องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1005 ตอบแทนเช่นเดียวกัน
ขุนนางบุ๋นผู้นี้กล่าวอย่างไม่รู้สึกอันใด แต่บรรดาขุนพลทหารในกระโจมกลับล้วนมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าเป็นครั้งแรก ขุนนางบัณฑิตแผ่นดินหมิงนำทัพ บัณฑิตอ่านหนังสือมากไป มักจะแสดงความเห็นต่างจากขุนพลทหาร มักชอบเอ่ยอ้างคุณธรรมหลักการ ในนิยายแผ่นดินหมิงไม่น้อย มักเอ่ยอ้างถึงการใช้คุณธรรมเมตตาสยบใจผู้คน อะไรที่ว่าศัตรูก็ย่อมรู้คุณมายอมสวามิภักดิ์ด้วยตนเองอะไรพวกนี้ บทพวกนี้ไม่น้อย พวกเรียนหนังสือไหนเลยจะเคยออกรบ จึงได้เห็นเรื่องพวกนี้เป็นจริง
ขุนนางทหารวันๆ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แน่นอนเข้าใจว่าเรื่องพวกนี้เหลวไหล อะไรที่ว่าขุนนางบุ๋นสูงศักดิ์กว่าขุนนางบู๊ บางวาจาไม่ควรกล่าวก็อย่าได้กล่าว
แต่ทว่าเจ้าหนุ่มไม่รู้งานผู้นี้วันนี้กลับมากล่าวเช่นนี้ต่อหน้าหวังทง ดูว่าใต้เท้าหวังจะรับมืออย่างไร สีหน้าหวังทงเองก็แปลกประหลาดใจเช่นกัน บัณฑิตนี่ยังกล่าวไม่ทันจบ หวังทงเอ่ยถามขึ้น
“หลังพวกนอกด่านทางตะวันออกบุกเข้าเมืองเหลียวโจวกวาดล้างป้อมต่างๆ ไป ชายถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย หญิงถูกเอาไปขายให้พวกนอกด่านเผ่าอื่นได้ย่ำยี เรื่องนี้เจ้ารู้หรือไม่?”
หลังชนะศัตรู ทัพใหญ่ปราบตะวันออกช่วยราษฎรฮั่นที่ถูกพวกนอกด่านกวาดต้อนไปได้ไม่น้อย ไม่พูดถึงที่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด แต่ละคนจิตใจหดหู่สิ้นหวัง ว่ากันว่าเอาพวกราษฎรฮั่นไปใช้งานดังวัวม้า ถึงกับสู้ม้าวัวยังไม่ได้ เรื่องเช่นนี้ได้เห็นแล้ว ทหารทุกคนก็พากันเป็นเดือดเป็นแค้น ที่เสิ่นหยางมีคนเขียนบทความด่าเจ็บปวด แน่นอนทุกคนล้วนรู้
พอถามขึ้น ขุนนางบุ๋นนั่นอึ้งไป ได้แต่ประสานมือคำนับตอบว่า
“ข้าน้อยรู้… ”
“ข้าได้ยินมาว่าหัวหน้าเผ่านั่นก็เคยได้อ่านสามก๊กมา คิดว่าน่าจะรู้ธรรมเนียมหลักการ เหตุใดไม่เมตตาชาวราษฎรแผ่นดินหมิง ให้ราษฎรแผ่นดินหมิงสำนึกในบุญคุณเล่า?”
ได้ยินหวังทงถามขึ้นเช่นนี้ ขุนนางบุ๋นผู้นั้นสีหน้าซีดขาว ไม่รู้ตอบเช่นไร หวังทงกล่าวต่อว่า
“ที่เจ้าพูดมานั้น ข้าแม้ว่าเรียนหนังสือมาน้อยก็พอเข้าใจ ก็คือใช้สร้างบุญคุณให้ตอบแทนกระมัง แต่ทว่าข้ายังจำประโยคต่อจากนี้ได้ว่า ตอบแทนเช่นกันเดียวกัน หมายถึงว่าดีดีตอบ ร้ายร้ายตอบ พวกนอกด่านพวกนั้นสังหารราษฎรแผ่นดินหมิงเราโหดเหี้ยม หนี้เลือดท่วมทับ เจ้าดูพวกเขาอ่อนแอน่าสงสาร เจ้าควรรู้ว่าพวกนอกด่านทหารล้วนเป็นเผ่าเดียวกับพวกเขา ล้วนเป็นพวกเขาเลี้ยงดูมา เงินทองเปื้อนเลือดราษฎรแผ่นดินหมิงให้พวกเขาได้ใช้ ความแค้นเลือดนี้เจ้าใช้คำว่า เมตตา คำเดียวก็จบไปงั้นหรือ? อ่านตำราอย่างไร? เหลวไหลเลอะเทอะ!!”
หวังทงวาจาสุดท้ายเสียงดังขึ้น ขุนนางบุ๋นสีหน้าแดงก่ำ ตนเองเป็นขุนนางบุ๋นสูงส่ง ถึงกับถูกทหารหยาบช้าสั่งสอนได้ ตอนนั้นก็คิดสะบัดชายเสื้อจากไป แต่คนในเมืองหลวงรู้กันดีว่า ผู้ใดไม่สามารถล่วงเกิน ผู้ใดไม่วางท่าทางบัณฑิตใส่ได้
ต่อหน้าหวังทง การจะวางท่าทางบัณฑิตใส่นั้นไม่อาจกระทำได้ นายท่านนี้เป็นระดับยิ่งใหญ่สุดในเมืองหลวง ล่วงเกินเข้า ไม่ว่าขุนนางบุ๋นสูงศักดิ์กว่าขุนนางบู๊ ไม่ว่าวางท่าทางไม่ยอมก้มหัวแบบบัณฑิตทั่วไปใช้กัน ล้วนไม่กล้านำออกมาใช้ หากล่วงเกินเขาเข้า ขุนนางบุ๋นใต้หล้าล้วนไม่กล้าออกมาร่วมระบายแค้นนี้กับเจ้าแน่
คิดแล้วก็คงได้แต่ยอมรับ ในใจอัดอั้นยิ่ง แต่ขุนนางบุ๋นก็เข้าใจ หวังทงหากเอาจริง ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่คนสนับสนุนเบื้องหลังเขาถูกหวังทงถอนรากไปด้วยเลยก็แค่พริบตา
หวังทงตำหนิออกไปเสร็จ ขุนพลในกระโจมก็สบตากันไปมา ล้วนอดเผยสีหน้าสะใจไม่ได้ ขุนนางบุ๋นลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังคำนับขออภัยกล่าวว่า
“ข้าน้อยกล่าววาจาเหลวไหล ขอแม่ทัพใหญ่โปรดอภัย!”
“เจ้าเขียนอักษรได้เป็นอย่างไร!?”
คนผู้นี้ขออภัย หวังทงเองไม่ได้สนใจ กลับถามขึ้น ขุนนางบุ๋นอึ้งไป สามารถดำรงตำแหน่งในหกกรมได้ จะอย่างไรก็ต้องสอบผ่านระดับบัณฑิตจวี่เหรินมาตามเส้นทาง สอบมาอย่างราบรื่น อักษรล้วนต้องเขียนอักษรได้งาม แม้ว่าไม่รู้ว่าหวังทงถามทำไม แต่อีกฝ่ายเปลี่ยนประเด็นที่กำลังอึดอัดก็ย่อมเป็นเรื่องดี รีบคำนับกล่าวว่า
“เรียนแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยเขียนอักษรพอได้อยู่”
“เอากระดาษพู่กันมา ข้าจะบอกให้เจ้าเขียน อักษรใหญ่หน่อย ต้องเขียนอักษรตัวบรรจง!”
หวังทงไม่สนใจอาการถ่อมตัวของอีกฝ่าย กล่าวออกไปทันที ทุกคนในกระโจมล้วนงง ในใจก็ไม่รู้ว่าจะอย่างไร แม่ทัพใหญ่สั่งสอนขุนนางบุ๋นเสร็จ ก็คิดจะเขียนอักษรทำไมกัน ตอนนี้ชาวเผ่าหนี่ว์เจินเห็นชัดว่ากำลังเล่นกลกับทัพใหญ่เรา ออกกระจายเป็นกลุ่มเล็กมาโจมตีเราแล้ว
การต่อสู้เช่นนี้ ทุกคนล้วนเข้าใจ ทัพใหญ่จะถูกก่อกวน ตอนทำศึกก็ย่อมรำคาญใจ กำลังใจถดถอย หากเส้นทางเสบียงกับของที่จะมาเติมเกิดปัญหาอันใด ก็เกรงว่าปัญหาเล็กคงได้เป็นปัญหาใหญ่ แต่ตอนนี้คิดจะรับมือกลับไม่มีวิธีใดที่ดี
พู่กันกระดาษล้วนมีในกระโจมแม่ทัพ ขุนนางบุ๋นปรับจิตใจสงบลงได้ไม่น้อย เตรียมพร้อม ยกพู่กันขึ้น รอหวังทงกล่าว หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“เขียนสองแผ่น แผ่นหนึ่ง ว่า ‘รวมหมู่บ้าน รวมป้อมค่าย’ อีกแผ่นเขียนว่า ‘สังหารสิ้น เผาสิ้น ปล้นสิ้น!’”
หวังทงกล่าวจบ ขุนนางบุ๋นก็อึ้งไปนานสักพัก แผ่นแรกยังดูพิถีพิถัน อีกแผ่นหยาบคาบยากรับได้ ตรงเกินไป ยังมีธรรมเนียมกันอีกหรือไม่กัน? แต่ทว่าหลังถูกสั่งสอนไป เขากลับไม่กล้ากล่าวอันใด พอเขียนเสร็จ ก็นำส่งให้หวังทงที่โต๊ะ จากนั้นถอยกลับไปที่เดิม
หวังทงมองอักษรเป็นระเบียบเรียบร้อยสองแผ่น พยักหน้า ประทับตราลงไป เสียงหวังทงพูดไม่เบา ในกระโจมแม่ทัพขุนพลทหารล้วนได้ยินชัด ทุกคนล้วนเข้าใจบ้างแล้ว สีหน้าล้วนจริงจังขึ้นมา หวังทงเดินอ้อมออกจากโต๊ะหนังสือกล่าวจริงจังว่า
“จากวันนี้ไป ออกปราบกวาดล้างแต่ละแห่ง ให้รวมกำลังทหารม้า 500 เป็นหนึ่งกอง ป้อมทุกแห่งไม่อาจละเว้นให้รอดไปได้ สมบัติม้าวัวที่เคลื่อนได้ก็ให้นำกลับมาไว้รวมไว้ที่ค่ายทางฝั่งซ้าย ทุกครั้งที่ได้หมื่นคนก็ให้ส่งกลับไปเมืองเหลียวโจว หากขัดขืน ก็ตัดสินว่าเป็นโจร สังหารให้หมด!”
ฟังน้ำเสียงหวังทง นี่เป็นคำสั่งกองทัพ ขุนพลทหารไม่กล้ารอช้า พากันประสานมือคำนับรับคำ หวังทงหันไปทางหลี่หรูป๋อ กล่าวว่า
“ขุนพลหลี่ หมู่บ้านม้าขาวท่านนำคนไปสักครั้ง ใช้นโยบายสามสิ้นละกัน สังหารไม่ให้เหลือ เป็นการสั่งสอนพวกนอกด่านที่กล้าเหิมเกริม!”
หลี่หรูป๋อเองก็รับคำเสียงดัง หวังทงหันไปกล่าวกับขุนนางบุ๋นผู้นั้นว่า
“อักษรสองแผ่นนี้เจ้าลองคิดดูก็จะเข้าใจเองได้ เอาสองแผ่นนี้ไปยังค่ายทหารแต่ละค่าย ประกาศนโยบายนี้ เจ้าเข้าใจไหม?”
ขุนนางบุ๋นตัวสั่นเทา รีบรับคำสั่ง
******************
จากกำแพงเมืองมาถึงเฮ่อถูอาลา จากนี้ไปสองข้างทางทัพใหญ่เคลื่อนผ่าน ไม่อาจปล่อยให้มีป้อมต่างๆ ตั้งอยู่ได้ คนในหมู่บ้านริมทางต้องไปรวมตัวยังจุดที่กำหนดให้พักอาศัย ต้องยอมทำตามการจัดการของทัพใหญ่
หากกล้าขัดขืน หรือสมคบคิดกับทหารเผ่าหนี่ว์เจิน ก็ให้สังหารชาวบ้านพวกนั้นให้หมด เผาหมู่บ้านให้ราบ สมบัติทั้งหมดรวมถึงสัตว์เลี้ยงก็ให้กวาดต้อนมาให้หมดไม่ให้เหลือ
หวังทงกล่าวได้ตรงไปตรงมา ขุนนางบุ๋นผู้นั้นตอนประกาศก็ไม่กล้าปิดๆ บังๆ กอปรกับตัวอักษรใหญ่สองแผ่นนี้มีตราประทับหวังทง ขุนพลทหารแต่ละค่ายล้วนรู้กันดีว่าควรทำเช่นไร
พอเข้าไปใกล้เขตแดนศัตรูมากขึ้น สังหารปล้นชิงศัตรูที่เป็นราษฎร ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ ความจริงนั้นมีระเบียบอยู่ว่า ขุนนางบุ๋นหลายคนกับขุนนางบู๊นำทหารไป ล้วนต้องรักษาวินัยทหารกับลูกน้องให้เข้มงวด หวังทงนำทัพเข้มงวด ทุกคนล้วนเก็บสงวนท่าทีตน สงบเสงี่ยมมาก
‘รวมหมู่บ้าน รวมป้อมค่าย’ ‘สังหารสิ้น เผาสิ้น ปล้นสิ้น!’ สองนโยบายนี้ของหวังทง ทำให้พวกเขาขจัดความกล้าๆ กลัว ๆ ในใจ ตอนนี้กล้าลงมืออย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
กองกำลังหู่เวยครั้งนี้แต่ไรมาก็อยู่ในระเบียบเข้มงวด ทัพใหญ่จากแต่ละค่ายล้วนยอมรับเลื่อมใสในการรบของกองกำลังหู่เวย แต่ทว่าเรื่องกวาดล้างปล้นชิงนี่ไม่มั่นใจนัก คิดว่าเรื่องนี้กองกำลังหู่เวยใช่ว่าจะรู้ว่าควรทำเช่นไร
คิดไม่ถึงก็คือ พอกองกำลังหู่เวยลงมือ พวกเขาถึงกับต้องอ้าปากค้าง เทียบกันแล้ว พวกเขาสามสิ้นราวกับลมพัดหอบหนึ่ง หอบเอาดินไปเท่านั้น สังหารคนกวาดทรัพย์สินมา หรือไม่ก็เผาทิ้ง แต่กองกำลังหู่เวยทำเรื่องพวกนี้ กลับถอนรากถอนโคน ยังขุดลึกลงไปอีกสามฉื่อ ทุกอย่างที่เปลี่ยนเป็นเงินทองได้ล้วนเก็บกวาดออกมาหมด คนที่แอบซ่อนตัวก็สามารถควานหาตัวออกมาได้ บ้านเรือนในหมู่บ้านต้องเก็บกวาดเผาให้สิ้นซาก
หลังจากเรื่องนี้ไป พวกเขาไม่อาจไม่เลื่อมใส พวกเข้มแข็งย่อมเป็นเจ้า กองกำลังหู่เวยมีวันนี้ได้ล้วนมีเหตุผลของเขาที่ควรเป็นเช่นนั้น
หลังเรื่องหมู่บ้านม้าขาว คนส่วนใหญ่ล้วนหนีเข้าเขา มีส่วนน้อยที่เป็นคนแก่และคนอ่อนแอที่อยู่ต่อ พวกนี้ถูกนำมาสอบสวนหาที่ซ่อนของคนบนเขา จากนั้นสังหารที่เหลือในหมู่บ้าน เผาทั้งหมู่บ้าน เผาให้ราบเรียบ
คนในหมู่บ้านที่หลบอยู่บนเขาก็ไม่อาจหลบไปยังที่เข้าถึงได้ยากเท่าไร พวกเขายังหวังว่า ทัพใหญ่หาพวกเขาไม่พบแล้วจะจากไปเองทันที แต่ทว่าพวกเขาคิดผิด ทหารเมืองเหลียวโจวหาพวกเขาพบ หลังการต่อสู้ระยะเวลาสั้นๆ คนในหมู่บ้านม้าขาวทั้งหมดถูกจับเป็นเชลยลงเขา
เห็นศพที่วางเรียงหน้าหมู่บ้าน เห็นหมู่บ้านที่ถูกเผาทำลายราบ ชาวหมู่บ้านม้าขาวล้วนสติแตกกระเจิง จากนั้นก็เป็นการแก้แค้นคืนของทหารม้าเมืองเหลียวโจว
ทหารม้าเมืองเหลียวโจวจากไป ก็มีคนหมู่บ้านอื่นมาดูทิวทัศน์ พวกเขาเห็นแต่ความว่างเปล่าและสภาพน่าอนาถของหมู่บ้านที่กองเกลื่อนไปด้วยซากศพ ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว สัตว์ป่าบนเขาก็กำลังขาดแคลนอาหาร ศพพวกนี้ล้วนถูกกัดฉีกจนดูไม่ได้ เห็นแล้วน่าอนาถอย่างที่สุด ราวกับนรกดีๆ
ทุกคนที่คบหากับเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวโจมตีกองกำลังหมิง ล้วนถูกทำลายราบ ชาวบ้านล้วนถูกสังหารสิ้น ซากศพยังทิ้งไว้หน้าหมู่บ้านเช่นนั้น เป็นการเตือนคนอื่นๆ รอบๆ
พวกหมู่บ้านที่ได้รับการยกเว้นล้วนเพราะบอกที่ซ่อนของกองกำลังเล็กเผ่าหนี่ว์เจิน พวกเขาจึงไม่ต้องโทษตาย แต่ก็ยังคงต้องถูกจับไปขังในค่ายใหญ่ รอจัดการ
ทหารแต่ละค่ายล้วนยินดีไม่มีเหน็ดเหนื่อย ขุนนางบุ๋นบางคนที่ตามทัพมาด้วยล้วนรู้สึกรับไม่ได้อย่างมาก มีคนถูกสั่งสอนตอนอยู่ในกระโจมแม่ทัพ ผู้ใดก็ไม่กล้ากล่าวคุณธรรมต่อหน้าอีก แต่ทว่าก็มีคนเขียนจดหมายกลับไปเสิ่นหยาง ไม่ก็เขียนจดหมายถึงครอบครัวตน มีคำจำพวกว่า ‘ราวกับสัตว์ป่า’ ‘นรกบนดิน’ เป็นต้น
จะว่าไป ขุนนางบุ๋นในกระโจมแม่ทัพที่ถกเรื่องคุณธรรมใหญ่กับหวังทงผู้นั้นเขียนจดหมายกลับไปเสิ่นหยาง แต่ไม่ได้กล่าวถึงคุณธรรมใด หากบอกว่าตอนนี้ในค่ายมีแรงงานคนและสินค้าราคาถูกจำนวนมาก ล้วนขายกันถูกๆ ให้ถือเงินสดมาเลือกซื้อย่อมได้กำไรมหาศาล เห็นสภาพตอนนี้แล้ว ทัพใหญ่จะยิ่งยกทัพเข้าไปในแดนศัตรูลึกยิ่งขึ้น สามารถกวาดต้อนผลประโยชน์มาได้เยอะยิ่งขึ้น ดังนั้นให้คนงานที่เสิ่นหยางนำเงินมา อย่าได้พลาดโอกาส