องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1013 ล้อมกรอบ
ปืนไฟสี่หน่วยแผงกลางยิงก่อน แต่ทว่าเสียงปืนไฟถูกเสียงปืนยิงทางปีกซ้ายกลบมิด
พลปืนไฟกว่าครึ่งถูกย้ายมายังปีกซ้าย กองปืนไฟแผงกลางจำนวนน้อยมาก ยิงไปรอบหนึ่งก็วิ่งลอดช่องระหว่างแถวพลทวนยาวกลับมา
ทหารเจี้ยนโจวไม่อาจตามทัน เพราะด้านหน้าพวกเขามีปืนใหญ่ระดมยิงทั่ว ถูกปืนไฟกราดยิงไปรอบ ความจริงก็แทบจะหมดเกลี้ยงแล้ว
เห็นพลปืนไฟกองกำลังหู่เวยวิ่งกลับตามช่องว่างของแถวทวนยาว ทหารเจี้ยนโจวที่วิ่งหนีปืนใหญ่ก็เริ่มมีแรง ระยะนี้หากบุกเข้าไปได้ย่อมดีที่สุด แต่ปืนใหญ่ก็ยิงคร่าชีวิตไม่หยุด ในใจก็กดดันยิ่ง หลายร้อยก้าวแค่นี้ทำให้ทุกคนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก
ซูเอ่อร์ฮาฉีที่กลับจากแม่น้ำไท่จื่อเหอเคยบอกว่า ทหารราบทวนยาวกองกำลังหมิงกองนี้กล้าหาญมาก ตั้งค่ายรับแน่นหนาไม่ถอย แต่ทหารเจี้ยนโจวแต่ละคนล้วนรู้สึกว่าขอเพียงบุกไปถึงตรงหน้าได้ ทหารกองกำลังหมิงก็มิใช่คู่ต่อสู้อีกต่อไป พวกเขามีแต่ปืนที่ร้ายกาจ พวกเขาถือทวนยาวก็เพียงเพื่อไม่คิดเข้าปะทะระยะประชิด
เบื้องหน้าในยามนี้เอง ปืนใหญ่กองกำลังหมิงก้องกัมปนาทก็หยุดยิง มาถึงตรงหน้าแล้ว ขอเพียงประชิดได้
“แทง!!”
สองฝ่ายปะทะกัน กองกำลังหมิงเหมือนกับป่าหนามเหล็กเรียงตัวกันมีช่องว่างอยู่ เหมือนว่าให้รอดตัวเข้าไปได้ แต่หากรอดแถวหนึ่งเข้ามาตามช่องได้ ไม่กี่ก้าว ก็จะพบว่าแผงตรงหน้ายังคงเป็นทวนยาว
ระยะใกล้กันเห็นๆ เพียงนี้ กองกำลังหมิงเห็นนับรบเผ่าหนี่ว์เจินแข็งแกร่งเพียงนี้เหตุใดจึงยังไม่แตกกระจัดกระจาย ยังคงยืนหยัดถือทวนยาวแทงไม่หยุด
ทหารเผ่าหนี่ว์เจินที่บุกเข้ากองกำลังหมิงได้ หลายคนมีสถานะทหารติดตามระดับไป่หยาหล่า พวกเขาสวมเกราะลวดขด บางคนยังกล้าหาญไม่กลัวเกรง ส่วนนอกยังมีเกราะผ้าอีกชั้น ยามเผชิญกับการระดมแทงของทวนยาวสามารถพอต้านทานได้ หากแต่ละคนที่เผชิญอยู่นั้นไม่เพียงแค่ทวนยาวด้ามเดียว
ทหารเจี้ยนโจวแต่ละคนล้มตายหน้าแผงทวนยาว มีบ้างที่ร่างกายแข็งแรง เคลื่อนไหวว่องไว คิดจะเล็ดรอดผ่านช่องว่างเข้าประชิดตัว หากพวกเขามักไม่อาจต้านทานการฟันด้วยทวนขวานของหัวหน้าทหาร ปืนไฟสองข้างยังคงยิง
พอเข้ามาในรัศมีสังหารตรงหน้า นักรบทหารเจี้ยนโจวความจริงนั้นตายไปมากกว่าตอนก่อนหน้าที่ถูกปืนไฟกับปืนใหญ่ระดมยิงมาก แต่การต่อสู้กลับยิ่งกล้าหาญ เพราะคิดไปเองว่าหากทะลุแนวนี้ได้ก็มีความมั่นใจในชัยชนะมากขึ้น แต่พวกเขาเสริมกำลังเข้ามาก็มีแต่มาตายเท่านั้น
แต่ละคนล้วนคิดเช่นนี้ ขอเพียงทะลายกองนี้ได้ หรือรบติดพันเอาไว้ได้ เช่นนั้นอีกทางก็อาจจะทะลายชนะศัตรูได้
***************
ปีกซ้ายตอนนี้ไม่ได้ยินเสียงคำสั่งกับเสียงด่าทออันใดแล้ว ถึงกับแม้แต่เสียงม้าร้องก็ไม่ได้ยินชัด เพราะเสียงยิงถล่มปืนไฟกลบเสียงทุกอย่าง
เพื่อรับประกันว่าจะยิงได้ต่อเนื่อง พลปืนไฟ 2,400 นายเรียงแปดแถว แต่ละแถวเว้นช่องระหว่างพลปืนไฟพอควร พอยิงเสร็จ ก็สามารถถอยกลับมาเติมกระสุนด้านหลังได้
ทหารม้าเจี้ยนโจวยังไม่ทันได้เข้าใกล้ระยะยิง พลปืนไฟก็กระชับไม้ง่ามตั้งปืนในมือแน่น เพราะพื้นดินเริ่มสะเทือน ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินที่บุกอยู่ด้านหน้าสุดไม่ใช่ม้ามองโกลตัวเล็ก แต่เป็นม้าเหลียวตงตัวสูงใหญ่ ทำให้พวกเขายิ่งดูทรงกำลังน่ากลัว
ในใจพลปืนไฟ ไม่เพียงแต่ทหารใหม่ที่หวาดกลัว หลายคนก็หวาดกลัว แต่ทว่าการฝึกซ้อมทำให้พวกเขาตั้งท่าจนเคยชิน วินัยทำให้พวกเขาไม่อาจไม่ทำตามคำสั่ง ยิงก่อนระยะ ไม่ยิงในระยะที่กำหนด มีการลงโทษหนัก ทำให้พวกเขาแต่ละคนล้วนไม่กล้าลงมือพลการ
ไม่ต้องสนใจว่ายิงแม่นหรือไม่ แค่เล็งไปยังกองศัตรู หลังคำสั่ง ก็ให้จุดชนวนเหนี่ยวไกยิงก็พอ ทหารม้าศัตรูย่อมถูกยิง
หากมีเล็ดรอดมาได้ ปืนใหญ่ปีกซ้ายห้ากระบอกจะจัดการแทนพวกเขาต่อ ทหารม้าเจี้ยนโจวแม้กล้าหาญชาญศึก พวกเขาเข้ามาในรัศมียิง ยิงไปสามระลอก พวกเขายังคงบุกต่อเนื่อง จากนั้นก็หยุดไป เหมือนว่าระยะหน้าปืนไฟ 80 ก้าวมีกำแพงดินไร้รูปร่างขวางกั้นอยู่ ไม่ว่าจะบุกอย่างไรก็ล้วนไม่อาจเข้าใกล้เกินนี้ได้
มีคนแค่ม้าถูกยิง คนก็ร่วงจากหลังม้า ไม่อาจลุกขึ้นได้อีก มีคนถูกปืนไฟยิงล้ม มีคนถูกม้าเพื่อนทหารด้านหลังเตะและเหยียบ
การบุกเช่นนี้ คิดหันหลังกลับก็ยาก ได้แต่ขึ้นหน้า ขึ้นหน้าก็มีแค่ตายกับตายเท่านั้น
พลปืนไฟแปดแถวยิงจบ ด้านหน้าที่เป็นพลทวนยาวสองแถวก็ยังไม่ได้ปะทะกับศัตรู หากสีหน้าใต้หมวกเกราะล้วนเคร่งเครียด หลังปืนไฟยิงก็ปรากฏควันคละคลุ้ง
ระลอกสองยิงเสร็จ หวังทงหันหน้ามาสั่งทหารติดตามเสียงดังว่า
“ถ่ายทอดคำสั่ง หม่าซานเปียว ทหารม้าหน่วยประจัญบานกองกำลังหู่เวยทุ่มกำลังบุกสนามรบแนวกลาง เหยียบย่ำแถวทหารนอกด่าน ทหารม้าหน่วยอื่นที่เหลือให้ตลบหลังปีกซ้ายทหารม้าพวกนอกด่าน ทำลายให้ราบคาบ”
ทหารในสังกัดรีบขี่ม้าออกไปถ่ายทอดคำสั่ง หวังทงยังตะโกนสั่งทหารติดตามอีกนายว่า
“ให้หน่วยห้าพลทวนยาวสามกองเตรียมเดินหน้า”
***************
ศึกใหญ่แผ่นดินหมิงแต่ไรมาล้วนเป็นทหารม้าบุกหน้าปะทะ เสร็จศึกก็ล้วนเป็นทหารม้าไล่ล่าสังหาร แต่กองกำลังหู่เวยนี้ ทหารม้าแต่ไรล้วนเป็นกองกำลังที่เตรียมพร้อมไว้เท่านั้น
หม่าซานเปียวที่ชมชอบการต่อสู้มองทหารราบหลายหน่วยสู้กันดุเดือด เขาก็มักคิดว่าหรือว่าตนเองจะออกสู่สนามรบดี การมาหยุดรอที่นี่ หนึ่งก็เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ อีกหนึ่งก็เพื่อดูแลม้า ม้าศึกมักไม่คุ้นชินกับปืนไฟและปืนใหญ่ ล้วนแตกตื่น ทหารม้าต้องใช้ผ้าอุดหูม้าไว้ จากนั้นก็ปลอบขวัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ม้าสติกระเจิง
พอคำสั่งมา หม่าซานเปียวก็ดีใจสุดขีด สามารถนำทหารม้าหน่วยประจัญบานออกศึกแล้ว กองกำลังหู่เวยมีทหารม้าแบบนี้ทั้งหมด 300 กว่านาย ล้วนสวมเกราะหู่เวยครบชุด ม้ายังมีพรมปิดทับตัวอีกชั้น ใช้อาวุธเช่นทวน ไม่ก็ดาบใหญ่หรือขวานหนัก เดิมกองกำลังหู่เวยใช้ม้ามองโกล แม้ว่าเป็นม้าดีมองโกล แต่ก็ยากบุกได้เกินสามรอบ และยากจะวิ่งโจมตีระยะไกล
ตั้งแต่ยึดเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ กองกำลังหู่เวยก็นำเข้าม้าชั้นดีมาจากซีอวี้ จึงเป็นก้าวแรกที่ทำให้ขบวนทัพม้ากองกำลังหู่เวยเปลี่ยนม้า
สามารถเป็นทหารม้ากองกำลังหู่เวย มักเป็นพวกทหารเก่าที่เข้ามาเป็นทหารนานพอควร หรือไม่ก็เป็นทหารม้ามองโกล ล้วนเป็นพวกที่กระหายเลือดชอบสงคราม แต่กองกำลังหู่เวยที่มักใช้การรบแบบปืนเป็นหลัก จึงไม่ค่อยได้มีโอกาสได้แสดงฝีมือ แต่ไรมาก็อัดอั้นมาก
สามารถมีโอกาสเข้าประจัญบานเช่นนี้ ทุกคนตื่นเต้นยินดี ไม่นานทหารม้าหน่วยประจัญบานก็เตรียมตัวเสร็จ ทหารม้าหน่วยอื่นก็ตามอยู่ด้านหลังทหารม้าหน่วยประจัญบาน
ทหารม้าอื่นล้วนมีทหารม้าจี้โจวเป็นแกนนำ เริ่มเคลื่อนไปทางปีกซ้ายทัพใหญ่ศัตรู
หม่าซานเปียวยกทวนยาวในมือขึ้น ตอนนี้สนามรบฟังไม่ได้ยินคำสั่งใดแล้ว ได้แต่ใช้สัญลักษณ์สั่งการแทน
ทวนในมือเขายกเอียงมุมลง ทหารม้าหน่วยประจัญบานก็เคลื่อนกำลัง ค่อยๆ เดินหน้า ทหารในชุดเกราะเต็ม ม้าก็มีพรมปิดทับ น้ำหนักรวมกันแล้วเรียกได้ว่าน่าตกใจ วิ่งทะยานกันไปพื้นดินสะเทือน เสียงชุดเกราะกระทบกันดังผสม เสียงฝีเท้าม้ากระแทกพื้นดังสนั่นยิ่ง อย่างช้าๆ ทหารม้าหน่วยประจัญบานก็กลบเสียงการเคลื่อนไหวทุกอย่างบนสนามรบ
จากปีกขวาทัพใหญ่ทะลุแนวเอียงข้ามมา ระยะให้ทหารม้าเร่งความเร็วนั้นยาวพอ มีระยะพอที่จะวิ่งเข้าใส่
ที่ยิ่งสำคัญก็คือ ทหารม้าหน่วยประจัญบานเคลื่อนไหว ทำให้ทหารราบเผ่าหนี่ว์เจินที่ยังบุกเข้ามาไม่ได้ตกอยู่ในภาวะแตกตื่น ทหารม้ากองกำลังหมิงไม่เคยนำมาใช้ พวกเขายังคิดว่าจะส่งกำลังมาสู้กับทหารม้าศัตรูปีกซ้าย คิดไม่ถึงว่าจะใช้มาโจมตีทหารราบ
หม่าซานเปียวขี่ม้าบุกหน้าสุด แต่ไรแถวทหารม้ามักเป็นรูปหัวธนู เขาสามารถมองเห็นทหารเผ่าหนี่ว์เจินแตกตื่นพากันน้าวธนูยิงมาทางเขา
ธนูยิงได้แม่นมาก แต่ไม่ได้ปักพอดีเข้ากับช่องว่างระหว่างชุดเกราะ หากยิงเข้าหน้าอกหม่าซานเปียวเต็ม ๆ หม่าซานเปียวถึงกับไม่ได้ขยับอาวุธปัดป้อง เพียงแค่เอี้ยวตัวหลบเบาๆ ธนูปะทะเกราะ ส่งเสียงดังตึง หากทำได้เพียงแค่ทำให้เกราะส่วนหน้าอกเป็นรอยบุ๋มเท่านั้น หม่าซานเปียวผงะหลังเล็กน้อย หากก็กลับสู่ภาวะปกติได้ทันที
เห็นทหารม้าในชุดเกราะเช่นนี้ ทหารม้าหน่วยประจัญบานสูงใหญ่วิ่งปะทะมาหน้าตน ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินล้วนพากันหลบตามสัญชาตญาณ ไม่กล้าเข้าปะทะซึ่งหน้า
แต่ม้าอย่างไรก็ไวกว่าคน พอคนหลบ ในกองกำลังแน่นหนาเช่นนี้ ที่สองที่สามก็ย่อมหลบไม่ทัน
ทวนหม่าซานเปียวแทงมา มือกระชับแน่น มีอีกแขนช่วยอีกแรง แทงทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินตรงหน้า ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินแม้สวมเกราะผ้า แต่ก็ถูกแทงทะลุ แต่แรงคนประสานแรงม้ากำลังแรงไม่ได้ลดลง กระแทกฝ่ายตรงข้ามกระเด็นลอย ไปปะทะด้านหลัง
พอถูกกระแทกกระเด็นเช่นนี้ กองทหารเผ่าหนี่ว์เจินก็ย่อมแตก คำกล่าวที่ว่า ดาบร้อนตัดไขมันวัว ไม่มีผู้ใดขวางทางอีก ก็คนเป็นเช่นนี้นี่เอง
ทหารม้าหน่วยประจัญบานกำลังจะฝ่าแนวกำลังทหารราบเผ่าหนี่ว์เจิน ทหารม้าสองข้างก็เริ่มเข้ากวาดล้าง ที่พวกเขาต้องทำก็คือสังหารจากมุมสูง
ทหารม้าบุกฝ่าไปอีกด้านแล้วก็วกกลับมา พริบตา ทหารราบเจี้ยนโจวก็แตกพ่ายสิ้นเชิง พวกเขาถูกทหารม้าล้อมไว้ตรงกลางแล้ว ด้านหน้าแน่นหนาเข้มแข็งมาก ถึงตอนนี้ยังไม่อาจแตะต้องกองทหารราบตรงหน้าได้ ตอนนี้ถูกทหารม้าล้อมสังหารแล้ว
การต่อสู้ไร้ความหวังสิ้นเชิง ทหารม้าปีกข้างที่บอกกันว่าเป็นโอกาสแห่งชัยชนะ ตั้งแต่ปรากฏตัว ก็ไม่มีความคืบหน้าใด กองปืนไฟยิงไม่หยุดราวกับถั่วระเบิด เสียงคนและม้าร้องโหยหวนไม่หยุดเช่นกัน ตอนนี้ทหารม้ากองกำลังหมิงลงสู่สนามรบแล้ว การรบนี้พ่ายแพ้สิ้นเชิงแล้ว
ยิงระลอกแรก ทหารม้าหน่วยประจัญบานโยนทวนยาวในมือทิ้ง คว้าเอาดาบและขวานจากอานม้าออกมา บุกเข้าสู่กลางกองกำลังทหารราบเผ่าหนี่ว์เจิน
“พลทวนยาวขึ้นหน้า พลปืนไฟยิงกันตามสบาย! บุกเข้าไปๆ !!”
หลี่หู่โถวตะโกนสั่งการบนหลังม้า เสียงคำสั่งประสานเสียงกลอง ทางปีกซ้าย หวังทงยืนบนหลังม้ามองไปยังการเคลื่อนไหวของทหารม้าหน่วยต่างๆ สีหน้ามีรอยยิ้ม กล่าวเบาๆ ว่า
“ล้อมกรอบได้แล้ว…”