องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1015 เดิมทีจะได้เป็นข่านใหญ่
หัวหน้าใหญ่เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว ข่านปรีชานู่เอ่อร์ฮาชื่อถูกจับ มีคนตะโกนดัง คนหนึ่งตะโกน ทุกคนก็โห่ร้องยินดีตาม ทหารเจี้ยนโจวบนสนามรบหมดแรงจะต่อต้านแล้ว
ทหารเจี้ยนโจวที่คุกเข่าที่พื้นยอมจำนนอยู่ๆ ก็ร้องไห้ดังขึ้น มีคนคว้าอาวุธวิ่งออกไปสู้ ได้ยินเสียงเพื่อนตะโกนดัง แต่อยู่ๆ ก็ระบายลมหายใจเฮือก ก่อนจะคุกเข่าลง
“แม่ทัพใหญ่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรๆ !!”
ไม่รู้ผู้ใดตะโกนขึ้นก่อน ทุกคนบนสนามรบพากันตะโกนตาม ทหารล้วนตะเบ็งเสียงตะโกนดัง ทัพใหญ่เข้าเมืองเหลียวโจว รบต่อเนื่องชนะต่อเนื่อง แต่ละครั้งล้วนเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่เอาคืนที่เสียไป สุดท้ายยังทำลายล้างประเทศศัตรู ตัดหัวหัวหน้าโจร ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินหมิงมา ไหนเลยจะมีชัยชนะใหญ่เช่นนี้
ทหารดีใจกันสุดขีด ขุนพลทหารต้าถงกับจี้โจวล้วนมีสีหน้ายินดี ขุนพลทหารเมืองเซวียนฝู่กับเมืองเหลียวโจวมาจากหน่วยเดิมเดียวกัน ยามนี้ได้มารวมกัน สีหน้าสับสนมองไปทางธงแม่ทัพ
“ผลงานยิ่งใหญ่ระดับนี้ หลี่ซ่านฉาง[1] สวีต๋า ก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง!”
“ตอนบุกเบิกแผ่นดินหรือสังหารล้างชาติศัตรู ล้วนไม่แน่ว่าจะมีผลสำเร็จเช่นนี้ ตอนนี้เขาเป็นถึงติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ยังมีตำแหน่งใดมอบให้อีก”
หลายคนพูดกันไม่ดังนัก สีหน้าสับสน
**************
ทหารติดตามหวังทงรีบเข้าไปในสนามรบยกเอาแผ่นไม้จากรถโล่ที่เสียหายไม่มาก นำร่างถานเจียงจากหลังม้าลงมาวาง
ถานต้าหู่ ถานเอ้อร์หู่ ถานปิง ถานเจี้ยนล้วนอยู่บนสนามรบ ตอนนั้นทหารติดตามหวังทงชุดแรกสุดก็มีแต่ซาตงหนิงกลับมา ซาตงหนิงสั่งการให้ลูกน้องดูแลไปทั้งน้ำตา ยกมือปาดน้ำตาไม่หยุด ถานเจียงนับเป็นอาจารย์เขาครึ่งหนึ่ง ถ่ายทอดเพลงดาบให้เขา
ตามคำสั่งหวังทง นำตัวนู่เอ่อร์ฮาชื่อมายังหน้าหวังทง นู่เอ่อร์ฮาชื่อไม่อาจเคลื่อนไหวได้เอง ทหารแม้ว่าไม่อยาก แต่ก็ยังต้องทำแคร่หามมา
นู่เอ่อร์ฮาชื่อรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาองอาจมากบารมี พอพบกันก็ทำให้คนรู้สึกได้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา แต่ทว่ายามนี้สีหน้าซีดขาวยังมีรอยดำคล้ำ ใกล้จะไม่ไหวแล้ว
ชุดเกราะเปื้อนรอยโลหิตเป็นวงม่วงคล้ำ รอยนี้ยังขยายวงกว้างไม่หยุด ปืนไฟยิงทะลุร่าง แม้ชุดเกราะขดลวดผสมกับเกราะผ้า สามารถรับแรงปะทะไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ความจริงนั้นกลับทำให้เขาเสียเลือดในกายไม่มาก ทำให้ค่อยๆ ตาย เจ็บปวดยิ่งกว่า
หวังทงเอี้ยวตัวมอง นู่เอ่อร์ฮาชื่อไม่ใช่ภาพในความคิดเขา เห็นคนผู้นี้แล้ว หวังทงที่เคยเริ่มสับสนล้วนมลายหายไปสิ้น ไม่ว่าเขามีความสามารถเป็นใหญ่ได้อย่างไร ตอนนี้ตรงหน้าตนเองก็เป็นแค่ศัตรูที่ใกล้ตายเท่านั้น
“เจ้าคือหวังทง…”
นู่เอ่อร์ฮาชื่อถามขึ้นคำหนึ่ง คำนี้ทำให้แผลสะเทือนจนต้องไออกมา มีเลือดกระเด็นออกมา ทหารข้างๆ กำลังจะตวาดใส่ หวังทงยกมือห้ามกล่าวว่า
“ข้าก็คือหวังทง”
นู่เอ่อร์ฮาชื่อขยับยิ้มมุมปากหัวเราะ มองไปบนฟ้ากล่าวว่า
“ข้าทำงานรับใช้หลี่เฉิงเหลียงมานาน เห็นทหารแผ่นดินหมิงโกงกินเละเทะเหลวไหล ทหารที่เห็นก็อ่อนแอ และไม่เหมือนเดิมอย่างยิ่ง แต่เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวเรากลับเรียบง่ายบริสุทธิ์ ทำนาเพาะปลูก ข้าก็คิด วันหนึ่งหากแผ่นดินหมิง อ่อนแอลงเรื่อยๆ เจี้ยนโจวเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ให้เวลาข้าสิบปียี่สิบปี ข้าจะรวบรวมเผ่าหนี่ว์เจินตะวันตกเฉียงเหนือไปจรดทะเล เมืองเหลียวโจวย่อมตกเป็นของข้า….”
พูดถึงตรงนี้ ก็ไม่อาจพูดต่อได้อีก สีหน้าเจ็บปวดบิดเบี้ยว นู่เอ่อร์ฮาชื่อรวมแรงเฮือกสุดท้ายกล่าวว่า
“แต่แผ่นดินหมิงก็คือแผ่นดินหมิง แดนสวรรค์ก็คือแดนสวรรค์ ข้าคิดว่าเมืองเหลียวโจวเป็นพื้นที่ทหารที่เข้มแข็งที่สุดบนแผ่นดินหมิง คิดไม่ถึงตนเองดังกบในกะลา ทหารหลวงถึงกับเข้มแข็งเพียงนี้… ถึงกับเข้มแข็งเพียงนี้”
ยิ่งพูดยิ่งใส่อารมณ์มากขึ้น มือนู่เอ่อร์ฮาชื่อยกขึ้น ราวกับจะคว้าหวังทง ทหารติดตากำลังจะเอื้อมมือไปกัน นู่เอ่อร์ฮาชื่อกลับสิ้นแรง นอนนิ่งบนแคร่หาม
การแสดงอารมณ์พลุ่งพล่านทำให้กำลังนู่เอ่อร์ฮาชื่อที่เหลืออยู่สูญสิ้น ตอนนี้หน้าอกเขามีเลือดทะลักออกมายิ่งมาก ค่อยๆ ไหลนอง สองตาเริ่มไร้จุดหมาย หากยังพูดไม่หยุดว่า
“…ตั้งแต่ 13 เป็นทหารออกศึก…หลายเดือนนี้ข้าได้แต่ฝัน ฝันเห็นว่าข้าเป็นข่านใหญ่ ข้าตั้งเมืองที่เสิ่นหยาง…แผ่นดินหมิงกับทุ่งหญ้าล้วนเป็นของเราชาวเผ่าหนี่ว์เจิน ลูกหลานข้าได้เป็นฮ่องเต้…”
เสียงแผ่วลงเรื่อยๆ สีหน้าทหารติดตามหวังทงล้วนมีแววดูแคลน หากหวังทงกลับมองด้วยสีหน้านิ่ง ให้นู่เอ่อร์ฮาชื่อพูดต่อ
นู่เอ่อร์ฮาชื่อลมหายใจแผ่วลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ได้พบหวังทง เขาก็เอาแต่พูดภาษาเหลียวตง ยามนี้พูดพร่ำภาษาเผ่าหนี่ว์เจิน หวังทงเองฟังไม่ออก สุดท้าย
“…ขอให้ชาติหน้าได้อยู่แผ่นดินหมิง…”
จากนั้นก็เงียบไป สีหน้าไม่ยินยอมมีจุดจบเช่นนี้ปรากฏบนใบหน้านู่เอ่อร์ฮาชื่อ สองตาค้าง หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง เอื้อมมือไปลูบปิดตาให้นู่เอ่อร์ฮาชื่อ กล่าวเบาๆ ว่า
“เจ้าเพียงแค่มาพบข้าเข้าเท่านั้น”
หวังทงกล่าวจบก็โบกมือ สั่งให้ลูกน้องยกศพนู่เอ่อร์ฮาชื่อออกไปจัดการให้ดี ทหารติดตามได้ยินหวังทงกล่าวก็รู้สึกอารมณ์พลุ่งพล่าน รู้สึกไม่เข้าใจ
วีรบุรุษมักลึกล้ำ ทหารติดตามเองพอเข้าใจ แต่ทว่าหวังทงแสดงออกต่อการตายของนู่เอ่อร์ฮาชื่อ เกรงว่าจะเป็นการให้เกียรติหัวหน้าโจรนอกด่านทางตะวันออกมากไปสักหน่อย
คนในกองกำลังหู่เวยไม่ให้ราคาเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวสักเท่าไร คำวิจารณ์สูงสุดก็แค่ว่านิสัยป่าเถื่อนไม่คลาย มีความป่าเถื่อนหลายส่วนเท่านั้น ไม่เท่าไร การต่อสู้ครั้งนี้ก็ใช้กำลังกองกำลังหู่เวยไม่เท่าไร ไล่สังหาร ตลอดทางมาก็ล้วนมีแต่ชัยชนะและชัยชนะ ไม่ได้มีอุปสรรคอันใด
ศัตรูเช่นนี้ เทียบกับเผ่าอันต๋าที่ยิ่งใหญ่ ทหารม้าห้าหมื่น ก็เรียกได้ว่าห่างกันไกล ถึงกับเทียบกองกำลังประสานกันระหว่างเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลหลายหมื่นที่รอบเมืองเสิ่นหยางยังไม่ได้ แต่หวังทงปฏิบัติต่อนู่เอ่อร์ฮาชื่อกลับไม่เหมือนกัน แม้เซิงเก๋อตูกู่เหลิงถูกปืนใหญ่ถล่มในวังตายไปก็ไม่เห็นเช่นนี้ แม้ว่าเซิงเก๋อตูกู่เหลิง หวังทงยังปฏิบัติด้วยท่าทีปกติ นอกกำแพงเมืองแผ่นดินหมิง เผ่าอันต๋าถูกยกให้เป็นใหญ่ เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวเป็นค่าเผ่าบ้านนอกเล็กๆ เท่านั้น
เหตุใดเป็นเช่นนี้ ทหารติดตามหวังทงเองก็ไม่เข้าใจ พวกเขาเองก็มิได้อยากคิดให้กระจ่างเช่นกัน เรื่องที่ได้ยินได้เห็นมาเมื่อครู่ อย่างมากก็แค่เอามาเป็นเรื่องเล่าคุยกันส่วนตัว ไว้เล่าสู่กันฟังเป็นเรื่องเล่าในวันหน้าก็เท่านั้น
สนามรบถูกทหารแต่ละค่ายแบ่งออกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อย แต่ละค่ายเข้าเก็บกวาดสนามรบ ไม่นานก็ส่งข่าวมา เรื่องถานเจียงจากไปยังไม่ได้แพร่ออกไป เพราะคนตระกูลถานล้วนกำลังรับหน้าที่หัวหน้าทหารปฏิบัติหน้าที่อยู่ ยามนี้แม้กำลังเก็บกวาดสนามรบแล้ว แต่ก็ไม่อาจให้พวกเขาเสียสมาธิได้
“ไปถามพวกเชลยว่า บุตรชายและหลานชายนู่เอ่อร์ฮาชื่อพวกนั้นไปไหนกันหมด?”
ไม่นาน ทหารติดตามก็ไปสอบถามจากบนสนามรบได้ความมาว่า บุตรชายนู่เอ่อร์ฮาชื่อหลายคนกับบุตรชายซูเอ่อร์ฮาฉีล้วนตายหมดแล้ว ป่วยตายระหว่างหนี ไม่ก็ตายบนสนามรบเมื่อครู่ สถานการณ์ถึงตอนนี้ ให้ลูกหลานอยู่อย่างอัปยศ มิสู้ให้สู้ตายในสนามรบ
ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็ถอนหายใจยาว ขยับม้าเดินไปมา จากนั้นก็ลูบแผงคอม้า นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะออกคำสั่งว่า
“ตีกลองชัยได้!”
เสียงกลองแห่งชัยชนะตีดัง แสดงให้เห็นว่าการรบได้ปิดฉากแล้ว นับผลความชอบจากการต่อสู้ได้แล้ว เสียงกลองดัง ตึง ตึง ตึง บนสนามรบเดิมที่มีเสียงโห่ร้องยินดีตอนนี้ก็ยิ่งดัง
เสียงยินดีบนสนามรบดังไปทั่ว บรรดาทหารล้วนอยู่ในอารมณ์ผ่อนคลายและดีใจสุดขีด ปราบกองกำลังนี้ราบคาบลง หัวหน้าเผ่าอย่างนู่เอ่อร์ฮาชื่อกับซูเอ่อร์ฮาฉีล้วนจบสิ้น จากฤดูหนาวมาถึงฤดูใบไม้ผลิ ล้วนต่อสู้ท่ามกลางความเหน็บหนาว และไล่ล่ามาระยะเวลาหนึ่ง บัดนี้จบสิ้นลง จากนี้ก็คือเวลาแห่งการเก็บกวาดแบ่งสรรความดีความชอบแล้ว
เทียบกับความยินดีรอบๆ แล้ว บริเวณธงแม่ทัพบรรยากาศกลับตรงกันข้าม สำหรับพวกหวังทงแล้ว ถานเจียงไม่เพียงแค่เป็นรุ่นอาวุโสพวกเขา หากยังเป็นทั้งอาจารย์และครูฝึก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่
คนพยายามกลั้นน้ำตาที่ไม่อาจกลั้นได้ไม่น้อย หากไม่มีผู้ใดส่งเสียงร้องไห้ออกมา ทุกคนล้วนเงียบมาก ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่โขกศีรษะให้ถานเจียงหลายที ลุกขึ้นมาก็เดินมาหน้าหวังทง คำนับกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ บิดาข้าน้อยตอนยังมีชีวิตเคยกล่าวว่า ได้ติดตามแม่ทัพใหญ่ยกทัพปราบตะวันออก ยึดคืนตะวันตก บิดาข้าน้อยตายไม่เสียใจ บิดาข้าน้อยรู้ว่ามีเวลาอีกไม่นาน กล่าวกับข้าน้อยว่า สามารถได้เห็นพวกข้าน้อยทำลายทัพนอกด่านบนหลังม้าได้ นับเป็นงานศพที่ยิ่งใหญ่ทรงเกียรติสูงสุด”
“นักรบสิ้นใจบนหลังม้าหรือ?”
หวังทงพึมพำถามตนเองขึ้น ส่ายหน้าถอนหายใจ ตามมาด้วยคำถามว่า
“บิดาเจ้าติดตามข้ามาหลายปี มีอันใดต้องการให้ข้าทำให้ ขอให้บอกมา!”
“ขอบคุณแม่ทัพใหญ่ บิดาข้าน้อยคิดเพียงว่าหลังจากไปจะได้ไปฝังข้างสุสานใต้เท้าถาน”
ในยุคนี้ สายสัมพันธ์ถานกวนกับถานเจียงเช่นนี้ก็เหมือนกับครอบครัว การทำเช่นนี้ก็เพราะน้ำใจผูกพันลึกซึ้ง หวังทงพยักหน้า ไม่กล่าวอันใดต่อ
จัดการศพถานเจียงไปฝังข้างสุสานถานกวนไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด พี่น้องตระกูลถานสามารถจัดการได้ ตอนนี้กล่าวเช่นนี้ก็เพื่อให้ทุกคนหาเรื่องคุยกันเพื่อกลบบรรยากาศโศกเศร้าตรงหน้า
หวังทงมองถานเจียงบนแผ่นไม้ สีหน้าถานเจียงสงบสุขมาก พอใจมาก เทียบกับถานเจียงแล้ว หวังทงเองกลับเหมือนว่างเปล่า อยู่ ๆ ไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี
ยามนี้เป็นเวลาสุดท้ายในการกวาดเก็บชัยชนะใหญ่ ขุนพลทหารทุกค่ายล้วนกำลังจัดการเก็บกวาดเชลย เก็บกวาดสนามรบ ไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งแม่ทัพใหญ่
“ตามระดับหัวหน้ากองกำลังเมืองเหลียวโจวมาให้หมด”
ตอนขุนพลเมืองเหลียวโจวมา ล้วนไม่สบายใจ อย่างไรเมื่อครู่ทุกคนก็ไม่ได้พูดวาจาดีกันเท่าไร เมื่อครู่ห่างไกลพูดกันไม่เท่าไร ตลอดทางเดินมา ได้เห็นศพบนสนามรบ ก็คิดว่าเมื่อครู่กองกำลังหู่เวยนิ่งไม่ขยับราวกับภูผา ในใจก็ยิ่งไม่สบายใจ
“ทุกท่านรวมกำลังเมืองเหลียวโจวทุกท่านมาสู้กับกองกำลังหู่เวยได้หรือไม่?”
ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะถามคำถามเช่นนี้ออกมา ทหารเมืองเหลียวโจวลอบมองไปรอบๆ ไม่ได้มีทหารล้อมรอบมากนัก แต่อาศัยแค่ทหารคุ้มกันหวังทงรอบๆ จัดการพวกเขาก็ไม่เปลืองแรงมาก คิดถึงคำพูดที่คุยกันตอนที่ไม่ได้มาที่นี่ แต่ละคนสีหน้าแตกตื่นตกใจ หลี่หรูป๋อไวสุด ถอยหลังก้าวหนึ่งคุกเข่าลง รีบกล่าวว่า
“พวกข้าน้อยราวไก่ราวสุกร จะมาต่อสู้กับแม่ทัพใหญ่ราวเทพได้อย่างไร!”
…………………………………..
[1] ขุนพลร่วมบุกเบิกแผ่นดินหมิง