องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1033 ข่มบารมี
สมัยหมิงนี้การเลือกสนมวังใน ล้วนเลือกจากชาวบ้านธรรมดา ตอนยังไม่ถูกเลือก คนในครอบครัวก็ไม่ใช่พวกตระกูลสูงอันใด
แต่พอถูกคัดเข้าวัง หากได้เป็นพระสนมอันดับหนึ่งในวัง หรือไม่หากได้คลอดพระโอรสพระธิดา สถานะก็ย่อมเปลี่ยนไป พอได้เป็นพระสนมเอกหรือฮองเฮาก็ยิ่งอีกระดับ ครอบครัวข้างนอกส่วนใหญ่ก็ได้พระราชทานตำแหน่งบรรดาศักดิ์
แต่ก่อนเคยยากจน อยู่ๆ มามีอำนาจ เวลาสั้นๆ ก็มักจะเกิดปัญหานี้ขึ้น เป็นเรื่องยุ่งยากยิ่ง คนในครอบครัวไม่ได้รับการเลี้ยงดูอบรมมาดี ครอบครัวเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่อาจเทียบตระกูลใหญ่ มีธรรมเนียมหนึ่งว่า อยู่ๆ ได้มีบรรดาศักดิ์ ก็ล้วนมีคนในแวดวงตระกูลมานับญาติ ตระกูลยากจนเดิมทีโดดเดี่ยวไร้คนนับญาติ อยู่ๆ มีหน้ามีตา กำลังต้องการคนมารับใช้ จึงรับไว้หมด
ยากจนสู่อำนาจวาสนา มักไม่รู้จักสงบเสงี่ยม ไม่รู้หนักเบา มักก่อเรื่องที่ไม่ควรก่ออยู่เสมอ ตั้งแต่ต้นราชวงศ์หมิงมาถึงตอนนี้ ในงิ้วก็มักเป็นพวกน้องชายหรือบิดาพระสนมฮองเฮาในวัง มีมาแต่สมัยถังและซ่ง มาถึงหมิงก็ยังคงมี
ตอนนี้ตระกูลเจิ้งยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น ฮองเฮาเจิ้งได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ว่า บุตรชายยังเป็นรัชทายาทแผ่นดินหมิง ก็คือฮ่องเต้ในวันหน้า หมายถึงอันใด ก็หมายถึงว่า ตระกูลเจิ้งอย่างน้อยอำนาจวาสนาสองรุ่น ฮ่องเต้ว่านลี่กับพระสนมเอกเจิ้งล้วนพลานามัยแข็งแรง ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ยังมีชีวิตอีกยืนยาว สาเหตุต่างๆ เหล่านี้รวมกัน ทำให้ตระกูลเจิ้งยิ่งเหิมเกริม ทำอันใดไม่ค่อยได้คิดเรื่องหนักเบาผลที่ตามมาสักเท่าไร พวกที่ฮองเฮาเจิ้งกับเจิ้งกั๋วไทกำราบไว้ยังดี ไม่งั้นไม่รู้จะก่อเรื่องอีกมากมายเท่าไร
กำราบส่วนกำราบ คนมากก็ย่อมกินขอบเขตกว้าง ย่อมไม่อาจควบคุมได้ทั่วถึง พวกอื่นที่วิเคราะห์กำลังได้ ก็ย่อมยอมหลีกทางให้
เมืองหลวงกับเทียนจินยังดี ทางนั้นขุนนางใหญ่มาก คนที่ล่วงเกินไม่ได้มีมาก ที่เมืองซงเจียง ตระกูลสวีถูกโจรสลัดกวาดล้างไปหมด ผู้ใดยังกล้าทำอันใดตระกูลเจิ้ง
เจิ้งไจ้ปินอยู่ที่นี่คนเดียว อาศัยบารมีนายข่มผู้อื่น ผู้ใดจะกล้าแตะต้องเขา ในสายตาหวังทงแน่นอนไม่มีคนผู้นี้ แต่นายอำเภอจะกล้าแตะต้องได้อย่างไร
เจิ้งไจ้ปินผู้นี้อายุราว 40 ต้นๆ นับว่าเป็นญาติที่ยังอยู่ในลำดับเก้าชั่วโคตรของฮองเฮาเจิ้ง นับว่าใกล้ชิด แต่ก่อนเป็นแค่ตระกูลยากจน รู้ข่าวช้ากว่าคนอื่น พอมาถึงเมืองหลวงขอพึ่งบารมี สถานะตำแหน่งดีๆ ล้วนถูกคนอื่นครอบครองไปหมดแล้ว เห็นคนอื่นเป็นใหญ่เป็นโตกัน ในใจก็โกรธแค้นไม่น้อย
ความจริงนั้นสถานะเขาตอนนี้ อย่าว่าแต่เทียบกับราษฎรทั่วไปเลย เทียบกับคหบดีใหญ่ในพื้นที่ก็ยิ่งใหญ่กว่าไม่รู้เท่าไร เหตุใดยังไม่รู้จักพอ เห็นคนอื่นแล้วยังรู้สึกรับไม่ได้
เจิ้งไจ้ปินสุขสบายในเมืองซงเจียง แต่กลับรู้สึกว่าตนเองถูกเตะออกมา ต้องการหาทางกลับไปเมืองหลวง หาสถานะดีๆ สักหน่อย อย่างไรก็ต้องหาตำแหน่งใดมาเป็นสักหน่อย ไม่ใช่ว่าเฝ้าจวนอยู่ที่นี่
เด็กชายที่จับตัวมา ความจริงนั้นส่งให้พ่อบ้านรองในจวนตระกูลเจิ้งเมืองหลวง คนผู้นั้นฝีปากดี เก่งสอพลอ วันหน้าย่อมทำประโยชน์ให้ตนได้ เจิ้งไจ้ปินรู้ว่าคนตระกูลเจิ้งไม่น้อยล้วนใช้วิธีการนี้ได้มาซึ่งอำนาจวาสนา ถึงกับมีคนได้ไปเป็นผู้ว่านายอำเภอกันเลยทีเดียว
เด็กนี้เป็นดังของมีค่าของเจิ้งไจ้ปิน อยู่ๆ หวังทงมาคว้าถึงที่ ท่าทีแน่นอนว่าในใจก็ย่อมไม่พอใจ
เรื่องเหลียวกั๋วกงหวังทงนี้เขาได้ยินมาไม่น้อย แต่เจิ้งไจ้ปินมักคิดว่าเองว่า กั๋วกงจะเทียบกับฝ่าบาทได้อย่างไร? ตระกูลเจิ้งเป็นพระญาติ เจ้าคิดจะทำเพื่อเด็กที่ไม่ได้มีสายสัมพันธ์กัน ล่วงเกินตระกูลเจิ้งหรือ?
แต่จะว่าไป เจ้าไม่อาจเป็นกั๋วกงต่อในเมืองหลวง ถูกส่งมาเมืองซงเจียงดูแลเรื่องเปิดท่าการค้า นับว่าเป็นหงส์ที่ถูกถอนขนหมดแล้ว ยังจะวางท่าอันใดกัน?
“กั๋วกง เด็กนี่มีสัญญาขายตัวเรียบร้อยแล้ว ข้าน้อยจ่ายเงินซื้อมา กั๋วกงกล่าวเช่นนี้ ใช่ว่าทำให้ข้าน้อยไม่อาจรายงานเบื้องบนหรือ?”
หวังทงหรี่ตามองชายบัณฑิตที่ตัวหดอยู่อีกทาง คุกเข่าร้องเสียงแหบแห้งว่า
“กั๋วกง สัญญานี้เป็นพวกเขาบีบข้าน้อยลงนาม ข้าน้อยแม้ว่าไร้สามารถ แต่ในเมืองซงเจียงก็ไม่ได้ลำบากยากจน เหตุใดจึงจะขายลูกกิน ขอกั๋วกงให้ความเป็นธรรมแก่ข้าน้อยด้วย!”
กล่าวจบก็โขกศีรษะ หวังทงพยักหน้า ชี้เจิ้งไจ้ปินกล่าวว่า
“ตงหนิง ดาบพาดคอไว้!”
เจิ้งไจ้ปินกำลังจะกล่าว แสงแวบกระทบตา คมดาบมาพาดบนคอ ซาตงหนิงแม้ไวแต่ก็ยังรู้จังหวะ ไม่ได้ทำให้เจิ้งไจ้ปินบาดเจ็บแม้ปลายขน แต่ทำให้เจิ้งไจ้ปินรู้สึกหนาวเสียวไปทั้งตัว
พอเจอเช่นนี้ สีหน้าเจิ้งไจ้ปินก็ไร้สีเลือด คนรอบๆ พากันถอยหลังหลายก้าว หวังทงเอ่ยถามขึ้น
“คนอยู่ไหน? ดาบนี้ไวมาก ไม่ระวังอาจตัดหัวหลุดได้”
สถานการณ์นี้ เจิ้งไจ้ปินย่อมไม่กล้าหาญอันใดอีก ตัวสั่นเท่าสั่งการให้คนไปพาตัวเด็กชายมา
ไม่นาน เด็กชายก็ถูกพาตัวมายังโถงกลาง เด็กชายไม่ได้ถูกทรมานอันใด เจิ้งไจ้ปินกำลังสอนธรรมเนียมก่อนส่งไปเมืองหลวง ย่อมไม่ทำร้ายร่างกาย
พ่อลูกพบกัน แน่นอนย่อมกอดกันร่ำไห้ จากนั้นชายบัณฑิตก็ลากบุตรชายมาโขกศีรษะให้หวังทง หวังทงขี้เกียจจะมอง โบกมือให้นำตัวออกไป หันไปพยักหน้าให้ซาตงหนิง ดาบจึงกลับคืนสู่ฝัก
เห็นพ่อลูกออกไปแล้ว เจิ้งไจ้ปินเหมือนว่ามองดูอำนาจวาสนาตนลอยออกนอกประตูไป กอปรกับยังตกใจกลัว และรู้สึกเสียหน้า
เจิ้งไจ้ปินปกติวางท่าใหญ่โต ล้วนทำท่าเป็นนายท่านใหญ่ วันนี้ถูกหวังทงสั่งไปซ้ายไปขวา หวาดกลัวราวกับหนูตัวน้อยๆ ในใจก็อายขายหน้ายิ่ง ทำเอาโมโหมาก ไม่สนใจอันใดอีก ตะโกนบอกคนด้านนอกว่า
“จับตัวพวกมันไว้!”
ยังชี้หน้าหวังทงตวาดว่า
“กั๋วกง รู้ไหมตระกูลเจิ้งเป็นผู้ใด รู้ไหมฮองเฮาแซ่อะไร ทำกับกล้ามาก่อเรื่องที่นี่ เจ้ามันตัวอะไรกัน ก็แค่ขุนนางเสียตำแหน่ง คนเช่นนี้มีกันแปดร้อยจากพัน หากรู้ดีชั่ว รีบขออภัยซะ เรื่องวันนี้จบกัน หากไม่รู้ดีชั่ว รอจดหมายรายงานไปถึงเมืองหลวง ห้ฮองเฮาและฝ่าบาททรงทราบ เหอะๆ …”
แรกๆ น้ำเสียงยังเบา แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งดัง เสียงองอาจไม่เกรงกลัว ขณะที่กำลังคำรามดังนั้น คนในจวนก็เข้าขวางสองพ่อลูกไว้แล้ว
หวังทงมองเจิ้งไจ้ปิน มองอีกฝ่ายจงใจถลึงตาจ้องมาตน อดไม่ได้ยิ้มกล่าวว่า
“เศษสวะเช่นนี้ยังพอมีความกล้าอยู่บ้างนี่ ยังกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ออกมา เดิมทีข้ามาที่นี่ คิดจะหักขาเจ้าข้างหนึ่ง แต่ตอนนี้ดูแล้ว หักสองข้างก็แล้วกัน เจ้าไปฟ้องข้าที่เมืองหลวง ไปหาหมอที่นั่นได้”
ยิ้มกล่าวจบ หวังทงก็ส่งสัญญาณ เจิ้งไจ้ปินตาค้าง คิดไม่ถึงอีกฝ่ายจะไม่สนใจ ไม่รอให้เขาได้สติ พวกทหารหวังทงก็เข้าไปจับกดกับพื้น มีคนเข้าไปหักขาเจิ้งไจ้ปินทั้งสองข้างอย่างแรง คนในห้องล้วนได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ ของกระดูกหักดังชัด
จากนั้นก็เป็นเจิ้งไจ้ปินส่งเสียงร้องโหยหวน หวังทงลุกขึ้นคำนับกล่าวว่า
“เจ้าไปซื้อคนมาจากรังโจรสองรังนอกเมือง 12 คน ตอนนี้ล้วนส่งไปเมืองหลวงแล้วกระมัง เรื่องนี้คิดบัญชีกับเจ้า”
วาจานี้เดาว่าเจิ้งไจ้ปินได้ยินไม่ชัด เพราะกำลังเจ็บปวดแสนสาหัสราวจะขาดใจ คนที่ขวางทางพ่อลูกไว้เห็นดังนี้ ผู้ใดยังกล้าลงมือ ล้วนพากันหลีกทางทันที
***************
เหลียวกั๋วกงจัดการตระกูลเจิ้งในเมืองซงเจียง ข่าวนี้แพร่ไปทั่วเมืองซงเจียงอย่างรวดเร็ว จากนั้นหลายเมืองแดนใต้ก็รู้กันทั่ว ถึงกับแม้แต่เจ้อเจียงกับตอนเหนือแม่น้ำก็ยังรู้ข่าวนี้ ตระกูลเจิ้งเป็นตระกูลใด นั่นเป็นชนชั้นพระญาติอันดับหนึ่งในตอนนี้เชียวนะ เหลียวกั๋วกงถึงกับกล้าลงมือเช่นนี้
หวังทงแม้แต่คนกันเองยังไม่เกรงใจ เช่นนี้ คนในเขตปกครองใต้กับเจ้อเจียงเหล่านี้จะกระไรนัก พริบตาเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าก็ราบรื่นยิ่ง คนเรามีแค่สองขา ล่วงเกินหวังทงเข้า ถูกตามถึงจวนหักขาทิ้ง นั่นย่อมไม่คุ้มค่า
แต่ทว่าก็มีคนรอดู ตอนนี้เมืองซงเจียงวิเคราะห์สถานการณ์ออกมาว่า หวังทงกับตระกูลเจิ้งปะทะกัน ตระกูลเจิ้งสถานะเทียบตะวัน หวังทงดีไม่ดีย่อมเสียท่า เขาเสียเปรียบมา เมืองซงเจียงที่ยิ่งใหญ่ตอนนี้ราวกับเนื้อชั้นดี ตนเองกินรวบไม่ได้ แต่ได้กัดสักคำ ก็ยังเรียกว่าได้ประโยชน์ไม่น้อย
เมืองซงเจียงเกิดเรื่อง ข่าวไปถึงเมืองหลวง เมืองหลวงจัดการเรื่องนี้ก็ต้องใช้เวลา 20 วัน ทุกคนรอดูแล้วกัน!
เมืองหลวงมีโรงงิ้ว แดนใต้นิยมเรื่องบันเทิงมากยิ่งกว่า แน่นอนย่อมต้องก่อสร้างไม่น้อย ระยะนี้แสดงงิ้วเรื่องใหม่ ชื่อว่า ‘กัวจื่ออี๋ลงมือกับอนุชาฮองเฮากลางถนน’ เป็นเพราะพระญาติทำตัวไม่เกรงกลัวกฎหมาย กัวจื่ออี๋ออกหน้าจัดการลงโทษ จากนั้นโอรสสวรรค์มีราชโองการชมเชย
งิ้วเช่นนี้ คนรู้ก็เข้าใจทันทีว่ากล่าวถึงเรื่องล่าสุดของหวังทง ชาวบ้านชอบเรื่องเช่นนี้ที่สุด พริบตาชื่อเสียงหวังทงก็ดังไปทั่ว
พอเดือนสิบสอง หลายคนล้วนรู้ผลแล้ว พวกที่การข่าวไวไม่มากนักรู้แล้วว่า ตระกูลเว่ยกั๋วเมืองหนานจิง ส่งบุตรชายสองคนนำเงินก้อนโตจากร้านตนเองในเมือง ใช้รถม้าลากไปเมืองซงเจียง ว่าไปเปิดกิจการการค้า เตรียมเรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ต้องการทำเงินในเรื่องนี้
นอกจากตระกูลเว่ยกั๋วกง ขุนนางใหญ่อื่นๆ ก็ล้วนมีการเคลื่อนไหวไม่ต่างกันนัก พากันนำเงินไปยังเมืองซงเจียง
เห็นชัดว่าไม่ได้คิดจะแบ่งก้อนเนื้ออย่างเมืองซงเจียง หากไปแสดงความเป็นมิตร ไปลงทุนเปิดร้านค้าในเมืองซงเจียง หวังทงได้ผลประโยชน์เรื่องนี้ไม่น้อย สนับสนุนเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าก็เหมือนสนับสนุนหวังทง
การเคลื่อนไหวนี้ หลายคนเข้าใจได้ในทันที หากว่าระดับเว่ยกั๋วกงที่การข่าวตอนเหนือแม่นยำทำเช่นนี้แล้ว พวกเขาย่อมได้ข่าวจากเมืองหลวงแล้ว จึงได้แสดงท่าทีเป็นมิตรกับหวังทงเช่นนี้
ถึงตอนนี้ ทุกคนล้วนเข้าใจ หวังทงปะทะคนตระกูลเจิ้ง โอรสสวรรค์ไม่ได้จัดการลงโทษอันใดแม้แต่น้อย เหลียวกั๋วกงยังคงอำนาจบารมีเป็นที่โปรดปราน ถึงกับยังมากกว่าเดิม ทุกคนควรเร่งต้อนรับให้ดีดีกว่า
เพียงแต่ไม่รู้ว่า ทางเมืองหลวงจะจัดการอย่างไรต่อมา พอปลายปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 16 ข่าวยังมาไม่ถึง ตระกูลเจิ้งก็นำเงินมายังเมืองซงเจียง