องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1023 หมอกดำปกคลุมเมืองซงเจียง
ความจริงนั้นกลางปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 16 มีเรื่องเกิดขึ้นไม่น้อย เช่นว่า กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงติดอาวุธรวมกำลังเปิดศึกกับเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นหลายครั้ง ตัดหัวศัตรูมาไม่น้อย เช่นว่าชนชั้นสูงเมืองหลวงรวบรวมคนจากซานตงและเหอหนานไปบุกเบิกพื้นที่นอกด่าน เช่นว่าหวังทงไปนั่งประจำการที่เมืองซงเจียง
ทุกเรื่องหากเป็นเมื่อก่อนล้วนถูกราชสำนักวิพากษ์วิจารณ์ ล้วนมีการโต้แย้งต่อต้านและวิพากษ์วิจารณ์ แต่ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เสียแล้ว ราชสำนักยกทัพปราบตะวันออกที่เมืองเหลียวโจว ทำลายเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวราบคาบ ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง ทำให้ทุกคนไม่ค่อยได้สนใจเรื่องอื่นเท่าไร
มีขุนนางระดับกลางผู้หนึ่งในคณะเสนาบดีใหญ่สังเกตเห็นเรื่องหนึ่ง ปกติกลางปี เสบียงสะสมจะใช้หมด ของใหม่ยังไม่มา มักเป็นเวลาที่ราษฎรทั่วไปวิกฤตที่สุด มีเหตุเล็กน้อย ครอบครัวก็จะหมดสิ้น จากนั้นแต่ละพื้นที่ก็จะเกิดจลาจล ราษฎรอดอยากมารวมตัวกัน หรือไม่ก็มีคนคิดจะกระพือกระแสราษฎรยากจน แต่ปีนี้สถานการณ์กลับไม่เหมือนเดิม เรื่องจลาจลเล็กใหญ่ล้วนน้อยกว่าปีก่อนลงถึงสี่ส่วน หากเทียบเมื่อก่อนน่าจะลดลงถึงเจ็ดส่วน
สาเหตุคืออะไร หากไม่ใช่เพราะนอกด่านมีที่นาผืนใหญ่ต้องการคนทำนาเพาะปลูก แต่ละแห่งล้วนรับคนงาน เป็นกระแสดึงดูดชาวบ้านยากจนไปอย่างไม่รู้ตัว คนพอมีทางออก มีทางกินอิ่มนอนอุ่น ก็ไม่อยากก่อเรื่องอันใดอีก
พอเรื่องนี้ได้ข้อสรุป ขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่ผู้นี้ก็คุยกับคนสนิท ข่าวนี้ไปถึงขุนนางใหญ่ท่านอื่นในคณะเสนาบดีใหญ่อย่างรวดเร็ว จากนั้นขุนนางระดับกลางผู้นี้ก็ถูกส่งไปเป็นผู้ว่าที่หูกว่าง เนื่องจากวิพากษ์วิจารณ์ได้ดี ตามระดับชั้นแล้ว ขุนนางระดับนี้ในคณะเสนาบดีใหญ่ไปเป็นผู้ว่านับว่าได้รับการเลื่อนขั้น แต่ตามธรรมเนียมแผ่นดินหมิง ขุนนางระดับนี้ในคณะเสนาบดีใหญ่ไปเป็นขุนนางท้องถิ่น ตำแหน่งใหญ่เพียงใดก็นับว่าเป็นการฝังกลบความสามารถแล้ว
หวังทงแม้ว่าไปยังเมืองซงเจียง แต่งานที่เขาทำก็ยังอยู่ การทหาร การค้า ชีวิตราษฎร ล้วนแต่เตะตาผู้คน ขุนนางบู๊เช่นเขาสามารถมีความสำเร็จเช่นนี้ ไม่ว่าคนรุ่นหลังจะทำอะไร ทุกอย่างก็ล้วนมีการเปรียบเทียบ หากเจ้าทำได้ไม่ดี แน่นอนว่าสู้ไม่ได้ แต่หากเจ้าทำได้ดี เช่นนั้นย่อมเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของหวังทง ทุกคนในราชสำนักล้วนอยู่ในสถานะสูงสุดใต้หล้านี้ ล้วนเป็นผู้มีอุดมการณ์ ให้คนเช่นนี้วิพากษ์วิจารณ์ ผู้ใดจะทนรับได้
แต่ทว่าไม่อยากรับฟัง ไม่อยากให้คนเทียบ ไม่ได้แสดงว่าไม่มีหวังทง เหลียวกั๋วกงตำแหน่งสืบทอดลูกหลาน และเรื่องไปนั่งประจำบัญชาการเรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าที่ทุกคนจับตาตู คิดจะไม่ได้ยินก็คงยาก
ตั้งแต่ปลายปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 เสนอมา ถึงเดือนหกปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 16 เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าเผชิญอุปสรรคมากมายมาโดยตลอด เริ่มแรกไม่มีความคืบหน้า จากนั้นก็ต้องยอมคัดคนจากเทียนจินกลุ่มหนึ่งส่งไปเมืองซงเจียงจึงได้ค่อยเห็นการเคลื่อนไหวช้าๆ แต่ยังคงเรียกได้ว่าพัฒนาไปได้ช้ามาก
เทียนจินเปิดท่าการค้าสิบปีก็ยิ่งใหญ่ ยังอยู่ข้างเมืองหลวง หลายคนล้วนจำได้ว่าเทียนจินพัฒนามาได้อย่างไร จากเมืองทางผ่านเสบียงเมืองเล็ก ๆ อยู่ๆ ก็กลายเป็นแหล่งร่ำรวยเงินทองใต้หล้า รุ่งเรืองอย่างมาก และยังไม่ได้เกิดเหตุต่อต้านให้วุ่นวายอันใด
ซ่อมแซมก่อสร้าง เมืองขยายตัวรวดเร็ว คนที่เคยไปล้วนรู้สึกได้ว่ามีระเบียบมากกว่าเมืองหลวง ทุกคนล้วนรู้สึกเช่นนี้ ทุกคนล้วนควรเรียนรู้ ล้วนควรทำตามแบบอย่าง
ก่อนมีเทียนจิน ไม่ค่อยมีคนคิดว่าจะมีเมืองรุ่งเรืองได้เพียงนี้ ถึงกับสามารถทำให้ตลาดการค้าสงบสุขได้ ถึงกับทำให้ขุนนางมาเปิดร้าน ไปจนถึงร้านค้าราษฎร ล้วนได้กำไรถ้วนหน้า และยังเป็นตลาดการค้าที่สะอาดปราศจากอิทธิพล นับว่าหาได้น้อยมาก
ดูแล้วก็เห็นๆ ว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ทว่าสร้างท่าเรือริมทะเล สร้างท่าเรือริมแม่น้ำ ใช้แนวตารางแบ่งแยกพื้นที่ แต่ละที่ล้วนกำหนดการใช้พื้นที่ รับเจ้าหน้าที่มาให้มากอีกหน่อย ให้ดูแลแต่ละเรื่อง ใช่แล้ว ยังต้องขุดทางน้ำ ไว้กำจัดขยะอะไรพวกนี้อีก
บัณฑิตหลายคนล้วนเคยไปเทียนจิน หลายคนยังจำและจดไว้ คิดไตร่ตรองแล้ว คนพวกนี้เหมือนว่าอยากรู้อยากเห็นเอง แต่ก็มีบ้างที่เป็นคนของเหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนัก
ทุกคนล้วนคิดเช่นนี้ ในเมื่อหวังทงขุนนางบู๊ยังทำได้ พวกเราเรียนตำราปราชญ์บัณฑิตมา รับราชการมานานปี มีประสบการณ์มาก็มาก ล้วงเคล็ดลับทางนั้นมาใช้ ใช่ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีหรอกหรือ
ทุกคนต่างคิดเช่นนี้ พอตอนหวังทงเสนอเรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ขุนนางราชสำนักก็พากันเห็นด้วย สามารถแก้ไขปัญหารายรับกองคลังที่หดตัวลงเรื่อยๆ ได้ แล้วยังคิดแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้ด้อยไปกว่าหวังทง
คิดนั้นง่าย พูดก็ง่าย แต่ทำไม่ง่าย สถานการณ์เมืองซงเจียงตอนนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์เรื่องนี้ ต้องรู้ว่าคนที่รู้นโยบายก่อน และเร่งเดินทางไปถึงก่อนก็คือเจิ้งกั๋วไท พูดถึงชื่อเสียงและความเป็นที่โปรดปรานแล้ว น้องชายฮองเฮาเจิ้ง เจิ้งกั๋วไท เรียกได้ว่าอันดับหนึ่ง ผู้ใดก็ไม่กล้ากล่าวว่าเขาเป็นอันดับสอง
แต่ทว่าเรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าทำเอาเละเทะไปหมด เละเทะจนไม่เป็นท่าไม่ว่า ยังถูกคนหาช่องทางโจมตีได้อีก
ตามรายงานองครักษ์เสื้อแพรเมืองหนานจิง ตอนนี้เมืองซงเจียงเป็นที่รวมของโจรสลัดสามแห่ง ทั้งจากเจ้อเจียง ฮกเกี้ยนและกวางตุ้ง พวกเขาใช้ชื่อว่าพ่อค้ามาขึ้นท่า นำสินค้าที่ปล้นได้จากท้องทะเลมาขาย พวกคนในวงการนักเลงเขตปกครองใต้ เจ้าริมทะเลต่างๆ ก็พากันต้อนรับ ไม่ว่าบ่อนหรือหอคณิกาผุดขึ้นราวดอกเห็ด ทำเอาเมฆหมอกดำปกคุลมไปทั่วเมืองนี้
พวกโจรสลัดทำการค้าที่นี่ ทำให้พวกคหบดีทำการค้าสุจริตไม่อยากมาที่นี่ เสิ่นหวั่งและซาต้าเฉิงผู้เป็นดังเจ้าแห่งทะเล ลูกน้องเรือนับพัน มีชายฉกรรจ์ต่อสู้ได้นับพัน เทียบกับโจรสลัดพวกนี้ไม่รู้แข็งแกร่งกว่าเท่าไร แต่สำหรับพวกเขาแล้ว การค้าทะเลกับเก็บภาษีค่าผ่านทางทะเลเป็นรายได้หลัก สังหารคนแย่งชิงสินค้า กลับเป็นงานรอง ก็แค่ใช้เพื่อแสดงบารมีเท่านั้น
อย่างไรบนท้องทะเลก็มีเรือมาก เงินที่พวกเขาเก็บได้มีมาก หากสังหารหมด ก็ย่อมเหมือนน้ำใสไร้ปลา ไม่มีผลประโยชน์อันใดให้เก็บเกี่ยว
สำหรับเจ้าแห่งทะเลพวกนี้ ที่พวกเขาต้องการก็คือที่ที่สินค้าสามารถขายได้จำนวนมากตลอดเวลา และท่าเรือรับขนส่งสินค้าพวกเขา ตอนนี้เมืองซงเจียงเช่นนี้ไม่ใช่ที่พวกเขาต้องการ
สินค้าจำนวนมากต้องมีความมั่นคงซื้อขาย ยังต้องมีเงินสดๆ ให้เก็บ มีความน่าเชื่อถือเพียงพอ สามารถรับประกันระยะยาวได้ คหบดีใหญ่แดนใต้แต่ละเมืองที่มีสายสัมพันธ์ทางการเห็นสภาพความวุ่นวายในเมืองซงเจียงตอนนี้ พ่อค้าใหญ่เหล่านี้ผู้ใดก็ไม่อยากมา รู้สึกเสียหน้าเสียเกียรติ และทุกที่ล้วนมีแต่พวกนักเลงชาวเล เรือเล็กหลายลำแล่นออกไปสังหารคนบนท้องทะเลปล้นชิง ที่ขายกันก็ล้วนเป็นของโจร สกปรกยิ่งนัก เป็นกำไรเล็กเท่าหัวแมลงวัน กำไรเล็กๆ เท่านั้นไม่มีค่าอันใดให้กล่าวถึง ยังจะนำความยุ่งยากมาสู่ตนอีก
พ่อค้าท้องทะเลไม่อยากมา พ่อค้าใหญ่แดนใต้แต่ละแห่งก็ไม่อยากมา อำเภอซ่างไห่ เมืองซงเจียงตอนนี้เป็นดังซ่องโจร ที่เช่นนี้เปิดท่าการค้า คงน่าหัวเราะ
ทุกคนล้วนวาดหวังถึงความร่ำรวย หรือว่าต้องเปิดบ่อนพนันหอคณิกาหาเงินกันเล่า นี่ใช่ว่าไม่กลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะหรอกหรือ?
ดังนั้นเจิ้งกั๋วไทอยู่ในเมืองซงเจียงได้หลายเดือน ก็รีบเร่งกลับเมืองหลวง ไม่อาจทำความสำเร็จอันใดได้ ไปก่อนดีกว่า อย่าได้สุดท้ายทำเอามีความผิดมาถึงตัว จะยุ่งยาก
พอหวังทงมาถึงที่นี่ ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไป
**************
วันที่ 2 เดือนแปด ขุนนางอำเภอซ่างไห่และมือปราบ คนงานทุกระดับ ยังมีผู้ตรวจการอีกสองและลูกน้อง หรืออาจกล่าวได้ว่า ขุนนางทั้งหมดในที่ทำการอำเภอซ่างไห่ล้วนได้รับเชิญจากหวังทงให้มาร่วมงานเลี้ยงที่จวน
นายอำเภอและผู้ตรวจการสองคนไม่ต้องพูดถึง ล้วนมีตำแหน่งขุนนาง ที่เหลือขอให้มีสถานะว่าทำงานในที่ทำการทางการเท่านั้น
คนระดับเล็กๆ ราวกับเมล็ดงาเช่นนี้ อยู่ๆ ได้รับเชิญจากเหลียวกั๋วกง ไหนเลยจะไม่ไปกัน มีวาจาหนึ่งกล่าวว่า ได้ออกหน้าให้นายเห็นดีกว่าเป็นนายอำเภอเสียอีก หวังทงตอนนี้บัญชาการเมืองซงเจียง เป็นนายพวกเขา ยิ่งไม่กล้าไม่ไป
เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ท่าที่เลือกก็คืออำเภอซ่างไห่ ที่นี่ทั้งอำเภอราวกับเมฆหมอกดำปกคลุมไม่ต้องพูดถึง ทั้งวันมีแต่คดี แต่ทว่ามือปราบและเจ้าหน้าที่ไม่มีผู้ใดสนใจ พากันไปร่วมงานเลี้ยงสำคัญกว่า
จวนเหลียวกั๋วกงเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปีก่อน อยู่นอกซ่างไห่ พื้นที่มากไม่ต้องกล่าวถึง แต่ติดแม่น้ำเรียกได้ว่าพิเศษ ตระกูลใหญ่สร้างจวนใหญ่ไม่ค่อยได้เห็นว่าติดแม่น้ำปากทะเล แต่ทว่าเห็นจวนเหลียวกั๋วกงติดกับท่า ท่าเรือมีเรือใหญ่จอดอยู่หลายลำ ทุกคนก็เข้าใจว่าเหตุใด
คนที่มาร่วมงานเลี้ยงเกินสามร้อย ด้วยขนาดจวนหวังทงแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่ งานเลี้ยงจัดไปตามปกติ และยังจัดในลานบริเวณในจวนอีกด้วย
คนที่มาต้อนรับแขกเป็นหัวหน้ากองคุ้มกันหวังทงซาตงหนิง ซาตงหนิงนำทหารติดตามสิบกว่านายมาอยู่กันที่หน้าประตู ซาตงหนิงตอนนี้ยังมีตำแหน่งขุนพลทหารหน่วยจู่โจม
พูดถึงระดับชั้นขุนนางแล้ว อย่าว่าแต่ผู้ตรวจการ แม้แต่นายอำเภอซ่างไห่ก็ต้องเรียกตนเองว่า ข้าน้อย เจ้าหน้าที่มือปราบพวกนั้นแน่นอนไม่กล้าก่อเรื่อง แต่ละคนนอบน้อมยิ่ง
ทหารเก่าที่ถูกเลือกมาคุ้มกันหวังทงเหล่านี้ แต่ละคนล้วนเก่งกล้าสามารถ เคยผ่านสมรภูมิเลือดมาแล้ว องอาจกล้าหาญ พวกเขาอยู่หน้าประตู คนอำเภอซ่างไห่เห็นแล้วก็กลัว
ซาตงหนิงสีหน้าไร้รอยยิ้ม แต่ทว่าก็ท่าทีสุภาพ พอกลุ่มใหญ่ผ่านไป ก็หันไปกล่าวกับคนข้างๆ ไม่พอใจนักว่า
“คนพวกนี้ว่าเป็นคนทางการ ดูแล้วสู้พวกนอกด่านยังไมได้ แต่ละคนท่าทางนักเลงหัวไม้ พวกเขาจริงๆ มาจับโจรหรือเป็นโจรเสียเอง?”
คนด้านหลังพากันยิ้มแหะๆ มีคนสัพยอกว่า
“กั๋วกงพวกเรามาแล้ว พวกกเฬวกรากล้วนต้องเก็บกวาดสิ้น ให้พวกเขาซวยไปก็แล้วกัน!”
ขณะพูดอยู่นั้นก็มีผู้คุ้มกันคนหนึ่งวิ่งออกมา เข้ามาใกล้ซาตงหนิงกระซิบว่า
“หัวหน้าซา คนมาครบแล้ว คนในรายชื่อมากันครบ ตรวจนับสองรอบแล้ว”
อีกฟากหนึ่งก็มีชายโพกผ้าขี่มาตะบึงมา โดดลงจากหลังม้าตรงหน้า กล่าวว่า
“หัวหน้าซา นอกจากคนที่เฝ้าท่าแล้ว ที่เหลือล้วนมากันพร้อมแล้ว”
“เช่นนั้น ทางนั้นก็รบกวนพวกเจ้าเฝ้าไว้แล้ว”
“กล่าวว่ารบกวนอันใด หัวหน้าซาเรื่องวันนี้ลำบากท่านแล้ว”
ซาตงหนิงยิ้ม โบกมือกล่าวว่า
“ประตูทางนี้ปิดแน่นแล้ว ไม่ไปทางนี้ ข้าไปละ”