องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1038 เจ้ายังกล้ากลับไปไหม
ตัวไป๋อู่เริ่มมีกลิ่นเหม็นถูกนำตัวไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า กินอาหารอิ่มแล้วก็นำมาพบหวังทง
ไป๋อู่เดิมทีจิตใจและร่างกายล้วนเคร่งเครียดยอย่างมาก พอได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ก็รู้ว่ายังมีความหวัง ทำให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย หากทำให้หมดแรงลงทันที ผู้คุ้มกันเหลียวกั๋วกงต้องหามมายังโถงกลางแทน
ระหว่างถูกหามมานั้น ไป๋อู่ลอบมองดูจวนเหลียวกั๋วกง จวนกั๋วกงถึงกับไม่ได้อลังการเหมือนพ่อค้าใหญ่เมืองกวางเจา แต่มีความน่าเกรงขามอย่างหนึ่งอยู่ เหมือนค่ายทหาร เห็นจวนเช่นนี้ ก็รู้สึกในใจมีความหวังขึ้นอย่างประหลาด
ในโถงนั่นเอง หวังทงนั่งอยู่ หากไม่ใช่แนะนำว่า ‘นี่กั๋วกงเรา’ ไป๋อู่ถึงกับไม่เชื่อว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่แต่งกายเรียบง่ายผู้นี้จะเป็นเหลียวกั๋วกง เขาถึงกับสวมชุดสั้นธรรมดา
เห็นหวังทงพยักหน้าให้เขา ไป๋อู่ได้สติรู้สึกผ่อนคลายลง คุกเข่าอยู่ๆ ก็รู้สึกเศร้า ส่งเสียงร่ำไห้ออกมา แม้แต่วาจายังไม่อาจกล่าวได้ ได้แต่งึมงำไม่เป็นคำพูดว่า ‘ขอกั๋วกงล้างแค้นให้ด้วย’
“ราษฎรแผ่นดินหมิงหลายหมื่น หนีออกไปไม่เพียงแต่เจ้าคนเดียวกระมัง!?”
หวังทงเอ่ยถามขึ้น น้ำเสียงมีแววเหน็ดเหนื่อยที่ปิดไม่มิด ไป๋อู่พยายามกลั้นสะอื้น สมองเขาเริ่มมีภาพอนาถขึ้นมาในห้วงความคิด พยายามบังคับความคิดและใจตนเอง ตอบเสียงสะอื้นว่า
“เรียนกั๋วกง ราษฎรเราที่ลูซอนส่วนใหญ่มีอาชีพประมงทะเลกับทำการค้า คนมีเรือหากออกทะเลได้ พวกต่างชาติก็ใช่ว่าจะตามทัน หนีกลับมาได้ไม่น้อย”
“หนีกลับมาไม่น้อย แต่คนที่รู้จักตามคนกลับไปแก้แค้น ตอนนี้ข้ารู้จักเจ้าแค่คนเดียว”
หวังทงพยักหน้ากล่าว ตามมาด้วยเสียงดังว่า
“หาเก้าอี้ให้เขานั่ง!”
สติไป๋อู่เริ่มกลับเป็นปกติ โขกศีรษะหลายที ยืนยันหนักแน่นว่า
“กั๋วกงไม่รับปากจัดการคดีหลายหมื่นชีวิตที่ลูซอน ข้าน้อยไม่ขอลุกขึ้น”
“ละครพวกนี้เรียนรู้ได้แต่อย่าได้นำมาใช้ที่นี่ ลุกขึ้นพูดดีๆ!”
ถูกหวังทงตำหนิ ไป๋อู่จึงยอมลุกขึ้น หวังทงขยี้ขมับ เอ่ยถามขึ้นตรงๆ ว่า
“เจ้ารู้ไหมว่าพวกสเปนจอมชั่วที่ลูซอนมีปืนกี่แบบ มีปืนใหญ่เท่าไร มีเรือเท่าไร?”
ไป๋อู่สีหน้างง ยังไม่ทันได้ตั้งสติ ‘พวกสเปนจอมชั่ว’ พูดถึงพวกคนต่างชาติในพื้นที่ ลังเลก่อนตอบว่า
“พวกมันน่าจะมีคนราว 3,000 ปืนใหญ่ ….”
หวังทงถอนหายใจ ขัดคำไป๋อู่ที่พูดไม่ทันจบ โบกมือกล่าวว่า
“ไปพักผ่อนก่อน ตอนนี้เจ้าไม่มีที่ไป ก็อยู่ที่นี่ทำงานไปก่อน”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ไป๋อู่ร้อนใจ ลุกจากเก้าอี้คุกเข่าโขกศีรษะตึงๆ กล่าวว่า
“กั๋วกง ชาวฮั่นหลายหมื่นชีวิตตายตาไม่หลับ ตอนนี้แผ่นดินหมิงมีแต่กั๋วกงจึงให้ความเป็นธรรมได้ กั๋วกง….”
“เจ้าแค่ไปพบเฉินหลิน จากนั้นก็มาพบข้า แผ่นดินหมิงเจ้าเคยพบคนมากเท่าไรกัน เหตุใดจึงกล่าวว่ามีเพียงข้าให้ความเป็นธรรมได้ จะว่าไป ลูซอนก็มีทะเลขวางกั้น เจ้าไม่รู้ที่นั่นมีคนเท่าไร ปืนเท่าไร ปืนใหญ่เท่าไร เรือเท่าไร ก็ให้ข้าไปล้างแค้นให้เจ้า หรือว่าคิดให้ข้าไปรนหาที่ตายกัน?”
หวังทงเร็วไม่หายใจ ไป๋อู่ถึงกับอึ้งไป เขาเดิมทีมีแต่ความแค้นอัดแน่นในใจ อีกฝ่ายบ่ายเบี่ยงก็คิดว่าไม่คิดช่วยเหลือ กล่าวเช่นนี้ ก็ราวกับเงยหน้าถูกน้ำเย็นราด เงียบกริบไปทันที ขณะเดียวกันกลับมั่นใจ หวังทงในเมื่อกล่าวเช่นนี้ ก็ย่อมคิดช่วย
คิดถึงตรงนี้ ไป๋อู่จึงอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ โขกศีรษะดังหลายที เสียงแหบพร่ากล่าวว่า
“กั๋วกงคิดจัดการเช่นไร ข้าน้อยจะทำอย่างไร ขอกั๋วกงวางใจ ข้าน้อยชีวิตนี้ไม่ใช่เพื่อตนเองแล้ว แต่เป็นของกั๋วกง”
***************
“เจ้าคิดว่าพวกสเปนนั่นกำลังรบเป็นอย่างไร?”
ในจวนคนที่ตอบคำถามนี้ได้มีแต่ซาต้าเฉิง ตอนนั้นพันธมิตรไตรธาราอิทธิพลอำนาจทั่วท้องทะเล ลูซอนก็เคยไปมา
ที่ผ่านมาทำอะไรมา ซาตงหนิงย่อมแจ้งไว้ก่อน ซาต้าเฉิงเองก็ถูกตามมาหารือ เงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“กองกำลังหู่เวยของกั๋วกงฝึกแบบกองกำลังสเปนกระมัง?”
“เป็นของแผ่นดินหมิง ไม่ใช่ของข้า เจ้าก็สายตาแหลมคมไม่เลว มองออกว่าวิธีการพวกนี้มาจากไหน พวกฮั่นซือลงแรงไม่น้อย ฝึกทหารตามแบบพวกตะวันตกจริง”
ได้ยินหวังทงตอบ ซาต้าเฉิงพยักหน้ากล่าวว่า
“ตอนแรกที่ได้เห็นการฝึกซ้อมของกองกำลังหู่เวย ได้เห็นทวนยาวกับปืนไฟ ถึงกับยังมีชุดเกราะ ล้วนคุ้นเคยหลายส่วน ไม่ได้ว่าเหมือนพวกผีต่างชาติ แต่เรียกได้ว่ามาจากรากฐานเดียวกันเลยก็ว่าได้ รบกับพวกผีต่างชาติลูซอน ข้าน้อยเคยเห็นมาครั้งหนึ่ง พวกผีต่างชาติ 500 คน ปืนไฟ 100 กว่า รบกับพวกชาวพื้นเมืองเกือบหมื่น ได้ชัยชนะใหญ่ เป็นทหารแข็งแกร่งจริง แต่ทว่าพวกผีต่างชาติอยู่ลูซอนสงบมานาน กวาดล้างชาวพื้นเมืองที่ก่อการสิ้นซากไปหมดหลายรอบ ทำให้ดูพวกผีต่างชาติเป็นดังเทวดา ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งใดแม้แต่น้อย ความสุขสบายมากไปนี้ ทำให้คนสูญความองอาจกล้าหาญไปได้มากที่สุด กองกำลังหู่เวยฝึกซ้อมเป็นประจำ ยังผ่านสมรภูมิมาดุเดือด น่าจะเก่งกว่า”
ซาต้าเฉิงแม้ว่าเป็นเพียงคนจากท้องทะเล แต่สามารถมีสถานะนี้ได ก็พอรู้ควรไม่ควร หวังทงเองเข้าใจวาจาเขาไม่ได้กล่าวหมด ทหารสเปนกับกองกำลังหู่เวยน่าจะไม่ต่างกันมาก
“สำหรับการรบ กั๋วกงก็วางใจได้ เมืองท่ามะนิลาสองแห่งนับเรือรบทั้งหมดแล้ว สามารถเทียบได้กับเรือรบใหญ่กั๋วกงก็มีเพียงแค่ 3-4 ลำเท่านั้น อย่างไรเรือพวกผีต่างชาติก็ไว้ขนสินค้า ที่มะนิลาไม่อาจจอดได้นาน”
ที่กล่าวว่าเรือใหญ่สิบลำนั้นก็คือเรือแบบเรือติ้งไห่ที่ติดปืนใหญ่สิบลำ ถือเป็นเรือรบที่ทรงอานุภาพที่สุดในทะเลตะวันออก เป็นเพราะหวังทงบังเอิญได้ไม้ใหญ่จากนอกด่านมามาก
ยุคสมัยนี้ เรือการค้าห้าร้อยตัวติดอาวุธมีเพียงเรือสามลำของฮอลันดา โปรตุเกสกับสเปนมีประเทศละสองลำ ที่เหลือล้วนเป็นเรือการค้าติดอาวุธระดับรองลงมาทั้งนั้น ความจริงในตอนนี้ที่ยุโรปก็มีเรือใหญ่มากกว่าพันตันแล้ว แต่เรือเหล่านี้ไม่เคยออกจากยุโรป
หวังทงพยักหน้า สีหน้าซาต้าเฉิงเริ่มคิดหนักกล่าวว่า
“พวกผีต่างชาติอยู่ลูซอน ก็อยู่กันแค่ที่มะนิลาเท่านั้น แต่ลูซอนแม้ว่าเป็นหมู่เกาะ หากท่าเรือดีจริง ๆ ก็มีแค่มะนิลา สินค้าเข้าออกล้วนผ่านทางนี้ หากกุมเมืองท่านี้ได้ พวกผีต่างชาติสามารถนั่งเรือไปยังเกาะบริวารอื่นๆ รอบลูซอนได้ ชาวพื้นเมืองก็ไม่กล้าต่อต้าน การขนส่งทางทะเลสะดวก พวกทหารผีต่างชาติพันกว่าทำอะไรกันอิสระ สามารถใช้กำลังที่น้อยกว่าสิบเท่าทำลายศัตรูได้ ชาวฮั่นลูซอนความจริงนั้นก็เคยรวมกำลังหลายพันไปตีมะนิลา ก็ถูกพวกผีต่างชาติใช้วิธีการนี้บีบให้ถอยกลับ พ่ายกระเจิง เพราะเป็นเช่นนี้ พวกผีต่างชาติจึงลงทุนลงแรงมากในมะนิลา ท่าเรือใต้ไม่มีเรือใหญ่จอด พวกเขาทำเป็นค่ายทหารเรือ แต่ท่าเรือตอนเหนือ ล้วนเป็นที่พักพวกผีต่างชาติ ติดทะเล ใจกลางเป็นป้อมศิลาใหญ่ ป้อมศิลากับกำแพงติดทะเลรวมกัน บนกำแพงหินมีป้อมปืนใหญ่หกกระบอก ตามระเบียบการจัดการกองกำลังหู่เวย ล้วนเป็นปืนใหญ่กระสุน 12 ชั่ง ป้อมศิลาก็ใช้หินก่อทับขึ้นมาเป็นชั้น ตามแบบพวกผีต่างชาติ ตอนสร้างยังทำให้ชาวพื้นเมืองตายไปไม่น้อย….”
พูดถึงสุดท้าย ซาต้าเฉิงประสานมือเสริมต่อว่า
“ข้าน้อยตอนนั้นล้วนเคยไปประเทศวัวมา พี่น้องเราก็เคยไปทะเลใต้กันมามาก ตอนนี้อยู่เทียนจินตั้งรกราก พี่น้องที่เคยไปมาแล้วที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ ข้าน้อยไปถามมาอย่างละเอียดแล้ว จึงได้มาเรียนกั๋วกง แต่การทหารเป็นเรื่องสำคัญ ต้องได้เห็นกับตาจึงจะตัดสินใจได้แม่นยำ”
“รู้ได้มากเพียงนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่เลวแล้ว พวกทหารต่างชาติและเรือล้วนเรื่องเล็ก ป้อมศิลากับป้อมปืนใหญ่จึงเป็นความยุ่งยาก!”
ป้อมปืนใหญ่เป็นฝันร้ายกองเรือ วาจาใช่ว่าไม่เป็นที่รู้กันในยุคนี้ แต่ทว่าตอนนี้เรือทำจากไม้เทียบกับป้อมปืนใหญ่บนบก ช่างอ่อนแอกว่าอย่างยิ่ง
ยิงปืนใหญ่ใส่กัน เรือปืนใหญ่เพราะลอยอยู่บนน้ำไม่อาจรักษาความแม่นยำได้ แต่ปืนใหญ่บนป้อมปืนใหญ่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ เรือทำจากไม้กับป้อมศิลาทำจากหิน การป้องกันก็ไม่อาจเทียบกันได้
และที่นี่เป็นที่มั่นพวกสเปน ยุคสมัยนี้ พวกยุโรปชาวผิวขาวใช้ปืนได้เก่งกว่าพวกตะวันออกมาก ดังนั้นปืนใหญ่ที่มะนิลาจึงไม่ได้มีไว้ตั้งโชว์ข่มขู่เท่านั้น หากเป็นอาวุธร้ายแรงที่ทรงอานุภาพจริง นี่เป็นปัญหาหนักจริง
เมืองซงเจียงมีเรือเคยไปลูซอนไม่มาก หวังทงรู้ดี นอกจากอ่าวทางใต้และเหนือมะนิลาที่เป็นท่าเรือดีตามธรรมชาติแล้ว ที่อื่นล้วนไม่อาจเรียกเมืองท่าอันใด อย่าได้หวังว่าที่เดิมๆ จะมีรากฐานก่อสร้างอันใด อย่าได้หวังว่าจะมีทางสะดวกอันใด
ในสถานการณ์ตอนนี้ หากจะเข้าออกลูซอน มีแต่ใช้เมืองท่ามะนิลาสองแห่งนี้เท่านั้น
**************
ไป๋อู่อยู่เมืองซงเจียงต่อไป เขาเติบโตในแถบทะเลใต้ ร่างกายนับว่าแข็งแรง รอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเลมา เร่งเดินทางขึ้นเหนือมา ทำลายสุขภาพไม่น้อย ดีที่หวังทงสั่งไว้ให้คนของเขาดูแลให้ดี สุขภาพจึงค่อยๆ ฟื้นคืน
เขาล่องเรือในแถบทะเลใต้ คงได้ใช้งานในเรื่องการเปิดท่าการค้าที่นี่ ไป๋อู่ถูกส่งไปทำงานที่ท่าเรือ คอยตรวจสินค้าเรือรับหน้าที่เก็บภาษี
พอเห็นเรือปืนใหญ่จอดเทียบท่า ไป๋อู่ก็มั่นใจที่จะได้แก้แค้นขึ้นมาหลายส่วน หลังหวังทงเรียกไปสอบถามมาครั้งหนึ่ง เขาแม้ร้อนใจ แต่ก็ได้แต่เก็บความแค้นนี้ไว้ในใจ ตั้งใจทำงานไป
ไป๋อู่สงบใจได้ไม่ถึงสองเดือน หวังทงก็ตามตัวเขามา พอเข้ามาก็คารวะ หวังทงกล่าวตรงๆ ว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ ตอนนี้ลูซอนกำลังเรียกรับราษฎรแผ่นดินหมิงเราไปอีกแล้ว”
ไม่สนใจปฏิกิริยาไป๋อู่ หวังทงยิ้มเย็นกล่าวต่อว่า
“ชาวพื้นเมืองราวกับลิงกังไม่เท่าไร แต่พวกหมูอ้วนสกปรกคิดจะหาคนไปเพาะปลูก หาคนไปขายสินค้า ยังต้องอาศัยคนแผ่นดินหมิง ไม่รู้ว่าชาวบ้านบริสุทธิ์แผ่นดินหมิงเราไปกันแล้วอีกนานไหม พวกเขาจะสังหารหมู่อีกครา”
ไป๋อู่กัดฟันแน่น ไม่รู้ตอบอย่างไร ตอนนั้นเองได้ยินหวังทงถามขึ้น
“เจ้ายังกล้ากลับไปไหม?”