่าการค้า ต้องรู้ว่าในแผ่นดินหมิง ของบำรุงร่างกายเช่นโสมคนนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนเห็นความสำคัญมาก โสมดีนอกด่านก็ยิ่งมีราคาสูงเป็นพิเศษ สินค้าบนเขาแต่ละอย่างก็ล้วนชั้นดีเลิศ พวกนั้นแม้ว่าขายไม่ได้ราคา แต่ขอเพียงสะสมไว้มาก ก็ย่อมทำไรใหญ่ได้เช่นกัน
อย่างอื่นไม่พูดถึง แค่พวกซุนโส่วเหลียนกับคนที่เหลียวหนานตัดท่อนไม้ล่องมาตามแม่น้ำยาลู่เจียง จากนั้นก็จากแม่น้ำออกสู่ทะเลมาขายเทียนจิน ก็ไม่รู้กำไรมากมายเท่าไรแล้ว
คนที่นั่งอยู่ข้างหวังซีเจวี๋ย ล้วนเป็นที่ปรึกษาในจวนหลี่เฉิงเหลียง ยังมีผู้แทนพระองค์จากเมืองหลวง ทุกคนล้วนเป็นบัณฑิต ที่คุยกันก็ย่อมเป็นเรื่องภายในวงการขุนนาง หวังซีเจวี๋ยคุยไปก็แอบลอบมองไปแอบฟังไปด้วย
บรรยากาศในโถงยิ่งคึกคัก ทุกคนก็ยิ่งจมดิ่งกับบทสนทนา หวังซีเจวี๋ยล้วนได้ยินได้เห็น ในใจก็อดคิดถึงคำแนะนำหวังทงไม่ได้
จัดงานเลี้ยงเช่นนี้ ดีที่สุดจัดคนที่ไว้ใจได้สองสามคนปะปนเข้าไป หลังนำเสนอความเห็นก็ให้พวกเขาคอยบอกเล่าสิ่งที่ดีต่างๆ นานา ทำให้คนหวั่นไหว ขอเพียงเปิดประเด็นได้ จากนั้นก็ย่อมง่ายไปทุกเรื่อง
แต่ทว่าพูดร้อยพันหมื่น ทางนี้จัดการได้ดีเช่นไร ก็ต้องรอให้หวังทงปราบเผ่าหนี่ว์เจินได้ก่อน ไม่เช่นนั้นที่นานับหมื่นฉิ่งจะมาจากที่ใด
**************
ตั้งแต่ต้นเดือนสามออกจากเมืองเสิ่นหยาง มาตามแม่น้ำหุนเหอออกมาที่ด่านฝู่ซุ่นกวน หวังทงนำทัพใหญ่ปราบตะวันออกเดินทางมาไม่ราบรื่นนัก ความจริงนั้นตอนนี้ระหว่างทางไม่มีกองกำลังใดมาต้านทาน
ว่ากันพอว่าพอออกนอกกำแพงเมือง คิดจะหยุดตั้งทัพใหญ่ ซาเอ๋อร์หู่ที่นี่เหมาะที่สุด มีป่าเขารกชัฏ ภูเขาเนินเขาสูงต่ำ เรียกได้ว่าตั้งทัพรอทัพสบายๆ รบกับที่มาถึงเหนื่อยล้า แต่ทว่าหลายร้อยคนที่ประจำแถบนี้ พอได้ปะทะเบาๆ กับกองกำลังหมิงตระเวนแนวหน้าแล้ว ก็รีบพากันหนี
ตอนนี้ทหารม้าทัพใหญ่ปราบตะวันออกมีมาก สายสืบไม่ขาดแคลน มีทหารเหลียวโจวที่ชำนาญพื้นที่มากอยู่ สายสืบออกทำงานโดยรอบ รายงานข่าวต่างๆ กลับมา ไม่มีทหารเผ่าหนี่ว์เจินแถวนี้จริง
ไม่มีกำลังต้านทาน ทัพใหญ่เดินทัพไม่ราบรื่นหลักๆ ก็เพราะว่าอากาศเริ่มอุ่น พื้นดินเริ่มแตก เส้นทางเริ่มเป็นโคลน ดิน รถใหญ่กองกำลังหู่เวยจึงเคลื่อนไปอย่างยุ่งยากยิ่ง มักตกหลุมโคลนไม่อาจขยับ ยังต้องส่งทหารออกไปช่วยดัน ครั้งนี้ทหารราบไม่ขาด แต่ทหารราบกองกำลังหู่เวยอันเป็นกำลังหลักไม่อาจไปสูญเสียกำลังเปล่าๆ กับเรื่องไร้สาระพวกนี้ ความเร็วจึงช้ากว่าเมื่อก่อนสามส่วน
ช้าส่วนช้า แต่ไม่ได้มีกำลังมาต้านทาน ทัพใหญ่ยังคงเดินหน้า กองกำลังหมิงหลังแพ้ที่ป้อมเจี้ยฝานไจ้มาได้สองสามเดือน ก็กลับมาที่รอบป้อมเจี้ยฝานไจ้อีกครั้ง
ครั้งนี้ภูเขารอบป้อมเจี้ยฝานไจ้ บริเวณสบแม่น้ำซูจื่อเหอกับแม่น้ำหุนเหอ ไม่มีทัพใหญ่พวกนอกด่านแล้ว ป้อมเจี้ยฝานไจ้กลับคืนสู่ภาวะปกติก่อนรบแล้ว มีแค่นายกองพันเฝ้าประจำป้อมเท่านั้น
หลังชัยชนะใหญ่พวกเจี้ยนโจว เพราะป้อมเจี้ยฝานไจ้ไปสู่เฮ่อถูอาลาตลอดเส้นทางนี้เป็นเส้นทางใหญ่เข้าสู่ศูนย์กลางเจี้ยนโจว ดังนั้นป้อมสองข้างทางจึงล้วนบำรุงซ่อมแซมแน่นหนา จับทหารกองกำลังหมิงและราษฎรชาวฮั่นมาเป็นแรงงาน ทำการก่อสร้างงานก่อสร้างไม่เล็กไม่ใหญ่ เช่นป้อมเจี้ยฝานไจ้ตอนนี้
ป้อมเจี้ยฝานไจ้ใช้ไม้ใหญ่กับดินโคลนปรับเปลี่ยนรูปพื้นที่ ตอนนี้คิดขึ้นเขาก็ต้องใช้เส้นทางตรงที่ตอนนี้ทางแคบมาก ไม่อาจให้คนเดินผ่านได้ทีละมากๆ หากกองทัพเดินผ่าน ป้อมบนกำแพงก็จะมีคนยิงลงมาจากมุมสูง มองไกลๆ ก็จะเห็นบนกำแพงป้อมมีปืนใหญ่สามกระบอก นี่คงเป็นสิ่งที่ชาวเผ่าหนี่ว์เจินได้มาหลังสงคราม
จากล่างรบสูง ก็เสียเปรียบแล้ว ยังมาการจัดสร้างป้อมเจี้ยฝานไจ้เช่นนี้อีก น่าจะมีพวกกองกำลังหมิงที่สวามิภักดิ์ร่วมออกแบบ หากบอกว่าทหารเมืองเหลียวโจวมาโจมตี เกรงว่าคงใช้ข้อได้เปรียบเรื่องกำลังปิดล้อม รอให้เสบียงในป้อมร่อยหรอหมดไปเองจึงจะตีได้
หวังทงนำทัพใหญ่ผ่านมารอบป้อมเจี้ยฝานไจ้ ทหารเผ่าหนี่ว์เจินรอบป้อมเจี้ยฝานไจ้รู้จักประมาณตนไม่ออกมาโจมตี พวกเขาคิดเอาไว้ว่าหลบอยู่ในป้อมที่แข็งแรง ป้อมเล็กระดับพันคน รบแล้วเปลืองกำลัง และยังไม่คุ้มค่า หลบทัพใหญ่ให้ผ่านไปก็ปลอดภัยแล้ว
แต่ทว่าหวังทงกลับไม่คิดปล่อยพวกเขาไป เห็นชัยภูมิแล้ว หวังทงไม่คิดจะล้อม และไม่คิดจะให้ทหารเข้าโจมตีโดยตรง หากลากปืนใหญ่กระสุนหกชั่งมาทันที
ปืนใหญ่ที่ปล้นได้จากกองกำลังหมิงมาจะยิงได้ไกลสักเท่าไร ทุกคนล้วนรู้ดีแก่ใจ ปืนใหญ่กองกำลังหู่เวยให้ทหารเมืองเหลียวโจวตัดท่อนไม้มา เก็บกวาดพื้นที่ด้านหน้าให้ว่าง คนมากกำลังมาก ทหารราบหลายพันทำงานเร็วมาก พวกเขาตัดไม้ใหญ่มาปูพื้นดินที่เป็นดินโคลน ทำเป็นทาง จากนั้นปืนใหญ่กองกำลังหู่เวยใช้วัวลากปืนใหญ่ขึ้นเขา สร้างเป็นค่ายปืนใหญ่
ขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวมากมาย ต้าถง จี้โจว ก็มีทหารที่ไม่ได้ร่วมรบเมืองกุยฮว่าเฉิงมาด้วย ครั้งนี้ล้วนตามขึ้นเขามาด้วย หวังทงได้รับชัยชนะใหญ่ที่เมืองเสิ่นหยาง พวกเขาเห็นแล้ว แต่ป้อมเล็กๆ เช่นนี้จะโจมตีอย่างไร พวกเขายังคิดไม่เข้าใจ
แต่ตั้งแต่ออกจากด่านฝู่ซุ่นมา ถึงตอนนี้ยังไม่มีการต่อสู้ใด ครั้งนี้การต่อสู้เริ่มต้นครั้งแรก รบแรกเป็นเช่นไร มีความหมายไม่ธรรมดา อย่างไรก็ต้องมาดูให้เห็นกับตา
มาถึงค่ายปืนใหญ่ ทุกคนก็งง กองกำลังหู่เวยมีรถปืนใหญ่ขนาดใหญ่ ทะลายถล่มป้อมก็ได้หมด แต่ปืนใหญ่เช่นตอนนี้ก็แค่อานุภาพสังหาร จะไปถล่มป้อมได้อย่างไร
และที่นี่มีแค่ปืนใหญ่กับทหารปืนใหญ่ นอกนั้นก็เป็นทหารพลธนูร้อยกว่านาย ทหารราบทัพใหญ่ล้วนอยู่ด้านหลังมากตีไม่ถึงป้อม พลธนูก็ยิงไม่ได้ไกลเพียงนั้น ข้างรถปืนใหญ่ยังเห็นว่ามีกะละมังใหญ่หนึ่ง ก็ยิ่งทำให้คนงง มองไปมองมา ก็คิดว่าติ้งเป่ยโหวย่อมมีเหตุผล
ปืนใหญ่บนป้อมยิงมาก่อน กระสุนปืนใหญ่แหวกอากาศมา ตกลงหน้าค่ายปืนใหญ่สองสามลูกแล้วก็นิ่ง บนป้อมไม่ยิงปืนใหญ่มาอีก เพราะอย่างไรก็ยิงไม่โดน ค่ายปืนใหญ่สามารถมองเห็นบนกำแพงป้อมมีเงาคนเคลื่อนไหวไปมาเตรียมป้องกัน
กลับมาทางค่ายปืนใหญ่ ทุกคนแบกฟืนมาโยนลงใส่กะละมัง จุดไฟ ราวสองปืนใหญ่มีหนึ่งกะละมัง ไม่นาน กะละมังไฟก็เผาลุกโชน ถ่านแดงแผดเผา คนรอบๆ รู้สึกอบอุ่น แต่ก็ยิ่งทำให้ทุกคนยิ่งงง
จากนั้นก็มีเรื่องที่ทำให้พวกเขายิ่งงง เพราะทหารปืนใหญ่นำกระสุนปืนใหญ่หย่อนลงในกะละมังไฟ จากนั้นก็เติมเชื้อไฟไม่หยุด ผ่านไปครู่หนึ่ง ลูกกระสุนตะกั่วก็ถูกเผาเป็นลูกเหล็กแดงเถือก