องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1010 ปะทะครั้งแรกบนที่ราบ
ตามวาจาของขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า กองกำลังหู่เวยกับทหารที่อื่นต่างกัน เงียบกริบยิ่งนัก แรกๆ ที่มากับพวกเขา ล้วนคิดว่านี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ เงียบขรึมเป็นการแสดงออกถึงวินัยของกองกำลังหู่เวยที่เข้มงวด แต่ทว่าเช้าวันนี้ ในค่ายเริ่มวุ่นวาย หลังศึกนี้ ทุกอย่างก็เหมือนจะเสร็จสิ้น ทุกคนอาจจะได้พักหรืออาจจะถูกส่งไปที่ใด สามารถหลุดพ้นจากการรบที่น่าเบื่อยาวนานนี้ได้ อย่างไรทุกคนก็ย่อมรู้สึกดีใจจนไม่อาจระงับ
ทหารม้าเลี้ยงอาหารม้าแล้ว ก็รอออกเดินทาง พวกเขาจูงม้าตามแถวทหารราบมาระยะหนึ่ง ก่อนออกศึกต้องเก็บแรงม้าไว้ นี่เป็นธรรมเนียม มีเพียงทหารม้าขี่ม้าลาดตระเวนผลัดกันออกไปสืบข่าวเท่านั้น
ฟ้าครึ่งหนึ่งยังคงมืด มองเห็นดวงดาวชัดเจน อีกครึ่งเริ่มทอแสงรำไร แต่ทว่าพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น
คนงานตื่นกันเช้ายิ่งกว่า พวกเขาต้องเตรียมอาหารให้ทั้งกองทัพ วันนี้พวกเขาไม่ต้องเก็บค่ายเดินทัพ หากให้ประจำอยู่ที่เดิมก็พอ
ด้วยการตั้งค่ายเช่นนี้ ไม่ต้องเป็นห่วงศัตรูลอบโจมตี อย่างไรก็หน่วยกองบริการกองกำลังหู่เวยก็เป็นทหารมาตรฐาน และที่นี่ห่างจากสนามรบไม่ไกล แม้นู่เอ่อร์ฮาชื่อนำทัพเหนือคาดหมาย ทหารกองกำลังหมิงก็สามารถกลับมาช่วยได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ทัพใหญ่มีพวกเผ่าหนี่ว์เจินนำทาง แต่คนนำทางเหล่านี้ก็มิได้คุ้นชินเส้นทางนัก แค่พอวิเคราะห์ทิศทางได้เท่านั้น แต่สำหรับทัพใหญ่ก็นับว่าเพียงพอแล้ว คนนำทางเผ่าหนี่ว์เจินเหล่านี้ล้วนเป็นพ่อค้าที่พักในด่านแผ่นดินหมิงมาสิบกว่าปีทั้งสิ้น มักจะเดินทางไปมา ครอบครัวล้วนอยู่เมืองเหลียวโจว มีความไว้ใจได้ ทัพใหญ่ออกนอกด่าน เวลาสำคัญก็ย่อมต้องการคนไว้ใจได้ เวลาอื่นก็อาจทิ้งไว้ข้างหลัง
หากเป็นคนนำทางที่หาจากในพื้นที่ หากนำพาทัพใหญ่ไปยังที่อันตราย ก็ย่อมเป็นหายนะใหญ่ ดังนั้นทุกอย่างล้วนต้องรอบคอบไว้ก่อน ยอมด้อยประสิทธิภาพเล็กน้อย แต่ไม่อาจเปิดช่องให้ผิดพลาดได้แม้แต่น้อย คนนำทางเหล่านี้ส่งข่าวมา หวังทงก็จะให้กองกำลังหู่เวยกับทหารม้ากองอื่นออกไปตรวจสอบก่อนตัดสินใจ
ตอนนี้วิเคราะห์ได้ว่าสนามรบอีกไม่ถึงสิบลี้ข้างหน้า มีทัพใหญ่เตรียมจัดแถวรอ หวังทงบนหลังม้าสูดลมหายใจลึก อากาศเต็มปอด ทำให้จิตใจปลอดโปร่ง หวังทงกระตุกบังเหียนม้า ม้าส่งเสียงร้องดัง เริ่มทะยานไปข้างหน้า หวังทงยกมือโบกไปข้างหน้า
เสียงกลองเริ่มตีเป็นจังหวะ ขุนพลทหารเริ่มตะโกนสั่งการ ทัพใหญ่ออกเดินทัพ ไม่รู้เป็นเพราะรู้สึกไปเองหรือย่างไร หวังทงรู้สึกว่าตนเองได้ยินเสียงเป่าเขาสัญญาณและเสียงสั่งการ อีกฝ่ายก็เคลื่อนทัพเช่นกัน
****************
เพราะพื้นที่ราบ ฟ้าค่อยๆ สาง ระยะไม่กี่ลี้ไม่ไกลนัก หวังทงก็เห็นทหารเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวตั้งทัพรออยู่แล้ว
หรือเพราะหลายวันนี้ไปไล่จับคนมาได้มากพอ กองทัพเผ่าหนี่ว์เจินตรงหน้าจึงดูแล้วยิ่งใหญ่มาก ทหารติดตามหวังทง นำข่าวจากทหารม้าสืบข่าวมารายงานตลอด ในฐานะหัวหน้ากองกำลังหู่เวย หลี่หู่โถวติดตามข้างกายหวังทง
“ที่นี่เป็นชายขอบที่ราบ ด้านหลังแถวศัตรูเป็นตีนเขา ทัพใหญ่เดินหน้ายุ่งยากมาก นี่คงต้องการสู้แบบไม่เหลือทางหนี”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ หลี่หู่โถวพยักหน้า กล่าวว่า
“น่าเสียดายปืนใหญ่กระสุนเก้าชั่งล้วนไม่ได้เอามาด้วย ไม่งั้นจะยิงถล่มพวกมันเลย ให้พวกนอกด่านกองน้อยๆ นี่กลายเป็นเรื่องตลกไปเลย”
“ปืนใหญ่กระสุนหกชั่งเพียงพอแล้ว ไม่ว่าปืนใหญ่หรือปืนไฟ สังหารได้แต่ไม่อาจปราบได้ราบคาบ วันหน้าอาจจะได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้ หากเจ้าคิดปราบศัตรูสังหารให้ราบคาบ ยังคงต้องอาศัยทหารราบกับทหารม้า”
หวังทงสอนขึ้น หลี่หู่โถวรับคำท่าทางจริงจัง เขารู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ หวังทงกำลังถ่ายทอดสอนสั่งตน กล่าวจบ หวังทงก็หันไปหาถานเจียงบนหลังม้า อดไม่ได้ถอนหายใจ หลายวันก่อนถานเจียงสลบไปพักหนึ่ง แพทย์ในสนามรบที่หลี่เฉิงเหลียงจัดหามาให้ ตรวจดูแล้วก็บอกว่าไม่ต้องกินยา ให้ทุกวันดื่มโสมคนให้มากๆ หน่อยก็พอ
ความหมายนี้ ทุกคนล้วนเข้าใจ เช้าวันนี้เดิมทีคิดให้ถานเจียงพักผ่อนรอที่ค่าย แต่คิดไม่ถึงถานเจียงตื่นเช้ายิ่งกว่าหวังทง ยังกระปรี้กระเปร่ามาก สีหน้าไม่เลว สีหน้าถึงกับมีสีแดงแบบคนมีสุขภาพดี
ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่ยังแอบดีใจ มาถามไถ่ กลับถูกถานเจียงตำหนิกลับไป บอกทัพใหญ่ออกศึกตรงหน้า ยังมาอยู่ในกระโจมตนเองทำไมกัน
แต่พอเห็นภาพเช่นนี้ หวังทง ถานปิง ไช่หนานและคนอื่นก็เข้าใจได้ ในใจล้วนบอกไม่ถูก ไม่รู้จะแสดงท่าทีเช่นไรดี
พอเห็นหวังทงหันมามอง ถานเจียงยิ้ม กล่าวว่า
“จัดการหัวหน้าโจรนี้ได้ ชายแดนตอนเหนือแผ่นดินหมิงร้อยปีนี้จะสงบสุขต่อไปได้”
“อาจารย์ถาน พวกป่าเถื่อนจะไม่มีอยู่แล้วหรือ!”
หลี่หู่โถวแทรกขึ้น ถานเจียงยิ้มกล่าวว่า
“เจ้าไม่รู้จักความสามารถผู้คุ้มกันกลุ่มพ่อค้ากับพวกชนเผ่ารอบนอกเมืองกุยฮว่าเฉิง ราวกับหมาป่า กินทีกินรวบ ช้าเร็วก็ย่อมต้องกัดกินแทะกระดูกพวกนอกด่านได้เป็นกอง”
วาจานี้ทำทุกคนล้วนหัวเราะดัง หลี่หู่โถวทำท่าทางแบบคนแก่ส่ายหน้าทอดถอนใจ
“เมื่อก่อนข้าติดตามบิดาไปเมืองจี้โจว บนทุ่งหญ้าขบวนการค้าแผ่นดินหมิงเราถูกปล้นชิงไม่น้อย เหตุใดไม่กี่ปีมานี้ จึงได้กลายเป็นเราแย่งชิงคนอื่นแล้วเล่า!?”
เขาเองรู้สาเหตุ แต่ทว่าคิดให้ถานเจียงกล่าวมากหน่อย ถานเจียงอธิบายอย่างตื่นเต้นว่า
“ไร้ประโยชน์ย่อมไม่ลงมือ เห็นเงินทองมากมายกองตรงหน้า ขอเพียงลงมือก็นำกลับมาได้ ผู้ใดจะไม่หวั่นไหว จะว่าไป นายท่านให้พวกเขามีชุดเกราะและปืน ยังให้ทหารเก่าเราเป็นกำลังฝึกหลัก บนทุ่งหญ้าพวกนอกด่านนั่นบอกว่าเป็นทหารม้า แต่ปกติก็พวกชาวบ้านเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนเท่านั้น จะมากวัดแกว่งอาวุธสู่กับกับกลุ่มคุ้มกันพ่อค้าที่วันๆ ฝึกยุทธ์กันได้อย่างไร”
ทุกคนล้วนกล่าวกันตื่นเต้น แต่ไม่ค่อยมีคนคิดเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อก่อนพ่อค้าบนทุ่งหญ้าชาวฮั่นหรือพวกใดไม่รู้แน่ที่เห็นแก่เงินมาก ทำไมไม่กล้าลงมือแย่งชิง กลับยอมถูกกดขี่ข่มเหง อันนี้คนน้อยมากที่จะเข้าใจ หวังทงเองก็ไม่อยากเปิดโปงพวกเขา
กล่าวจบ ก็อยู่ห่างจากศัตรูไม่ไกลแล้ว ทุกคนไม่รู้ว่าควรกล่าวอันใด หวังทงเองก็รู้สึกเซ็ง เขาหันไปสั่งทหารติดตามสองสามคำ ทหารติดตามรีบขี่ม้าออกไป ไม่นานซุนซิงก็มาถึง
ซุนซิงตอนนี้เป็นหัวหน้ากอง รูปร่างยังคงตัวใหญ่กำยำที่สุดในกองทัพ ทำให้ม้าที่เขาขี่ต้องไปซื้อหากลับมาจากซีอวี้โดยเฉพาะ
“ซุนซิง จิตใจข้าไม่สงบ ขลุ่ยเจ้าเอาติดตัวมาด้วยใช่ไหม เป่าให้ข้าฟังสักเพลง!”
ผู้ใดก็ไม่คิดว่าหวังทงจะกล่าวเช่นนี้ ซุนซิงเป่าขลุ่ยเป็น เป็นเรื่องที่ชาวลานฝึกหู่เวยทุกคนล้วนรู้ ตอนเดินทัพ ซุนซิงยังสั่งทำขลุ่ยทองแดงมาเป็นพิเศษ ราคาไม่ถูก นับว่าเป็นสิทธิขุนพลทหารที่ได้มากกว่าผู้อื่น
พวกซุนซิง หลี่หู่โถวรู้จักหวังทงที่ลานฝึกหู่เวย ต่อมามาเป็นทหารติดตาม อยู่กองกำลังหู่เวยมานาน ไม่ค่อยได้เห็นหวังทงมีท่าทีเช่นนี้ เผชิญทัพใหญ่ ถึงกับคิดฟังเสียงขลุ่ยบรรเลงเป่า แปลกใจก็ส่วนแปลกใจ แต่ทว่าก็มิใช่เรื่องใหญ่ ซุนซิงยิ้ม ควักเอาขลุ่ยออกมาจากเสื้อ เช็ดถูเบาๆ ก่อนจะเริ่มเป่า
เสียงขลุ่ยแผ่วเบา ได้ผลจริง จิตใจที่สับสนของหวังทงเริ่มสงบลง ทัพใหญ่นับหมื่นเดินหน้า เสียงขลุ่ยนี่ไม่ได้ยินไปไกลนัก แม้แต่คนใกล้ๆ หวังทงก็ยังได้ยินไม่ชัด ทุกคนล้วนเงียบ
อย่างช้าๆ ความเงียบเหมือนแผ่ปกคลุมไปทั่ว ยามเดินทัพ ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าและเสียงกลอง เสียงขลุ่ยแผ่วเบาค่อยๆ สะท้อนไปมาทั่วกองทัพ
จนกระทั่งเสียงสัญญาณหวีดดังและเสียงกลองเร่งจังหวะ ทัพใหญ่หยุดลง ถึงสนามรบแล้ว
*******************
ทัพใหญ่จัดทัพรับศึกในยุคสมัยนี้ส่วนใหญ่เว้นระยะ 300 ก้าว กองกำลังหู่เวยกลับเว้น 500-600 ก้าว นี่เป็นรัศมียิงปืนใหญ่
ทัพใหญ่หยุดทัพ ใช้ม้าลากปืนใหญ่มาเริ่มติดตั้งปืนใหญ่ เสียงขลุ่ยซุนซิงหยุดลง หวังทงคำนับบนหลังม้า จากนั้นก็กลับไปยังกองกำลังตน
แต่ละหน่วย ทหารถ่ายทอดคำสั่งนำข่าวมาแจ้งหวังทงไม่หยุด ทหารม้าก็เช่นกัน หวังทงมองไปยังสนามรบตรงหน้า การต่อสู้เริ่มแล้ว สายที่ส่งออกไปเริ่มปะทะกับทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจิน การต่อสู้เช่นนี้การเปิดศึกระลอกแรกของทัพใหญ่ ไม่ส่งผลอันใดต่อการรบภาพรวม ก็เหมือนกับการแสดงความสามารถให้ชมก่อน ทหารม้ากับทหารม้าใช้ธนูยิงกัน ไม่ก็ปะทะระยะประชิดด้วยดาบหรือทวน
ในตอนนี้ ขุนพลทหารกองกำลังหู่เวยไม่เข้มงวดกับทหารตนว่าต้องเคร่งขรึม หากให้ร้องตะโกนเชียร์ทหารม้าตนได้ นับเป็นวิธีการหนึ่งในการเสริมสร้างกำลังใจทหาร
ความจริงนั้น ทหารม้าเก่งกล้าเช่นนี้ใจกล้าสู้ตายไม่เสียเปรียบแต่อย่างใด พวกเขาล้วนเป็นทหารเก่งกล้าที่ถูกคัดมา เครื่องป้องกันและอาวุธก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าทหารม้ากองกำลังหู่เวย แต่ทหารม้าเหล่านี้ในกองกำลังแสนกว่าของเมืองชายแดน อาจจะมีไม่ถึงสองพันนาย ติดตามมาได้ ก็ล้วนเป็นการคัดเลือกจากเก่งกล้าในเก่งกล้า แน่นอนย่อมเก่งกล้าสามารถ
ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินไม่ได้เปรียบแต่อย่างใด แต่ละนายถูกสังหารตกจากหลังม้า มีทหารม้ากองกำลังหมิงจงใจแสดงต่อหน้าทัพใหญ่ เห็นทหารม้าเจี้ยนโจวกระชากม้าวิ่งกลับ ตนเองก็หยุดม้าน้าวธนู ยิงปักศัตรู เห็นทหารม้าพวกนอกด่านตรงหน้าร่วงจากหลังม้า อย่างไรก็ย่อมได้เสียงเชียร์ดังยิ่งกว่าเดิม
เสียงกลองตึงๆ ๆ ดังขึ้น ชาวเผ่าหนี่ว์เจินคิดแล้วคงไม่อยากทำลายขวัญทหารตน จึงรีบเรียกทหารม้าตนกลับไป หวังทงยิ้ม ถ่ายทอดคำสั่งว่า
“ให้ทหารม้ากลับมา ให้นายพวกเขาให้รางวัลด้วยวาจา กระโจมแม่ทัพเราออกเงินเป็นรางวัล!”
ทหารถ่ายทอดคำสั่งไป สนามรบเริ่มราบเรียบล้วนเร็ว หวังทงไม่เร่งร้อนลงมือ คนงานหน่วยกองบริการใช้ไม้ต่อเป็นหอสังเกตการณ์สามหอ จัดไว้รอบทัพใหญ่ ที่ราบเช่นนี้ ศัตรูเหมือนว่าไม่อาจมีช่องโจมตีได้
หอสังเกตการณ์สร้างขึ้น ทหารมองไกลเพิ่งปีนขึ้นไปได้ครึ่งเดียว ก็ได้ยินเสียงเป่าสัญญาณอีกฝ่ายดังขึ้น ทหารที่ปีนขึ้นไปมองระยะไกล เห็นรถโล่เผ่าหนี่ว์เจินเป็นแถวเรียงรายกันออกมา ราวกับบังทั้งกองทัพไว้หมด