องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1036 เฉินหลินเห็นใจ
“เจ้าบัดซบ ปีใหม่มาก่อกวนได้ หากไม่ใช่แม่ทัพใหญ่เราใจกว้าง จะตัดหัวเจ้าทิ้งเสียเลย!”
ทหารกองทัพเรือสำรองท่าเรือไป๋เอ๋อร์ถานเมืองกวางเจาตะโกนด่าทอชายหนุ่มผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นสวมชุดสีน้ำตาลแขนสั้น กำลังถูกผลักไส หากก็ยังคงขอร้องว่า
“นายท่านทั้งหลาย ขอให้ข้าน้อยได้พบแม่ทัพใหญ่ด้วย ลูซอนหลายหมื่นชีวิต คนหลายหมื่นชีวิตถูกพวกต่างชาติสังหารหมดแล้ว ราชสำนักไม่อาจไม่ดูแลเรื่องนี้ ไม่อาจปล่อยให้ราษฎรแผ่นดินหมิงหลายหมื่นชีวิตต้องถูกต่างชาติสังหารเช่นนี้!”
พูดจบ ชายหนุ่มก็ส่งเสียงสะอื้นไห้ หน้ากองทัพเรือสำรอง นับว่าเป็นพื้นที่ทหาร คนปกติไม่อาจเข้าใกล้ได้ เดือนหนึ่งจังหวะที่เมืองกวางเจากำลังอยู่ช่วงเทศกาลคึกคัก ไม่มีการคุ้มกันหลายชั้น
ได้ยินว่าหลายหมื่นคน ทหารที่ผลักไสชายหนุ่มก็พากันค่อยๆ หยุด มีทหารดูมีอายุคนหนึ่งถอนหายใจ กล่าวว่า
“น้องชายทุกท่าน ที่นี่เป็นแค่กองทัพเรือสำรองกวางตุ้ง ไม่อาจดูแลไปถึงลูซอนได้ จะว่าไปเจ้าไปคบกับพวกต่างเผ่าพันธุ์ แม้ใต้เท้าเราก็ไม่อาจจัดการอันใดได้ ไปเถอะๆ เจ้าไม่ฉลองปีใหม่ แต่พวกเรายังต้องฉลองกัน”
กล่าวถึงขั้นนี้ ชายฉกรรจ์อายุน้อยได้แต่หมดแรง ก่อนจะไม่ดิ้นรนดึงดันต่อ พากันออกไปอย่างไม่พอใจ บ่นพึมพำว่า
“โอ้สวรรค์…”
****************
กองทัพเรือสำรองจะว่าไปก็มีตำแหน่งผู้บัญชาการ ตามธรรมเนียม ที่ทำการกองทัพเรือสำรองกวางตุ้งล้วนอยู่ในเมือง ทุกอย่างสะดวกมาก
ตั้งแต่เฉินหลินได้ดำรงตำแหน่งมา เพื่อให้สะดวกกับการไปมากองเรือ ก็ตั้งที่ทำการไว้ที่ท่าเรือไป๋เอ๋อร์ถานนอกเมืองอันแสนรุ่งเรือง เป็นที่ทำการ ได้ชื่อว่าเป็นที่สำคัญ
แต่ทว่ามีคนแอบนินทาว่าเฉินหลินฉลาด ท่าเรือไป๋เอ๋อร์ถานล้วนเป็นที่พำนักของพ่อค้าจากจูเจียงมาทำการค้าที่เมืองกวางเจา รุ่งเรืองไม่น้อยไปกว่าในเมือง เฉินหลินมีชื่อเสียง ไม่ได้ทำให้ใครเสียประโยชน์ ดีไม่ดีได้แต่นั่งรับเงินสบาย ฉลาดจริง
เฉินหลินเป็นดังขุนนางที่พบเห็นได้บ่อยในยุคสมัยนี้ เขาชอบเรือมาก และยังทุ่มเทมุ่งมั่น ตั้งแต่ได้ตำแหน่งมาหักเบี้ยหวัดทหารน้อยลงไปมาก เรือก็ล้วนเปลี่ยนใหม่ให้มากที่สุด การฝึกทหารก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
เรื่องนี้ผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้งกับผู้ตรวจการเขตล้วนกล่าวชม กวางตุ้งร่ำรวย พวกเขาจึงยอมทุ่มเงิน การหักเบี้ยจึงน้อยกว่าที่อื่นมาก ไม่ว่าอย่างไร ฝึกทหารได้ดี ทุกคนล้วนได้หน้า
ตอนชีจี้กวงเป็นผู้บัญชาการกวางตุ้ง ให้การสนับสนุนเฉินหลินอยู่มาก ก่อนจากไปยังนำเสนอชื่อให้ราชสำนักแต่งตั้งให้เฉินหลินเป็นผู้บัญชาการดูแลทัพเรือ เป็นผู้บัญชาการประจำที่นี่ เฉินหลินนับว่าเป็นตัวอย่างพิเศษ
ตามความเห็นคนนอก เฉินหลินก้าวขึ้นมาได้ และยังได้ทำสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ มีชีวิตที่มีความสุข แต่ทหารติดตามเฉินหลินกลับรู้ว่า นายตนไม่ได้ต้องการเช่นนี้
ในจวนเฉินหลินมีแผ่นภาพที่ที่นำมาจากมาเก๊ามากมาย ถึงกับส่งคนไปวาดมาอยู่เป็นประจำ ภาพวาดล้วนเป็นเรือชาวตะวันตก เรือที่มีชั้นสูงๆ และปืนใหญ่ 10 กระบอกเป็นหลัก วันๆ เอาแต่ดู จากนั้นก็หันมาดูกองเรือตนเอง ก็เริ่มกลุ้มใจ
ปีหนึ่งมานี้ก็อารมณ์ดีไม่น้อย เพราะนายกองพันม่ายที่เทียนจินเป็นตัวแทนกองเรือกวางตุ้งต่อเรือปืนใหญ่สามลำให้โรงต่อเรือสามธารา ว่าปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 18 จะต่อเสร็จ เพราะไม้ที่ต่อเรือมาถึงในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17
กลางวันแสกๆ มีคนมากองทัพเรือสำรองร้องทุกข์ ในสายตาคนที่มองเข้าใจแล้วก็ได้แต่เห็นเป็นเรื่องตลก คนมาร้องทุกข์ควรต้องไปหาขุนนางบุ๋น มาที่นี่ทำไมกัน พวกทหารขับไล่ไป รายงานยังไม่ไปรายงานด้วยซ้ำไป แต่ตามธรรมเนียมการทำงานเฉินหลิน ก็ย่อมไม่ละเลยเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ตอนทหารขับไล่ไป นั้นเขาก็ย่อมรู้แล้ว
พอฟ้ามืด เสียงปืนใหญ่ดัง กวางตุ้งร่ำรวยปีใหม่ยังเฉลิมฉลองไม่เสร็จ เฉินหลินไม่มีความสุขนัก เขาอยู่ในห้องหนังสือมองแบบเรือตะวันตกหลายลำ เป็นภาพที่ให้คนไปซื้อมาจากมาเก๊า เฉินหลินหลงใหลเรื่องนี้จริงๆ
กำลังไตร่ตรองอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนด้านนอกรายงาน ทหารในสังกัดในชุดสามัญวิ่งเข้ามา คำนับนอบน้อมกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ สืบความมากระจ่างแล้ว”
เฉินหลินพยักหน้านั่งนิ่งกับที่ ทหารติดตามเข้ามาใกล้กล่าวว่า
“ข้าน้อยไปลอบสืบมาได้ว่า คนผู้นี้แซ่ไป๋จริง เรียกตัวเองว่า ไป๋อู่ เป็นคนที่กลับมาจากลูซอน ครอบครัวไปลูซอนนานแล้ว 30 กว่าปีมีกิจการการค้าที่นั่น เขาเองก็แต่งงานมีภรรยาและบุตร คนผู้นี้กลับแผ่นดินหมิงมาหาซื้อของ ทำให้พ้นภัยที่ลูซอน เขาขายสมบัติทั้งหมดหาเรือกลับไปที่นั่น ก็พบว่าครอบครัวมีสภาพแสนอนาถ”
ได้ยินเช่นนี้ เฉินหลินก็อดไม่ได้ถอนหายใจ เป็นเรื่องน่าอนาถบนโลกมนุษย์นี้จริง ทหารติดตามกล่าวอีกว่า
“คนผู้นี้เห็นชาวฮั่นหลายหมื่นในลูซอนถูกสังหารทิ้ง ใจหนึ่งก็คิดแก้แค้น แต่ครอบครัวเขาเป็นเพียงครอบครัวเล็กๆ บนแผ่นดินหมิง รู้แม่ทัพใหญ่ดูแลทัพที่นี่ จึงได้มาขอความช่วยเหลือ ก็ช่าง….”
คนที่มาขอความช่วยเหลือเป็นไป๋อู่ พฤติกรรมที่ไม่รู้ความของเขา คนกองทัพเรือสำรองในจวนไม่ได้รู้สึกเป็นเรื่องตลก กลับรู้สึกสงสาร บิดามารดาภรรยาและบุตรล้วนตายอนาถ ตอนจากกันยังยิ้มแย้ม แต่ตอนกลับไปกลับต้องจากกันคนละภพ ทุกคนล้วนรู้ ชาวฮั่นในลูซอนตายกันอนาถยิ่ง
“เจ้าว่าทัพเรือเราไปได้ไหม?”
คิดไม่ถึงเฉินหลินถามขึ้นเช่นนี้ ทหารอึ้งไปครู่หนี่ง เขาเองก็ติดตามมานาน เรื่องกองเรือก็พอรู้แก่ใจ ได้แต่ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ท่านแม่ทัพ ไม่ใช่ข้าน้อยไม่อยาก แต่ทัพเรือเราอย่าว่าแต่ไปลูซอน ไปแค่เหลียงโจวก็ยากแล้ว เกรงว่ายังไม่ทันถึง ก็ล่มหลายลำแล้ว พวกต่างชาติที่ลูซอนนั่นเป็นเรือปืนใหญ่เสียมาก หากระหว่างทางออกมารอรับเราบนท้องทะเล ก็ย่อมหายนะแน่แล้ว”
เฉินหลินพยักหน้า หันไปมองยังภาพเรืออีกทาง กล่าวว่า
“ช่วยไม่ได้แล้ว ไม่มีปัญญาช่วย คนหลายหมื่นนั่นเป็นพวกที่ละทิ้งแผ่นดินเกิดไป ไม่อยู่ในการคุ้มครองแผ่นดินหมิงเรา”
พูดถึงตรงนี้ ทหารติตดามก็ได้แต่อึ้งไป หากไม่คิดสนใจ คิดแล้วคงไม่ส่งเขาไปสืบความละเอียด หากก็ยังคงก้มหน้าลงไม่กล่าวอันใด
เฉินหลินเงียบไปนาน ก่อนจะค่อยๆ กล่าวว่า
“เมืองซงเจียงกำลังเปิดท่าการค้า กำลังต้องการแรงงานคนไม่น้อย ไป๋อู่ก็นับว่ามีฝีมือ ไปไม่แน่หากทำมาหากินได้”
ทหารรีบรับคำ แต่ก็ยังคงงง เฉินหลินกล่าวอีกว่า
“เจ้าไปห้องคลังเบิกเงินออกมา ให้คนเอาไปให้ ให้เขารีบไปเมืองซงเจียง มาเมืองกวางเจาทำไมกัน”
“ข้าน้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย!”
งงก็ส่วนงง ทหารผู้นี้ไม่กล้ารอช้า รีบคำนับ ตอนออกจากประตูถูกเฉินหลินเรียกไว้ เฉินหลินเหมือนจะยิ้มกล่าวว่า
“ตอนนี้เหลียวกั๋วกงอยู่เมืองซงเจียง เขามีหลักการธรรมเนียมมาก ทำงานรอบคอบ ไป๋อู่น่าสงสารจริง แต่ไม่รู้หลักการธรรมเนียม เจ้าก็กำชับในสิ่งที่เขาควรรู้ไปด้วย อย่าให้เกิดความผิดพลาดได้ เจ้าเข้าใจไหม?”
ทหารแรกๆ ก็งง จากนั้นก็เข้าใจทันที รีบคำนับรับคำสั่งวิ่งออกไปทันที
พอคนออกไปแล้ว เฉินหลินหัวเราะสองเสียงก่อนจะยิ้ม จากนั้นก็ถอนหายใจ
****************
ท่าเรือเมืองซงเจียงกับโรงต่อเรือเป็นเรื่องใหญ่ ห้ามออกทะเลหลายครั้งทำให้โรงต่อเรือเดิมในเขตปกครองใต้เริ่มรกร้าง พื้นที่ร่ำรวยแดนใต้มีการค้ากับทางทะเลทั้งที่ลับและที่แจ้ง การค้าทางทะเลก็ต้องมีเรือ แต่ไม่มีโรงต่อเรือ ทุกคนต้องการเรือก็ได้แต่ไปไถโจวหรืออาจไปถึงฮกเกี้ยน หรือไม่ก็ไปหาโรงต่อเรือเอกชนในพื้นที่
แม้ว่าใช้การได้ แต่ก็รู้สึกไม่คล่องตัว มีหลายอย่างไม่สะใจ ไม่สะดวก ตอนนี้เมืองซงเจียงมีโรงต่อเรือ และยังเปิดยิ่งใหญ่เปิดเผย เห็นเรือใหญ่พวกนั้นแล้ว ตนเองไปซื้อมาสักลำก็ไม่เลว
ทางนี้ยังไม่ได้เปิดโรงต่อเรือ ก็มีคนมาเจรจาการค้าแล้วไม่น้อย เมืองซงเจียงมีเรื่องคาดไม่ถึงมากมายเสียจริง เพิ่งจะพ้นปีใหม่ ถึงกับมีเรื่องใหม่ๆ มากมายเช่นนี้เกิดขึ้นให้แปลกใจ
หยางซือเฉินรับตำแหน่งนายอำเภอซ่างไห่ลงมือทำเรื่องแรกก็คือจัดการที่ทำการ ตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่เล็กๆ ไปจนระดับคนทำงานระดับใหญ่ หากมีความผิดเล็กน้อยก็พูดเสียใหญ่โต จากนั้นก็ไล่ออก บารมีหวังทงค้ำอยู่ ทุกคนรู้ว่าทำอันใดไม่ได้ ไม่มีผู้ใดคิดดึงดัน ล้วนยอมทำตามแต่โดยดี ถูกหยางซือเฉินเปลี่ยนเป็นคนของตนเองหมด ล้วนเป็นพวกหัวไวทางการค้า คนพวกนี้แม้ว่าไม่รู้การทำงานทางการ แต่ดีที่เชื่อฟัง และยังเรียนรู้ไว ใช้งานได้วางใจ
เทียนจินเดือนสามจึงเปิดเดินทะเลได้ เรือหวังทงส่วนใหญ่มาอยู่เมืองซงเจียง กองเรือนี้สร้างภาพให้ท่าเรือเมืองซงเจียง ไม่พูดถึงเรือใหญ่ฮกเกี้ยนแบบต้าฝูฉวน[1]หรือเรือใหญ่กวางตุ้ง เพราะเรือตะวันตกใหญ่สิบลำนั้นเตะตากว่า ตัวเรือขนาดใหญ่ ใช้ผ้าหนาทำใบเรืออ่อน บนเรือยังมีปืนใหญ่ ล้วนทำให้มองอย่างหลงใหล
เรือใหญ่เหล่านี้กับปืนใหญ่แสดงถึงกำลังหวังทง นอกจากกำลังผู้คุ้มกัน 600 กำลังกองนี้ยิ่งน่าตกใจ
หน่วยกองพันทหารสองหน่วยเมืองซงเจียงพอเห็นเรือปืนใหญ่นี้แล้ว ก็ล้วนยอมรับการปรับเปลี่ยนแต่โดยดี ไม่กล้ามีคำบ่นอันใดอีก หรือว่ากองทหารจากนอกพื้นที่มาเมืองซงเจียง เพราะจัดการพวกเขาเป็นเรื่องยุ่งยาก แน่นอน ทหารเหล่านี้ไม่รู้ แค่กองคุ้มกัน 600 หวังทงก็สามารถจัดการพวกเขาได้ง่ายดายยิ่งแล้ว ง่ายราวกับเชือดไก่เชือดสุกร
กองทหารเห็นเป็นกองกำลัง แต่บรรดาพ่อค้ากลับเห็นเป็นกำไร เรือเหล่านี้ขนสินค้าได้มาก และไม่ต้องเป็นห่วงจะเจอกับโจรสลัดบนท้องทะเล แล่นไปกลับรอบหนึ่งก็กำไรรอบหนึ่ง เดิมการขนส่งทางทะเลก็ได้กำไรมากกว่าเดิมสี่ส่วนแล้ว หากได้เรือใหญ่นี้ไป อย่างไรก็ต้องได้ถึงเจ็ดส่วน
ตั้งแต่เดือนหนึ่งมา ก็เริ่มมีคนไม่น้อยมาขอพบหวังทงคิดอยากได้เรือขนสินค้า ให้กำไรหวังทงงามมาก เป็นวิธีการเอาใจเหลียวกั๋วกงอีกด้วย
เทียบกับกองเรือพวกนี้แล้ว ร้านเงินกับร้านประกันภัยก็เป็นที่สนใจไม่น้อย แดนใต้คหบดีร่ำรวย พ่อการค้าเกลือเหนือใต้แม่น้ำแยงซีเกียง ชนชั้นสูงเมืองหนานจิง ผู้ใดไม่มีเงินสดก้อนโตกัน
[1] สำเภาฮกเกี้ยนบางทีเรียกกันว่า ไต้ฮกจุ๊น