องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1009 ที่ข้าพอจดจำได้
“…ไม่กล้าปิดบังนายท่าน ท่านหัวหน้านู่เอ่อร์ฮาชื่อตั้งทัพห่างจากที่นี่ระยะเดินทางราวสองวัน…”
ในกระโจมแม่ทัพ ชาวเผ่าหนี่ว์เจินแต่งกายด้วยชุดหนังคุกเข่าอยู่ท่าทางหวาดกลัว เอ่ยรายงาน แม้ว่าหวังทงครั้งนี้ใช้กองกำลังหู่เวยเป็นหลัก แต่ก็ยังได้รับการช่วยเหลือจากกองกำลังอื่นหลายร้อย ขุนพลทหารแต่ละกองกำลังล้วนติดตามมา
พอได้ยินชาวเผ่าหนี่ว์เจินผู้นั้นรายงาน ในกระโจมแม่ทัพก็เสียงอื้ออึง ทุกคนแม้ว่าไม่กล้าส่งเสียงต่อหน้าหวังทง แต่ก็สบตากันไปมา ล้วนตกใจอย่างมาก
ไล่ล่าเป็นเรื่องยุ่งยากที่สุด อีกฝ่ายชำนาญพื้นที่ วิ่งทะลุไปมาตะวันออกตะวันตก สุดท้ายแปดเก้าส่วนคงไม่อะไรกลับมา คิดไม่ถึงว่าหลังติดตามมาระยะหนึ่ง หัวหน้าโจรถึงกับไม่หนี ใช่ว่าเป็นอาหารส่งมาถึงที่หรือ ผลสำเร็จใหญ่กำลังจะตกถึงมือแล้ว
ตั้งแต่เข้าเมืองเหลียวโจวมาถึงตอนนี้ ก็เกือบครึ่งปีแล้ว ตลอดทางล้วนมีชัย แต่ทว่ามาถึงตอนนี้ ก็เริ่มมีคนเหน็ดเหนื่อยมาก อย่างไรชัยชนะที่ผ่านมาก็ล้วนเกี่ยวข้องกับการเดินทัพทางไกลและเร่งเดินทัพ ทุกคนล้วนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า สังหารนู่เอ่อร์ฮาชื่อ กองกำลังเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวกองนี้ได้ ภารกิจกองทัพก็จะจบสิ้น
แต่ทว่าตอนนี้ทุกคนเริ่มมีคำถามขึ้น นู่เอ่อร์ฮาชื่อเหตุใดไม่หนี และยังตั้งรับศึกบนที่ราบกลางทุ่งอันเหมาะแก่การตั้งค่ายปะทะศึกของทัพใหญ่
“หากข้าเป็นนู่เอ่อร์ฮาชื่อ ข้าก็จะไม่หนี สู้ตายสักตั้ง!”
ไม่รู้เป็นผู้ใดในกระโจมแม่ทัพบ่นขึ้นเบาๆ ทุกคนเงียบไปทันที ไม่ใช่คิดว่าจะหาตัวว่าเป็นผู้ใดกล่าว หากเป็นเพราะรู้สึกว่าคงเป็นเหตุผลนี้
หวังทงนั่งอยู่ตรงกลาง เห็นว่าเป็นผู้ใดบ่นพึมพำออกมา เป็นขุนพลทหารจากต้าถง ชื่อว่าหม่ากุ้ย เดิมทีหม่าหย่งจะให้เขาเฝ้าประจำที่เฮ่อถูฮาลา แต่เขายืนยันจะตามมาด้วย
“….เจ้าเดรัจฉานโจรนั่นจับชายในหมู่บ้านระยะรัศมีหลายสิบลี้ไปหมดเลย รวมได้ 15,000 กว่าคน เจ้าตัวบัดซบ แก่อายุห้าสิบกว่า ก็ยังไม่ละเว้น…”
ชาวเผ่าหนี่ว์เจินที่คุกเข่ารายงานน้ำเสียงสะอื้นไห้ หวังทงสีหน้ามีรอยยิ้ม นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการเห็น นู่เอ่อร์ฮาชื่อสามารถรวมเจี้ยนโจว สามารถส่งทหารมาตระเวนก่อกวนทัพใหญ่ได้ ถูกไล่ก็ไม่แตกกระเจิง ก็ล้วนเป็นเพราะเขาได้ใจคนเจี้ยนโจว
หวังทงนำทัพใหญ่ปราบตะวันออกใช้วิธีการโหดเหี้ยมบีบบังคับพวกเขาให้ขวัญเสียสติแตก จากนั้นภายใต้ความกดดันนี้ นู่เอ่อร์ฮาชื่อกับพวกเจี้ยนโจวก็ย่อมเกิดความขัดแย้ง ค่อยเป็นไม่เป็นดังปลาและน้ำที่อาศัยกัน แต่กลายเป็นศัตรูกัน กองกำลังเจี้ยนโจวกำลังเตรียมศึก ก็มีคนมาส่งข่าวไม่หยุด ทำให้หวังทงรู้ความเป็นไปของนู่เอ่อร์ฮาชื่อได้กระจ่าง
การออกกวาดจับผู้ชายไปนั้น ถึงกับแม้แต่สตรีแข็งแรงก็ถูกนำไปทำงานในกองทัพด้วย ทำให้กองทัพขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็ว พริบตาก็มีกำลังราวเกือบสองหมื่น
ทางนี้ไม่รู้ กองกำลังเจี้ยนโจวที่ร่อยหรอกำลังสร้างรถใหญ่แบบหนึ่ง ก็คือรถที่สามารถเข็นได้ เป็นโล่ใหญ่ได้ เรื่องนี้ไม่ต้องใช้ช่างไม้ที่มากประสบการณ์อันใดทำออกมา ใช้พวกแผ่นหนังยัดฝ้าย ยังทำกระสอบทรายวางไว้บนโล่ใหญ่หน้ารถโล่
ดูการจัดการเช่นนี้แล้ว ยุทโธปกรณ์เช่นนี้ควรเตรียมไว้รับมือปืนกองกำลังหู่เวย กองทัพนู่เอ่อร์ฮาชื่อกองนี้ แม้ว่ากะสู้ตาย แต่ก็ไม่ได้หน้ามืดตามัว ยังคงพยายามที่จะเตรียมการให้พร้อมที่สุด
“ทุกท่าน ทัพใหญ่ศัตรูอยู่ตรงหน้า หลังศึกนี้ ชายแดนเหนือของแผ่นดินหมิงก็จะปลอดภัยแล้ว!”
ในกระโจมแม่ทัพ หวังทงอยู่ๆ กล่าวเช่นนี้ที่ไม่สอดรับกับคำพูดก่อนหน้า ทุกคนล้วนสะดุ้ง พากันคำนับพร้อมเพรียง กล่าวเสียงดังว่า
“แม่ทัพใหญ่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร!!”
***************
ทหารม้าตอนนี้หยุดออกล่าสัตว์มาเป็นเสบียงเสริมขวัญทหารแล้ว ทุกวันทหารม้าล้วนแบ่งเป็นกองละหนึ่งร้อยนาย ออกปฏิบัติการรอบนอกทัพใหญ่ พอตกดึก ก็จะมีหนึ่งหน่วยออกลาดตระเวน ทัพใหญ่กระทำการรอบคอบเพียงพอ
ระยะเดินทางสองวัน แต่ทว่าหวังทงต้องจัดให้ได้สามวัน เช่นนี้เช้าวันที่สามตื่นมา เร่งเดินทางห้าลี้ก็จะถึงทัพศัตรู หากปล่อยให้สองวันเหน็ดเหนื่อยเต็มที่เข้าปะทะศัตรู ทหารตนกำลังกำลังอ่อนแอก็ย่อมเป็นปัญหา อย่างไรก็ต้องระมัดระวังรอบคอบไว้ก่อน
บรรดาทหารอย่างไรก็เหน็ดเหนื่อย ก่อนรบสองสามวันต้องพักผ่อนให้ดี พวกเขาได้ข่าวมาพอ ดังนั้นตกดึกหวังทงออกเดินตรวจตราก็มักเห็นบรรดาทหารนอนกันหลับสนิท
นอนไม่หลับกลับเป็นหวังทง รอบกระโจมเขาล้วนมีทหารติดตามคุ้มกัน แต่ในกระโจมมีเขาคนเดียว ไม่เหมือนกับ ขุนพลทหารคนอื่นๆ
ยามเงียบไร้ผู้คน อารมณ์ความคิดก็มักจะไปไกลมาก หวังทงก็เช่นกัน เรื่องมากมายวนเวียนกันในห้วงความคิด ไม่เหมือนกันเมื่อก่อน หลังแต่งงานมีภรรยาและลูก ทุกวันก็มักคิดถึงครอบครัว คิดจนเหนื่อยจึงผล็อยหลับไป แต่ทว่าหลายคืนนี้กลับไม่เป็นดังก่อน
ความทรงจำชาติก่อนนับวันยิ่งเลือนลาง หวังทงหลายครั้งล้วนคิดว่าตนเองเป็นคนแผ่นดินหมิงแท้ๆ วิธีการคิดแก้ปัญหาของเขา วิธีการจัดการก็ล้วนไม่ต่างอันใดกับคนยุคสมัยนี้ กล่าวให้ถูกต้องก็คือ น่าจะเป็นพวกที่แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นหลายอย่าง
แต่หลายวันนี้ หวังทงกลับมักมีความรู้สึกเหมือนฝัน วิเคราะห์ละเอียดไปมา เขาคิดว่าเขาหาต้นเหตุและรากเหง้าพบแล้ว
ฮ่องเต้ว่านลี่ จางจวีเจิ้ง เฝิงเป่าชี จี้กวง อวี๋ต้าโหยว และอีกหลายๆ คน หลังหวังทงมาในยุคสมัยนี้ ได้พบบุคคลยิ่งใหญ่เช่นนี้ ชื่อเหล่านี้เขาเคยได้ยินมาแต่ชาติก่อน แต่ก็แค่ได้ยินเท่านั้น เบื้องหลังคนเหล่านี้ทำอะไรกันมา มีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้น ประวัติศาสตร์วิจารณ์เช่นไร กลับไม่รู้แม้แต่น้อย หรืออาจรู้เรื่องที่เด่นๆ ไม่กี่เรื่อง ทำให้เขาตอนได้พบคนเหล่านี้ในยุคสมัยนี้ จึงล้วนราวกับรับมือคนแปลกหน้า จากแปลกหน้าเป็นคุ้นเคย หวังทงรู้สึกปกติดี ไม่มีอันใดพิเศษ
มาตอนหลัง ยกทัพปราบเผ่าอันต๋าเมืองกุยฮว่าเฉิง หวังทงกลับไม่รู้สึกดังเดิม เขาไม่รู้ข่านอันต๋าเคยเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งของแผ่นดินหมิง เผ่าอันต๋าเมืองกุยฮว่าเฉิงรุกรานชายแดนแผ่นดินหมิงหลายครั้ง ยกทัพไปถึงรอบเมืองหลวง หากไม่ใช่ว่าอันต๋าไม่ต้องการปกครองใหญ่ ศรัทธาในศาสนา หลงรสสุรา แผ่นดินหมิงจะยังคงรักษามาได้หรือไม่ก็ยังไม่อาจรู้ได้
สำหรับหวังทงแล้ว ข่านอันต๋า เซิงเก๋อตูกู่เหลิง มเหสีสาม และผู้มีชื่อเสียงทั่วหล้าบนทุ่งหญ้าเหล่านี้ ก็ยังแปลกหน้า เขามาได้รู้จักในยุคสมัยนี้ทั้งนั้น มาเข้าใจ มาปราบปราม ล้วนเป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่ง ล้วนเพื่อการงานของตน เพื่อแผ่นดินหมิงสงบสุขตลอดไป
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ตอนอยู่เมืองหลวงรับมือสถานการณ์มาแต่ละเรื่อง ยังไม่รู้สึกอันใด ก็ทำเหมือนกับที่ทำกับเมืองกุยฮว่าเฉิง แต่พอออกนอกกำแพงเมืองเหลียวโจวมา ทุกอย่างกลับไม่เหมือนกัน
นู่เอ่อร์ฮาชื่อ ชื่อตัวแรกแปลว่า ทาส แน่นอนเป็นเพราะต้องการเขียนง่ายๆ เพื่อดูแคลน นู่เอ่อร์ฮาชื่อ คนผู้นี้หวังทงคุ้นมาก บางทีไม่ใช่ว่ามาคุ้นเคยในตอนนี้ ตอนนี้เป็นหัวหน้าเผ่าโจรที่กำลังสู้ตายตอนนี้ แต่คุ้นเคยชื่อนู่เอ่อร์ฮาชื่อในห้วงเวลาที่ยังไม่มีหวังทงมาอยู่ร่วม ข่านปรีชา ข่านราชวงศ์โฮ่วจิน ปฐมฮ่องเต้แมนจูแห่งราชวงศ์ชิง
พูดไปแล้วก็น่าขัน หวังทงรู้เรื่องความยิ่งใหญ่ของนู่เอ่อร์ฮาชื่อมากที่สุดในบรรดาคนยุคสมัยนี้ ไม่ว่าเป็นจางจวีเจิ้งผู้กุมอำนาจราชสำนักและริเริ่มนโยบายที่ดิน หรือว่าเป็นชีจี้กวง อวี๋ต้าโหยว สองแม่ทัพใหญ่ที่ปราบโจรสลัด ในชาติก่อนนั้น ละครมีมาก เกี่ยวกับเรื่องราวที่ยังเป็นที่โต้เถียงกันของราชวงศ์ชิงก็มีมาก ไม่ว่าเจ้าจะคิดดูหรือไม่ ไม่ว่าจะชอบหรือรำคาญ เจ้าก็ต้องได้ยินได้ฟังมา
บุคคลยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ชิงเช่นนี้ ถูกเล่าเติมแต่งไปต่างๆ นานา หญิงสาวข้ามเวลาไปเล่าเรื่องใหม่ ปรากฏต่อหน้าผู้คนไม่จบไม่สิ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ คิดไม่รับรู้ คิดไม่เข้าใจก็ยากมาก
หวังทงรู้จักนู่เอ่อร์ฮาชื่อ หนึ่ง จากทางละครโทรทัศน์หลายเรื่องที่ตอนออกไปดูงานต่างเมืองยามไม่มีอะไรทำจึงได้ดูผ่านๆ สอง จากเสียงคุยกันจอกแจกในที่ทำงานของบรรดาสาวๆ ร่วมงาน
หลายสาเหตุ บุคคลเช่นนู่เอ่อร์ฮาชื่อในสมองหวังทงก็มีความทรงจำเช่นนี้ หวังทงมีชีวิตในยุคสมัยนี้ แต่ไรก็รู้สึกว่าตนเองกำลังทำความฝันในชาติก่อนที่ไม่เป็นจริงให้เป็นจริงในชาตินี้ ภรรยางดงามและอำนาจวาสนา รุ่งเรืองทั้งชีวิต แต่ละก้าวล้วนสำเร็จเรื่อยมา แต่ครั้งนี้มายกทัพปราบตะวันออกก็เพื่อปราบเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวกับนู่เอ่อร์ฮาชื่อ หวังทงรู้สึกว่าตนเองกำลังเปลี่ยนประวัติศาสตร์ หากเขาสังหารคนทิ้งจนวันหน้าไม่อาจสร้างผลงานยิ่งใหญ่อันใด แน่นอน คนผู้นี้ทำไปทั้งหมดมีผลสำเร็จเพื่อคนส่วนหนึ่ง สำหรับคนหมู่บ้านนับเป็นหายนะ
หวังทงใช้ชีวิตยุคสมัยนี้มา 20 กว่าปี ได้รู้หรืออาจไม่รู้ว่าเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ไปมากมายเท่าไรแล้ว แต่ครั้งนี้ หวังทงรู้สึกได้จริงๆ
หลังเปลี่ยนแปลงจะเกิดอันใด? หวังทงเองไม่มีคำถามกับกำลังการต่อสู้ของกองกำลังหู่เวย แต่หากเปลี่ยนแปลงไป ประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ยังเป็นเรื่องน่าคิด ความกังวลเช่นนี้กับความไม่สบายใจ ทำให้เขาคิดกลับไปกลับมา
**************
“แม่ทัพใหญ่…แม่ทัพใหญ่…ได้เวลาติดไฟทำอาหารแล้ว?”
หวังทงที่แต่ไรมีระเบียบการใช้ชีวิต วันนี้นอนหลับสนิทจนต้องให้ทหารติดตามเข้ามาปลุก นี่วันเช้าวันที่สี่ของการเดินทัพ ฟ้าเริ่มรำไร ทัพใหญ่ต้องติดไฟทำอาหารแต่เช้า จากนั้นเก็บค่าย ทหารเจี้ยนโจวเบื้องหน้าไม่ไกลก็คงจะทำเช่นเดียวกัน
หวังทงนั่งอยู่บนเตียง ซาตงหนิงโบกมือไปด้านหลัง ก็มีคนยกกะละมังไม้กับผ้าเช็ดหน้าเข้ามา หวังทงนั่งอยู่บนขอบเตียง มือกำผ้าเช็ดใบหน้า ท่าทางเหมือนยังไม่ตื่นดี นั่งทบทวนดึงสติอยู่
ซาตงหนิงกับซุนเผิงจวี่สบตากัน พวกเขาอยู่คุ้มกันข้างกายหวังทงมานานไม่เท่ากัน แต่ทว่าไม่ค่อยได้เห็นท่าทางหวังทงเช่นนี้ ราวกับความใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เผชิญทัพใหญ่ เหตุใดแม่ทัพใหญ่เป็นเช่นนี้ ซาตงหนิงกำลังจะเข้าไปถามก็ได้ยินหวังทงตบขอบเตียงหัวเราะออกมา
แม้เสียงหัวเราะจะมีความสุขมาก แต่ก็ทำให้ซาตงหนิงรู้สึกหนาวขึ้นมา กำลังจะกล่าว ก็ได้ยินหวังทงเอ่ยขึ้นถามขึ้น
“ตงหนิง ข้าเป็นผู้ใด?”
“…แม่ทัพใหญ่เป็นติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร แม่ทัพใหญ่ทัพใหญ่ปราบตะวันออก…”
ซาตงหนิงอึ้งไป ก่อนจะตอบมาเป็นชุด หวังทงลุกขึ้นยืน เสียงดังถามขึ้นอีกว่า
“ซุนเผิงจวี่ เจ้าว่า วันนี้เราจะไปทำอะไรกัน!?”
“ปราบพวกนอกด่านให้สิ้น สังหารตัดหัวหัวหน้าโจรทิ้ง!!”
ซุนเผิงจวี่ตอบเสียงดังกังวาน หวังทงสองมือตบกัน เสียงดังว่า
“ดีมาก วันนี้ข้าจะนำพวกเจ้าปราบพวกนอกด่านให้สิ้น สังหารตัดหัวหัวหน้าโจรทิ้ง!!!”