องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1024 งานเลี้ยงเหลียวกั๋วกง
เหลียวกั๋วกงวันนี้จัดงานเลี้ยงใหญ่ แม้แต่ระดับพลทหารระดับล่างสุดในอำเภอซ่างไห่ก็ได้รับเชิญ ช่างเป็นเรื่องไร้ธรรมเนียมเสียจริง
ในเมืองนอกเมือง คนเข้าๆ ออกๆ ล้วนพากันด่าทอ
“นี่มันช่างเป็นเรื่องไร้กฎหมายจริงๆ หากมีคนบุกเข้ามาทางทะเล ทางคลองส่งน้ำ แม้แต่ประตูเมืองยังปิดไม่ทัน หากเป็นเมื่อก่อนขุนนางคงถูกปลดไปแล้ว”
“จะมีอะไรมากันเล่า? เจ้าก็คิดมากไปเอง!”
“คิดมากอันใด ตอนเกิดเหตุโจรสลัดเจ้าลืมแล้วหรือ? ไม่ใช่มาจากทางพวกนี้หรือไง?”
“พวกโจรเข้าไปอยู่ในเมืองนานแล้ว ยังต้องมาผ่านทางนี้หรือไง?”
วิพากษ์วิจารณ์ก็ส่วนวิพากษ์วิจารณ์ ความจริงนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ด่าทอกันไป กำลังควันออกหูไม่พอใจกันอยู่นั่นเอง ก็มีคนเห็นขบวนม้าวิ่งมาจากที่ไกล
กลางวันแสกๆ ถึงกับมีโจรมาจริง คนในเมืองนอกเมืองพากันตกใจขวัญกระเจิง บ้างก็วิ่งหนี บ้างก็ส่งเสียงร้องไห้หวาดกลัว สถานการณ์กำลังจะชุลมุนก็อาจควบคุมได้นั่นเอง นอกประตูเมืองก็มีชายหลายคนตะโกนดังว่า
“พี่ป้าน้าอาทุกท่านอย่าได้ตกใจ เป็นคนของเหลียวกั๋วกง เป็นคนของเหลียวกั๋วกง!”
ชายหน้าประตูหลายคนแต่งตัวเป็นแบบชาวประมง อยู่ๆ ตะโกนคนตกใจหนี มีคนใช้ภาษาเมืองซงเจียงตะโกนดัง มีคนใช้ภาษากลาง ภาษาถิ่นเมืองซงเจียงไม่เท่าไร แต่ภาษากลางสิทำให้คนสงบนิ่งลงได้ หลายคนเริ่มสงบสติ ภาษาสำเนียงกลางแบบตอนเหนือได้แสดงถึงสถานะชัด พวกโจรสลัดล้วนเป็นคนท้องที่หรือไม่ก็คนทางใต้เสียมาก
สี่ประตูเมือง นอกจากประตูตอนเหนือไม่เปิดแล้ว ที่เหลือสามประตูล้วนเปิดโล่ง มีคนร้อยกว่าผ่านเข้ามา ยังมีคนไปรอรับ และปลอบขวัญทุกคน
พอตั้งสติได้ ทุกคนก็งง เมืองซงเจียงตอนนี้เป็นพื้นที่เหลียวกั๋วกง ยังจะนำกำลังทหารเข้าเมืองมาทำอันใดกัน
แม้ว่าคนมาไม่มาก แต่ทว่าเป็นหลายร้อยคน ดูแล้วยังมากันเป็นระเบียบ มีคนกั้นแถวประตู คนที่เหลือก็เรียงแถวเข้าเมืองมา ที่สุดมีคนคิดไปถึงความเป็นไปได้ที่น่ากลัวที่สุด ทหารเหลียวกั๋วกงจะปล้นล้างเมือง ย่อมเป็นหายนะแล้ว
มีคนตกใจตะโกนดัง มีคนตกใจร้องไห้ คนใหญ่คนโตในเมืองก็พากันปิดประตูบ้านหลบ นำคนงานชายมาออกกันหน้าประตูเพื่อป้องกันภัย มีคนเร่ร่อนไร้อาชีพ นักเลงหัวไม้พากันคิดฉวยโอกาส รวมตัวกันไปบนท้องถนนคิดหาโอกาสลงมือ
แต่ทว่ามีคนตีฆ้องขี่ม้ามาตะโกนทันที ด้วยภาษาถิ่นเมืองซงเจียงกับภาษาสำเนียงกลาง
“ให้ถนนเงียบในบัดนี้ ผู้ไม่เกี่ยวข้องให้กลับเข้าบ้านปิดประตู หากไม่ฟังคำสั่งออกมาเดินตามท้องถนน สังหารตัดหัวทิ้งให้หมด”
ราษฎรปกติแน่นอนไม่กล้าออกมาอยู่ตามท้องถนนต่อ ล้วนรีบพากันหาที่หลบ พวกที่รวมตัวกันคิดมาปล้นทำเรื่องชั่วร้ายก็พากันลนลานหนี
พวกเขายังไม่ทันหาทางหลบได้ทัน ก็เห็นด้านหน้าหลายทิศทางมีทหารม้าหลายสิบนายมา พวกเขาแค่คิดจะฉวยโอกาสปล้นชิงเท่านั้น ไหนเลยจะต้านกำลังทหารอาวุธครบของหวังทงได้ ยังเป็นกลุ่มทหารม้าอีกด้วย
ทหารม้าพุ่งมาตรงหน้า ไม้ไผ่ในมือพวกเขา ดาบและขวาน ล้วนไร้ประโยชน์ ถูกทหารม้าตวัดดาบผ่านไป ตัดหัวทิ้งทันที
ตอนปล้นชิงยังมีความโหดเหี้ยมหลายส่วน แต่ตอนโดนฟัน ร่างขาดสองท่อน เลือดสดพุ่งกระจาย เพื่อนกันที่หลบทันถูกเลือดสดกระเซ็นรดตัวอุ่นๆ ในใจก็แตกตื่นหวาดกลัว ขวัญหนีดีฝ่อ เมืองซงเจียงสงบสุขมานาน ไหนเลยเคยพบเห็นภาพโหดเหี้ยมเช่นนี้ คนไม่น้อยพากันลืมวิ่งหนี หากเป็นลมอยู่กลางถนน แตกกระเจิงไปคนละทางก็มี
ซาตงหนิงสวมเกราะอ่อน ในมือถือดาบยาวบนหลังม้า ด้านหลังเป็นม่อรื่อเกินกับปาถู
“หัวหน้าซา ถนนในอำเภอนี้เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว”
ซาตงหนิงบนหลังม้าพยักหน้า ด้านหน้ามีคนแต่งกายแบบคนงานร้านค้า ซาตงหนิงเอี้ยวตัวไปเอ่ยถามขึ้น
“พวกเจ้าล้วนสืบมาหรือยัง?”
“ใต้เท้าวางใจ รังโจรในเมืองทุกแห่ง ที่พักโจรสลัดในเมืองทุกที่ ล้วนตรวจสอบมาเรียบร้อย ขอใต้เท้าแบ่งกำลังทหาร พวกข้าน้อยจะนำทางไปเอง”
*******************
จวนหวังทงคึกคักเป็นพิเศษ ขุนนางมีตำแหน่งพอสมควรทุกระดับล้วนมารวมกันอยู่ในโถงกลาง คนที่เหลือก็อยู่ลานด้านนอก
งานเลี้ยงยิ่งใหญ่ไม่น้อย ยังเชิญพ่อครัวจากตัวเมืองซงเจียงมาอีกสองคน จัดเลี้ยงได้ประณีตไม่น้อย พวกขุนนางในเมืองปกติก็กินอาหารกันแค่เนื้อและสุรา มีเงินทองกันเล็กน้อยเท่านั้น ไหนเลยจะเคยพบเห็นความอลังการเช่นนี้ ทุกคนพากันมองตาเป็นมัน สุรานี้ยังเป็นสุราดีที่เหลียวกั๋วกงนำมาจากตอนเหนือ ทุกคนผู้ใดไม่อยากชิม
ไม่มีคนสังเกตว่าประตูใหญ่ด้านนอกปิดแล้ว และด้านนอกเสียงฝีเท้าก็เริ่มดัง
“ข้าน้อยคารวะเหลียวกั๋วกง ขอกั๋วกงสุขภาพแข็งแรง”
นายอำเภอซ่างไห่และผู้ตรวจการและขุนนางระดับสูงพอเห็นหวังทงเดินเข้ามา ก็ล้วนรีบลุกขึ้นคำนับ พวกเขาพบหวังทงล้วนต้องลุกมาโขกศีรษะคำนับ
แต่ทว่าคุกเข่าโขกศีรษะแล้ว ก็ไม่ได้ยินคำสั่ง ‘ลุกขึ้น’ หวังทงยืนกล่าวว่า
“ตั้งแต่เริ่มมีเรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า พวกเจ้าล้วนออกเงินทองไม่น้อย คนทำการค้าในและนอกซ่างไห่ ล้วนออกเงินให้พวกเจ้าใช่หรือไม่?”
หวังทงถามเช่นนี้ คนเบื้องหน้าหลายคนราวกับโดนน้ำเย็นสาดหน้า พวกขี้ขลาดก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที ผู้ตวรจการเป็นขุนนางบู๊ปฏิกิริยาย่อมไว คนหนึ่งเบื้องหน้ากล่าวเสียงแหบพร่าว่า
“กั๋วกง ข้าน้อยตรวจสอบนอกเมืองมาตลอด เรื่องในเมืองไม่รู้จริง ข้าน้อยถูกใส่ความ….”
“สินค้าผ่านด่านเจ้าต้องถูกเก็บสามส่วนตามระเบียบใช่หรือไม่ เจ้ายังบอกว่า เหลียวกั๋วกงจะทำอะไรได้ มาถึงเมืองซงเจียงก็ต้องทำตามธรรมเนียมเมืองซงเจียง ใช่หรือไม่?”
ผู้ตรวจการผู้นั้นถึงกับหน้าเปลี่ยนสี ตัวอ่อนยวบหมดแรง ล้มแปะลงกับพื้น ไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก
“ข้าน้อย ข้าน้อยเป็นขุนนางบุ๋นมาตามเส้นทางการสอบ เป็นฝ่าบาทแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอ จะลงโทษอย่างไรเป็นหน้าที่ของใต้เท้าผู้ว่ากับทางเมืองหนานจิง… ”
“ข้ามาคุมเมืองซงเจียง ขุนนางบุ๋นบู๊เมืองซงเจียงล้วนอยู่ในการสั่งการของข้า เจ้าจะคิดขัดราชโองการหรือ คิดว่าไม่ถูกต้องหรือ?”
กล่าวจบ หวังทงก็ไม่สนใจอาการหวาดกลัวของชาวอำเภอซ่างไห่ ได้แต่ยิ้มเย็นกล่าวว่า
“หากทำงานกันดีๆ หาเงินเข้ากระเป๋าบ้างก็ไม่มีผู้ใดตำหนิ พวกเจ้าไม่ทำงานทำการ กลับคิดแต่ละหากอบโกยเงินทอง เงินกอบโกยกันเละเทะไปหมด ทั้งอำเภอเมฆหมอกดำปกคลุมไปทั่ว พวกไร้ประโยชน์เช่นพวกเจ้า ข้าจะเก็บไว้ทำไมกัน คุมตัวให้ดี ผู้ใดคิดเคลื่อนไหวพลการจับใส่กุญแจ”
ทหารติดตามรับคำพร้อมเพรียง ไม่สนใจหรือล้มพับกับพื้น หรือไม่ก็เข่าอ่อนกันอยู่บนพื้นหมดทั้งขุนนางบุ๋นบู๊ หวังทงเดินออกจากห้องโถงไป
ปิดประตูลง คนด้านนอกไม่รู้ว่าด้านในเกิดอันใดขึ้น เห็นแต่หวังทงออกมา มีคนตะโกนบอกพิธีการ ทุกคนพากันลุกออกมาคุกเข่าโขกศีรษะ
หวังทงไม่สนใจ คว้าไม้ตีกลองเดินไปยังกลองใบหนึ่งหน้าประตูใหญ่ตีไปหลายทีอย่างแรง เสียงกลองดัง ตึง ตึง ตึง พวกที่เป็นคนงานชาวซ่างไห่หน้าลานพากันงง ในใจก็คิดว่าวางกลองไว้ทำอันใดกันตรงนี้ ตระกูลใหญ่ไม่มีธรรมเนียมนี้นี่ ตอนนี้พอได้ยินเสียงกลองตีดังก็ยิ่งงง
ในตอนนั้นเอง ประตูใหญ่เปิดออก ชายฉกรรจ์อาวุธครบมือพุ่งเข้ามาในลาน ล้อมทุกคนเอาไว้หมด
เห็นชายเหล่านี้ในชุดผ้าฝ้ายแขนสั้น โพกผ้าเขียวบนหัว การแต่งกายแบบนี้ชาวเมืองซงเจียงจำได้ เป็นคนเรือที่ติดตามมาบนเรือใหญ่หลายลำของเหลียวกั๋วกง
เดิมทีบอกว่าเป็นงานเลี้ยง อยู่ๆ ต้อนรับด้วยอาวุธมันอะไรกัน แต่เห็นคนท่าทางดุดันตรงหน้าแล้ว คิดแล้วคงไม่ใช่เรื่องดี ทุกคนล้วนคุกเข่ากับพื้น คิดจะลุกขึ้นก็ไม่ทันเสียแล้ว
“พวกเจ้าสมคบคิดกับโจร ทำร้ายราษฎร ถึงกับปลอมตัวเป็นโจรสลัดออกปล้นตระกูลคหบดี คิดว่าราชสำนักไม่มีกฎหมายหรืออย่างไร?”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็น เสียงไม่ดังนัก แต่ตอนนี้ทั้งลานเงียบกริบ คนหลายร้อยล้วนฟังกระจ่าง ท่าทางพวกเขาสู้กับขุนนางบุ๋นมีระดับในโถงกลางไม่ได้ มีคนถึงกับหมอบติดพื้น
“ตั้งแต่เดือนสองมา ในเมืองนอกเมืองมีหญิงสาวหายไป 26 คน มีเด็กชายหญิง 61 คนหายตัวไป พ่อค้าจากนอกเมืองซงเจียงที่อำเภอซ่างไห่ก็หายตัวไป 12 คน พวกเจ้าช่างใจกล้ายิ่ง รับของโจรมา ให้การปกป้องไม่พอ ถึงกับทำเรื่องเลวร้ายเทียมฟ้าเช่นนี้ได้ คนบ้านเดียวกัน พวกเจ้ายังทำได้ลงคอ”
ลักพาตัว ปล้นร้านค้า ความผิดเหล่านี้ล้วนพอจะมีโทษล้างตระกูล หวังทงกล่าวความผิดนี้ออกมา รอบๆ ยังมีทหารถือดาบล้อมไว้ ผู้ใดจะยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรอีก
กล้าทำเรื่องเลวร้ายเทียมฟ้าเช่นนี้ได้ ความกล้าย่อมมีอยู่ หวังทงกำลังจะกล่าวต่อ ก็มีคนโดดขึ้นกลางกลุ่ม ชี้ไปทางหวังทงตวาดดังว่า
“ทุกคนร่วมกัน กฎหมายไม่เอาผิด หากถูกจับไปรับโทษ พวกเราล้วนไม่อาจหนีได้ พวกมันคนไม่มาก พวกเราสู้ตาย!!”
คนผู้นี้ตะโกนดัง คนที่คุกเข่าก็พากันฮือดัง มีคนทำท่าจะยืนตาม คนที่โดดขึ้นก่อนยังกระพือกระแสกระตุ้นทุกคนต่อว่า
“พวกเราจับตัวหวังทงไว้ก่อน….”
หวังทงยิ้มส่ายหน้า ยกมือส่งสัญญาณ พลธนูบนหลังคาน้าวธนูพร้อม ยิงไปดอกแรก ธนูยาวยิงแม่น ยิงทะลุหน้าผากคนเหิมเกริมทันที เสียงร้องโหยยังไม่ทันได้ดัง ก็หงายหลังตึงลงกับพื้นทันที
“กฎหมายไม่ลงโทษคนหมู่มาก วาจานี้พวกเจ้ากล้าพูดหรือ? พวกเจ้าหากไม่อยู่นิ่ง เช่นนั้นก็ตายเสียเถอะ!”
หวังทงกล่าวเช่นนี้อีก ชายฉกรรจ์ที่ล้อมไว้ก็ถือดาบก้าวเข้ามา เห็นสภาพตรงหน้านี้แล้ว คนที่ยืนขึ้นเมื่อครู่ล้วนพากันตกใจคุกเข่าดังเดิม
“ทีละคน ต่อๆ กันไป คลานออกไปหน้าประตูใหญ่ให้มัดไว้ก่อน พวกมีความผิดให้ลงโทษตามความผิด ไม่มีความผิดส่งกลับไปทำงานต่อ ข้าให้ทางพวกเจ้ายุติธรรม คิดต่อต้าน คิดว่าฝีมือดี ก็มาลองดูได้ ข้าจะให้พวกเจ้าได้สบายเร็วขึ้น”
ประตูใหญ่เปิดออก ด้านนอกมีทหารรออยู่อีกจำนวนมาก ไม่รู้เป็นผู้ใดนำก่อน ลงคลานเข่าออกไป ด้านหลังพากันทำตาม
**************
“เป็นที่นี่หรือ?”
“ที่นี่ขอรับ ตระกูลเฉาเป็นหัวหน้าซ่องโจรที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่!”
ซาตงหนิงถามคนนำทางเสร็จ ก็โบกมือ ออกคำสั่ง
“พังประตู!!”