องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1026 เริ่มต้นหลังเปิดฉากสังหาร
คหบดีในและนอกอำเภอซ่างไห่วันรุ่งขึ้นก็ทำป้ายประกาศมาแผ่นหนึ่งว่า ‘รักประชาดุจลูก’ เดินตีฆ้องป่าวประกาศไปทั่วเมืองไปยังจวนเหลียวกั๋วกง
มอบป้ายนี้ หนึ่งเพื่อตอบแทนหวังทงที่กวาดล้างรักษาความสงบ สองเพื่อให้บอกกล่าวเรื่องอารามสองแห่งนอกเมืองให้กระจ่าง เพราะอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องผิดคุณธรรมยิ่ง
จวนเหลียวกั๋วกงไม่ได้เห็นคนเหล่านี้ ป้ายก็ไม่ได้รับไว้ มีแต่ส่งคนนำพวกเขายังอารามนั้น ทุกคนไม่กล้าดึงดัน พากันตามไปโดยดี
ไปถึงอาราม พวกคนที่ถูกขังมาแต่เมื่อวานถูกมัดออกไปแล้ว นำพวกคหบดีเข้าไปในอาราม ไปถึงห้องสมาธิด้านหลัง ปกติก็ต้อนรับแขกอารามกันด้านหน้า ด้านหลังนี้ทุกคนไม่เคยมา
ผลปรากฏพอได้เห็นห้องนั่งสมาธิมีห้องใต้ดิน เลียนแบบเหมือนคุก และในห้องนั้นยังมีหญิงสาวเยาว์วัยหลายสิบอยู่ ยังเชิญหญิงสูงวัยในเมืองมาคอยเป็นเพื่อน
ชายหญิงย่อมมีข้อจำกัด แน่นอนไม่ให้พวกเขาดูชัด แต่ทว่าพอเห็นแล้วก็บอกได้ว่า สตรีเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่หายไปจากอำเภอ ล้วนพบที่ห้องใต้ดิน
ทุกคนล้วนตกใจใหญ่ พวกเขาเข้าใจแล้ว แม้เหลียวกั๋วกงคิดใส่ร้าย ก็คงไม่ต้องสร้างเรื่องให้ยุ่งยากเช่นนี้ เรื่องนี้ย่อมเป็นหลักฐานมัดตัวแน่นแล้ว
พอถามละเอียดจึงได้รู้ พวกโจรสลัดเคลื่อนไหวในและนอกอำเภอกันมาก ก็เริ่มใจกล้ามากขึ้น พวกเขาออกทะเลขาดแคลนสตรี จึงคิดพาตัวสตรีเมืองซงเจียงออกทะเลไปด้วย ใช้งานเองแล้วก็เอาไปขายได้ด้วย
อารามสองแห่งนี้ก็คือซ่องโจร ปกติอาศัยสถานะนักบวชมาปกปิด แอบซ่อนของโจรในวัง ทำเรื่องชั่วร้ายที่ไม่อาจเปิดเผย ตระกูลเฉาจับตัวสตรีมาจากในเมืองนอกเมือง เอามาซ่อนไว้ที่อารามนี้ รอโจรสลัดมารับสินค้า
ดีที่ยังเพิ่งเริ่มทำได้ไม่นาน ยังไม่ถึงขึ้นเลวร้ายจนไม่อาจแก้ไขได้ หวังทงรู้ข่าวเร็ว ถือโอกาสจับพวกเขาทีเดียวให้หมด
เห็นดังนี้ พวกคหบดียังมีใจคิดขอร้องอันใดกันอีก แต่ละคนพากันด่าทอไม่หยุด ด่าตนเองว่าไร้ตา ล้วนไปโขกศีรษะหน้าประตูจวนเหลียวกั๋วกง แสดงการขอบคุณ
พวกเขากลัวเหตุหลังจากนี้ พากันขอให้เหลียวกั๋วกงกวาดล้างต่อไป ครั้งนี้สั่นคลอนพวกโจรและสายสัมพันธ์โจรทั้งในเมืองนอกเมืองไปมากมาย โจรสลัดอย่างไรก็ต้องมาแก้แค้น ขอกั๋วกงปกป้องด้วย
ในเรื่องนี้ หวังทงส่งคงไปแจ้งว่า ไม่ต้องเป็นห่วง ในหนึ่งเดือนย่อมเห็นผลกระจ่าง ตามความเข้าใจจากประสบการณ์ของบรรดาคหบดีเมืองซงเจียงพวกนี้ คิดว่าเหลียวกั๋วกงเตรียมปัดความรับผิดชอบแล้ว แต่ก็ไม่มีทางเลือก ทุกคนอย่างไรก็เร่งรัดอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่ยอมกลับเข้าเมืองไปแต่โดยดี
มีหวังทงคอยเร่ง หรืออาจเป็นไปได้ว่าหลังจากเหตุจัดการรุนแรงวันนั้น ที่ทำการอำเภอทำงานได้ทรงประสิทธิภาพมาก แค่สองวัน คดีส่วนใหญ่ก็ตัดสินเสร็จ ล้วนตัดสินไม่ปราณี พวกขุนนางที่มือเปื้อนเลือดล้วนถูกริบทรัพย์ล้างตระกูล พวกที่ลักพาตัวสตรีล้วนถูกตัดหัวล้างตระกูล พวกที่สังหารทำร้ายผู้อื่นก็ถูกตัดหัวล้างตระกูลเช่นกัน ที่เหลือล้วนถูกนำไปเกณฑ์แรงงาน
ลองนับดู ในอำเภอวันเดียวก็มีคนถูกตัดสินโทษประหารไปถึง 150 กว่า อีก 600 ถูกไปใช้แรงงาน เป็นการลงโทษที่โหดร้ายมาก ริบทรัพย์ก็มีมาก ตอนริบทรัพย์ ยังมีเจ้าหน้าที่ไม่รู้ดีชั่ว คิดจะกอบโกย ถูกทหารหวังทงที่ตามไปดูจับได้ ถูพกนำไปใช้แรงงานเช่นกัน
หากนับรวมจำนวนคนที่ถูกสังหารบนท้องถนนเมื่อวาน สองวันนี้ตายกับใกล้ตายรวมกันก็เกือบ 300 ในเวลาปกติ ปีหนึ่งตัดกันไม่ถึงสามหัว อยู่ๆ เป็นเช่นนี้ ก็ย่อมกล่าวได้ว่ากลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
ราษฎรและคหบดีในอำเภอแม้ตบมือยินดี แต่ภาพสังหารก็ยังทำให้ทุกคนหวาดกลัว พากันระวังตัวอย่างดี ไม่กล้ากระทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด
กฎหมายแผ่นดินหมิงแม้ว่าเป็นนายอำเภอตัดสินโทษตัดหัว คนกระทำผิดจะไม่ตัดหัวทันที ต้องรายงานไปตามลำดับขั้น จากนั้นกรมอาญารายงานฮ่องเต้ก่อนจะมีคำตัดสินประหาร
ขั้นตอนดำเนินการมาเป็นลำดับขั้น มาถึงเมืองหลวง ต้องผ่านกระบวนการอะไรมากมาย ขุนนางตรวจสอบกันหลายขั้นตอน ไม่น้อยที่ถูกตีกลับไปให้สอบใหม่
แต่ทว่าครั้งนี้ไม่ตีกลับ อำเภอส่งไป เมืองก็ดูคร่าวๆ รอบหนึ่ง จากนั้นก็ส่งไปประทับตรา จากนั้นนำขึ้นรายงาน ทางเมืองหนานจิงก็เช่นกัน ตลอดทางไปถึงเมืองหลวง
ธรรมเนียมวงการขุนนางแผ่นดินหมิงตัดสินประหารมีมาก ผลงานขุนนางก็ย่อมมีชื่อไม่ดีนัก เจ้าสังหารคนมากมาย เรียกได้ว่าไร้เมตตา และการมีความผิดประหารมากมาย ใช่ว่าแสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นขุนนาวท้องที่ไม่ดี? ดังนั้นผู้ว่านายอำเภอจึงไม่ค่อยได้ตัดสินประหารชีวิต ไม่ใช่ว่าไม่สังหารพวกเขา แต่คิดจะสังหาร ก็แค่ให้ยืนในกรง ไม่เกินสองวันก็ยืนตายไปเอง ไม่เรียกว่าประหารชีวิต และยังได้แสดงบารมีอีกด้วย
ตอนเอกสารส่งไปกรมอาญา เห็นนักโทษตายกันมากมายเพียงนี้ มีขุนนางหลายคนทนอ่านไม่ไหว หยิบเอกสารไปพบเสนาบดีกล่าวว่า
“เมืองซงเจียงเหลวไหลแท้ ปีก่อนทั้งเขตปกครองใต้รายงานนักโทษประหารมาทั้งหมดแค่ 70 คน ปีนี้เดือนเดียวอำเภอเดียวก็รายงานมา 150 กว่า นี่ช่างเหลวไหลแท้”
เสนาบดีกรมอาญา ไม่กระดิกแม้หัวคิ้ว กล่าวเพียงว่า
“ในเมื่อเขารายงานมา เจ้าก็ได้อ่านแล้ว มีอันใดไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมหรือ?”
“…ก็มิใช่เช่นนั้น ปากคำและลงนามก็ครบ…”
“เช่นนั้นเจ้ารายงานเข้าวังไป ให้ฝ่าบาททรงพิจารณาก็พอ เจ้าร้อนใจอันใด?”
“ใต้เท้า หวังทงไปถึงเมืองซงเจียง ก็สังหารคนราวผักปลา หากส่วนกลางเราปล่อยปละไป ราษฎรเมืองซงเจียงใช่ว่าถูกเขาทำร้ายสิ้นหรือ?”
“วาจาเหลวไหลสิ้นดี หวังทงชอบสังหาร หากแต่ไรมาไม่สังหารมั่ว คำให้การก็มีอยู่ จะว่าไป เขาขึ้นเหนือล่องใต้สังหารมาแสนกว่าแล้ว ไยต้องไปเมืองซงเจียงสังหารไม่กี่คนมาอวดบารมีกัน จะว่าไปตอนนี้ไปถึงเมืองซงเจียง ไม่ว่าจะทำอะไร ราชสำนักล้วนต้องปล่อยให้ทำ กรมอาญาเราไยต้องไปแตะต้องเจ้าตัวพิษนี้ด้วย เจ้าเข้าใจไหม?”
หวังทงเดิมทีความดีความชอบเทียมฟ้า มีอำนาจวาสนามากหาใดเทียบ บรรดาศักดิ์ สถานะและอำนาจล้วนขยายอิทธิพล แต่เขากลับละทิ้งทุกสิ่ง หนีไปเมืองซงเจียง
ท่าทีเช่นนี้ ทำเอากระแสวิจารณ์ในราชสำนักเปลี่ยนไปทันที เดิมล้วนเป็นห่วงหวังทงความชอบมากไป คิดการใหญ่ แต่ตอนนี้กลับเป็นคนรอบคอบ รู้หนักเบา กลับเป็นกระแสตีกลับราชสำนัก ว่าหวังทงสร้างความชอบใหญ่เช่นนี้ กลับไม่อยู่ราชสำนักต่อไปได้ ได้แต่หนีไปอยู่ต่างเมือง หรือว่าแผ่นดินหมิงไม่มีที่สำหรับขุนนางมีความชอบ หรือว่าขุนนางผู้ใหญ่ใจแคบกันเช่นนี้หรือ?
ก่อนหวังทงกลับจากเมืองเหลียวโจว บรรดาขุนนางราชสำนักล้วนเป็นห่วง ผลปรากฏหวังทงไปเมืองซงเจียง ทุกคนในราชสำนักได้แต่ละอายใจ
สถานการณ์เช่นนี้ หากหวังทงไปเมืองซงเจียงทำอะไร หรือทำอะไรผิดพลาดมา ถูกราชสำนักเอาเรื่อง คำวิพากษ์วิจารณ์ก็จะตีกลับมายังพวกขุนนางใหญ่ราชสำนัก ว่าไม่รับน้ำใจยังดี ว่าแล้งน้ำใจก็ยังมี ยังจะกล่าวกันอีกว่าวันหน้าจะมีผู้ใดกล้ารับใช้ราชสำนัก วาจาเหล่านี้ล้วนกล่าวกันออกหมด
จะว่าไป หวังทงแม้ว่าไปเมืองซงเจียง แต่อย่างไรก็เป็นเหลียวกั๋วกง อย่างไรก็เป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร เพราะการไปของเขา ทำให้คนใกล้ชิดเขายิ่งได้รับความไว้พระทัยจากฮ่องเต้ว่านลี่ สำนักหน่วยงานองครักษ์เสื้อแพรต่างๆ ทหารหลวงที่เทียนจิน และพวกศาลซุ่นเทียน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในวังโจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยง คนมากมายปกป้องหวังทงก็เหมือนปกป้องตัวเอง เจ้าหาเรื่องหวังทงก็เท่ากับล่วงเกินคนเหล่านี้ ถึงกับเป็นการล่วงเกินฮ่องเต้ว่านลี่
ทุกคนล้วนมองเข้าใจข้อนี้ดี อย่าว่าแต่หวังทงมีสถานะผู้บัญชาการหลักเมืองซงเจียง แม้ว่าไม่มี เขาก็ยังกระทำการเหิมเกริมในเมืองซงเจียงได้ สังหารคนมาก แม้รังแกสตรี ราชสำนักยังต้องทำเป็นมองไม่เห็น อย่างไรก็ต้องปล่อยปละไป
นับประสาอันใดกับครั้งนี้ที่สั่งประหารคนมาก แต่หวังทงเตรียมคำตอบไว้พร้อม กระบวนการครบ คิดจะหาข้อบกพร่องจากเรื่องนี้ก็หาไม่พบ ไยต้องยกอวดอ้างคุณธรรมมาทำให้ตนเองต้องถูกลบหลู่เกียรติเองด้วยกัน
**************
คนถูกสั่งประหารเปิดเผย 150 กว่า ที่เหลือสิบกว่าที่มีโทษมหันต์ชั่วร้ายยิ่งอีก 10 กว่าคนไม่ได้รายงาน หากส่งไปยืนกรงที่นอกเมือง สองวันก็ตายคากรงขัง จากนั้นก็ตัดหัวไปแขวนประจานไว้หน้าประตูเมือง วิธีการฉับไวราวสายฟ้าฟาดสยบทุกคนไว้ได้ในทันที
เมืองซงเจียงในอำเภออื่นแม้ว่าไม่มีที่ใดเกิดเหตุโหดร้ายเช่นนี้ แต่ทว่าสิ่งที่ต้องทำก็ไม่ต่างกัน นายอำเภอตอนนี้เพื่อจะรักษาชีวิตตน ไม่สนใจอันใดอีก พวกเขาอย่างไรก็อยากเป็นขุนนางต่อ ดังนั้นโทษประหารมีไม่มาก แต่หากเรื่องริบทรัพย์ตระกูลส่งไปใช้แรงงานกลับมีไม่น้อย
คิดจะหาประโยชน์จากการริบทรัพย์นั้นอย่าได้คิด ทุกแห่งเหลียวกั๋วกงล้วนส่งคนมาจับตาดู ไม่มีช่องทางแต่อย่างใด พวกที่ถูกส่งไปใช้แรงงาน ล้วนถูกนำตัวไปอำเภอซ่างไห่ ที่ทำให้คนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไร้เสียงก็คือ แรงงานเหล่านี้ให้นายเก่าเป็นคนจ่ายเสบียง
ดีที่เป็นคหบดีใหญ่เมืองซงเจียง ไม่สนใจเงินทองพวกนี้ ไม่อยากล่วงเกินเหลียวกั๋วกงหวังทงเป็นเรื่องสำคัญกว่า ล้วนรับปากง่ายดายยิ่ง
ตอนนี้แรงงานจากนักโทษที่อำเภอซ่างไห่มีเกือบสองพัน รวมตัวกันแล้วก็ลงแรงทำงานทันที ภายใต้การควบคุมของทหาร การก่อสร้างท่าเรือ เส้นทางและร้านค้าก็เริ่มดำเนินการ
เหลียวกั๋วกงยังเริ่มปิดประกาศ รับแรงงานชายมาทำงาน อันนี้มีเงินให้ เงินก็ได้จากการริบทรัพย์มา
ไม่ว่าเจ้าเป็นราษฎรหรือคหบดี ไมว่าตระกูลเจ้ามีตำแหน่งบัณฑิตหรือไม่ ไม่สามารถยกเว้นภาษีแรงงานได้ ขอเพียงถูกเรียกก็ต้องรีบส่งคนมา เรื่องนี้หากเป็นเมื่อก่อน ย่อมต้องเกิดเรื่องใหญ่ แต่กลิ่นคาวเลือดยังคอยู่ ผู้ใดกล้า หรือว่ารังเกียจหัวบนบ่าตนกัน?
มีเงินลงทุนเพียงพอ ยังมีแรงงานก่อสร้าง ฎีกาขุนนางราชสำนักในเขตปกครองใต้ไม่อาจไม่เขียน เรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าทุกเรื่องที่ดึงดันมานาน พอเหลียวกั๋วกงมาถึง ในที่สุดก็เริ่มเป็นรูปร่างแล้ว แต่ละงานล้วนกำลังดำเนินการ
เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า เริ่มเข้าสู่กระบวนการเป็นรูปเป็นร่าง เพียงแค่เปิดฉากสังหารอวดบารมีเท่านั้น