องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1039 หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งไร้สำเนียง
“เจ้ายังกล้ากลับไปไหม?”
ได้ยินหวังทงถามเช่นนี้ ไฟกรุ่นในใจไป๋อู่ก็ประทุออกมาทันที โขกศีรษะอย่างแรง หน้าผากห้อโลหิตในทันที ตอบอย่างเด็ดเดี่ยวหนักแน่นว่า
“กั๋วกง ข้าน้อยอยากกลับตลอดเวลา ไม่เกรงกลัวอันใด”
หวังทงพยักหน้าพอใจ กล่าวว่า
“นี่คือนายกองร้อยสื่อชี องครักษ์เสื้อแพรเมืองซงเจียง เขามีเรื่องคุยกับเจ้า”
สื่อชียืนอยู่ข้างกายหวังทงหันไปพยักหน้าให้ไป๋อู่ หวังทงเอ่ยว่า
“หลายหมื่นชีวิตไม่อาจตายเปล่า ใต้ดวงอาทิตย์นี้ ผู้ใดสังหารราษฎรหมิงต้องชดใช้ แต่ทว่าเจ้ากลับไปลูซอนแล้ว ต้องอดกลั้น ห่างกันทะเลกั้น ไม่อาจทำได้สำเร็จในเดือนหรือสองเดือน เจ้าเข้าใจไหม?”
เมืองซงเจียงตอนนี้ ไป๋อู่รู้เรื่องราวที่ผ่านมาทุกด้านของหวังทงหมดแล้ว หากเป็นผู้อื่นกล่าวกับเขาเช่นนี้ เขายังอาจรู้สึกเหลวไหล แต่หวังทงกล่าวเช่นนี้ เขากลับรู้สึกมั่นใจอยู่หลายส่วน รีบตอบกล่าวว่า
“ขอกั๋วกงวางใจ ข้าน้อยรอได้!”
***************
พูดไปแล้วก็น่าขัน หลายเดือนก่อนศพชาวฮั่นถูกสังหารกลายเป็นเถ้าธุลี ชาวสเปนลูซอนยังกล้ามากวักมือเรียกชาวฮั่นไปเพาะปลูกทำการค้าอีก ที่ยิ่งน่าขันก็คือ ยังมีชาวฮั่นจำนวนมากจากฮกเกี้ยนและกวางตุ้งไปกัน
“เขียนจดหมายไปเมืองหลวง ให้องครักษ์เสื้อแพรส่งคนที่ฮกเกี้ยนกับกวางตุ้งผลัดกันไป ให้พวกเขาตรวจสอบขุนนางท้องถิ่น พวกเขาได้บีบคั้นราษฎรเพียงใดกัน ราษฎรจึงยอมเสี่ยงภัยไปถูกสังหารกัน”
หวังทงอยู่ในห้องหนังสือตนกล่าวกับหยางซือเฉินเช่นนี้ หยางซือเฉินฟังออก หวังทงโมโห หยางซือเฉินส่ายหน้ากล่าวว่า
“กั๋วกง แถบฮกเกี้ยน เจ้อเจียงยังมีหลายอย่างที่กั๋วกงคาดไม่ถึง พื้นที่น้อยคนมาก เจ้าของที่ทรงอิทธิพลอำนาจมาก แม้แต่ทางการก็ไร้กำลังจัดการ อีกอย่างภาษาแถบฮกเกี้ยนและเจ้อเจียง รวมทั้งประเพณีก็ไม่เหมือนกับมณฑลอื่น แม้ว่าคิดจะมาหากินตอนเหนือ ก็ไม่สะดวก พวกฮกเกี้ยนและเจ้อเจียงอยู่ติดทะเล ราษฎรนั่งเรือไปต่างเมืองไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด จึงได้มีการอพยพถิ่นฐานเช่นนี้”
พูดถึงตรงนี้ หยางซือเฉินกลับยิ้มเฝื่อน กล่าวว่า
“กั๋วกง ราษฎรคิดอย่างไรน่ะหรือ พวกเขารู้สึกว่าคนอื่นมีภัยหายนะ แต่ภัยหายนะคงไม่ตกมาถึงหัวตนเอง พวกผีต่างชาติบอกว่าชาวฮั่นลูซอนถูกกวาดล้างเพราะก่อเรื่อง แต่พวกเขาคิดว่าตนเองสามารถอยู่อย่างสงบเสงี่ยมไม่นำมาซึ่งภัยได้”
“น่าแปลกจริง ตามคนที่เดินทางข้ามทะเลเล่ามาว่า ชาวตระกูลทะเลใต้มีหน่วยรบที่ร้ายกาจ หากอยู่แผ่นดินหมิง ทางการหากทำให้พวกนี้ไม่พอใจนิดหน่อย ก็ย่อมเกิดภัยได้ทันที เหตุใดพอลงทะเลใต้จึงได้สงบเสงี่ยมกันได้”
หวังทงถามขึ้นอย่างนั้น แต่หยางซือเฉินสีหน้ายิ้มเฝื่อนมากขึ้น กล่าวว่า
“เรื่องนี้ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
คำถามนี้ตอบได้ไม่ดีนัก หวังทงจึงไม่ได้ถามลึกต่อ
***************
“พวกเจ้าเห็นอย่างไร?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ท่าทางสบายๆ วางฎีกาลงบนโต๊ะ ตรัสถามบรรดาขุนนางในห้อง ฎีกาหวังทงเดือนหกส่งมาถึงเมืองหลวง ว่าระบบกองกำลังหู่เวยแต่ละกองตอนนั้นรับปากเป็นทหารสิบปี ขุนพลทหารยังดี แต่ทหารเก่าและชราตอนนี้ควรให้พวกเขาตั้งรกรากสร้างครอบครัว ขวัญทหารระส่ำไม่ใช่เรื่องดี ทหารพวกนี้ปลดไปใช่ว่าเรียกระดมไม่ได้ ในเวลาวิกฤตต้องการกำลังรบก็ใช้ได้ ให้พวกเขาปลดระวางแล้วก็ไม่ต้องจ่ายเบี้ยเสบียง เรียกรับทหารใหม่มาแทน ในภาพรวมแล้ว เป็นการขยายกองกำลังหู่เวย
ตอนนี้ฎีกาหวังทงเช่นนี้ ไม่ว่าจากมุมมองใดก็ล้วนมาจากใจที่เป็นธรรม ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงทำเหมือนเป็นฎีกาปกติ
“เหลียวกั๋วกงคิดเช่นนี้ก็เพราะภักดีแผ่นดิน แต่ทว่าทหารปลดประจำการให้ไปประจำท่าการค้าแผ่นดินหมิงให้มากที่สุด อันนี้กระหม่อมไม่ค่อยเข้าใจ”
สวี่กั๋วราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่ไตร่ตรองกราบทูลขึ้น ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ล้วนสามารถคุมสถานการณ์ทุกอย่างไว้ได้แล้ว มหาอำมาตย์เซินสือหังคณะเสนาบดีใหญ่ก็ยิ่งเงียบ ในการประชุมขุนนางแทบไม่กล่าวอันใด ฮ่องเต้ว่านลี่บางครั้งยังทรงสงสัยว่าเขาลืมตาแอบหลับหรือเปล่า ยังให้เจ้าจินเลี่ยงลองทดสอบสองครั้ง แน่นอนไม่ใช่
เสนาบดีหกกรมไม่ก็เป็นคนเคยถูกหวังทงจัดการ ไม่ก็เป็นคนใหม่ ในราชสำนักเป็นพวกไร้แรงกำลัง ก็มีแต่หวังซีเจวี๋ยกับสวี่กั๋ว หนึ่งขุนนางมีความชอบ อีกหนึ่งไม่เคยกระทำความผิดอันใด ก็มีหน้าพอจะกล่าวเสนอความเห็นได้
“ฝ่าบาท เหลียวกั๋วกงเคยกล่าวกับกระหม่อม ทหารเก่าผ่านสมรภูมิรบมา เป็นสมบัติฝ่าบาท และยังเป็นความยุ่งยากฝ่าบาท กล่าวว่าเป็นสมบัติ ก็เพราะพวกเขาออกรบมานาน แม้เป็นราษฎรก็จะสามารถเรียกใช้ยามสงครามได้ แต่คนพวกนี้ก็ยุ่งยาก พวกเขารู้จักการต่อสู้ อยู่ค่ายทหารมานานก็ย่อมมีความโอ้อวด กลายเป็นราษฎรก็ใช่ว่าจะปรับตัวได้ หลีกเลี่ยงความยุ่งยากไม่ได้ หากมีเรื่องขึ้นมา เจ้าหน้าที่ท้องที่เกรงว่าเอาไม่อยู่ ดังนั้นต้องให้พวกเขาไปอยู่โรงบ้านนอกกำแพงเมืองพื้นที่เพาะปลูกพวกนั้น ที่นั่นชาวบ้านโหดร้ายป่าเถื่อน พวกเขาไปเป็นกำลังผู้คุ้มกัน ก็เหมือนขุนนางบู๊ทำงาน เป็นการเพิ่มกำลังให้ชายแดนได้อีก อีกเรื่อง ที่เปิดท่าการค้าจัดการเสร็จ ร่ำรวยใต้หล้า คนมีสถานะมาก งานก็มาก พื้นที่ใช้งานพวกเขาก็มาก ย่อมหาที่ให้ตั้งรกรากได้ดี”
เทียบกับความระแวงง่ายๆ ของสวี่กั๋วแล้ว หวังซีเจวี๋ยกล่าวเนิบนาบมาได้มีแรงจูงใจมากกว่า ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ หันไปตรัสว่า
“เดี๋ยวก็อนุมัติไป เป็นราชโองการออกไป”
เถียนอี้รีบรับคำ ฮ่องเต้ว่านลี่เก็บม้วนเอกสารตรัสถามขึ้น
“หลายวันนี้เราได้ยินคนคุยเรื่องผลประโยชน์ทะเลใต้ ว่าที่นั่นมีถ้ำเป็นเงินเป็นทองเป็นเหล็ก ล้วนอุดม ยังมีสินค้าหลากหลาย ที่ดินอุดมสมบูรณ์ เรื่องนี้?”
พอได้ยิน ขุนนางใหญ่คณะเสนาบดีใหญ่ หกกรมกองและสำนักตรวจสอบพากันเคร่งเครียดทันที ตั้งแต่สมัยอดีตฮ่องเต้มา เรื่องทะเลใต้ก็เป็นเรื่องต้องห้าม ไม่ใช่อะไร เป็นการทำให้ราษฎรลำบากและเสียเงินทอง
“ฝ่าบาท ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล ก็แค่ชาวบ้านไร้ความรู้คิดกันไปเอง ตอนนั้นขันทีเจิ้งเหอออกทะเล นอกจากเครื่องเทศแล้ว เคยนำอะไรกลับมาบ้างกัน เห็นได้ว่าเรื่องร่ำรวยนี้เป็นความเท็จ จะว่าไปแผ่นดินหมิงเป็นดินแดนสวรรค์ สรรพสิ่งล้วนมี ไม่มีอันใดขาด ฝ่าบาทประสงค์สิ่งใด แผ่นดินหมิงล้วนมีครบ ไยต้องรอนแรมออกทะเลไปหาให้ไกลเพียงนั้นด้วยกัน?”
พูดถึงเรื่องนี้ เสนาบดีกรมพิธีการที่เงียบมาตลอดก็ออกมากราบทูล วาจาหนักแน่น มองไปยังสีหน้าขุนนางใหญ่ทั้งหลาย ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รู้ว่าจากนี้พวกเขาจะกล่าวอันใด เดิมทีกำลังอารมณ์ดี พริบตาก็เบื่อ ตรัสว่า
“ถกเรื่องถัดไปละกัน!”
“ฝ่าบาท วันก่อนเผ่าฉาฮาเอ่อร์ส่งองค์ชายมาร้องไห้ยังเมืองหลวงฟ้องว่า พวกโจรปล้นชิง ไม่มีความชั่วใดไม่กระทำ…”
******************
การประชุมราชสำนักจบลง จากนั้นตามธรรมเนียมก็จะเตรียมเกี้ยวแบกฮ่องเต้ว่านลี่ตำหนักเฉียนชิงกงตามปกติ แต่ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่หลายครั้งประสงค์จะเสด็จกลับด้วยพระองค์เอง นับเป็นการออกกำลังกายขา
ทรงเดินไป พวกเถียนอี้กับโจวอี้แน่นอนย่อมต้องเดินตาม ดีที่ตอนนี้พวกสำนักส่วนพระองค์อายุมากสุดก็แค่ 40 กว่า เดินไหวอยู่
ฮ่องเต้ว่านลี่ตอนเดินเห็นได้ชัดว่าเหม่อคิดอันใดอยู่ ทุกคนรู้สึกน่าแปลก หลายคนในสำนักส่วนพระองค์เหมือนหวนคิดถึงเรื่องในการประชุมขุนนางที่วิพากษ์วิจารณ์กันเมื่อครู่ ฎีกาพวกนั้นเหมือนว่าไม่มีเรื่องใหญ่ใดให้น่าคิดเหม่อลอยได้เช่นนี้ คิดแล้วคิดอีก เดินตามเงียบๆ ได้ยินเสียงกระแอมไอ ทุกคนได้สติ เป็นเสียงฮ่องเต้ว่านลี่ ขันทีมองมากันทันที
“โจวอี้มานี่!”
โจวอี้รีบเข้าไปใกล้ คนอื่นๆ ล้วนถอยออกไปหลายก้าว เถียนอี้หรี่ตามองแล้วก็เดินห่างออกไปสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ฎีกาว่าสตรีชาวพื้นเมืองผิวแม้ไม่ชาว แต่ก็ลื่นราวผ้าแพรไหม ร่างอ่อนราวไร้กระดูก มีความเป็นต่างเผ่าพันธุ์ไม่เหมือนเรา นี่เป็นเรื่องจริงหรือเท็จกัน?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ท่าทางจริงจัง แต่ทว่าถามแล้วก็ทำให้โจวอี้อึ้งไปทันที โจวอี้ปฏิกิริยาก็ไว สีหน้าเคร่งเครียด ทูลตอบเบาๆ ว่า
“…เรื่องนี้กระหม่อมเองก็ไม่ทราบ ว่ากันว่าเฉินซือเป่าแห่งกองกำลังวังหลวงเรามีสตรีซื้อมาจากทะเลใต้สองนาง เก็บซ่อนไว้ในจวน เรื่องนี้… ล้วนข่าวลือมา กระหม่อมไม่ทราบแน่ชัด”
เขาเป็นขันที ไม่อาจกล่าวเรื่องพวกนี้จริงๆ แต่ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่กระแอมไอดังอีก ตรัสว่า
“เจ้าเขียนจดหมายไปบอกหวังทง ให้เขาไปหามาให้เราสักสองสามนาง จำให้ดีเป็นความลับ อย่าให้พวกบัณฑิตอะไรนั่นรู้กันเด็ดขาด”
“ขอฝ่าบาทวางใจ กระหม่อมจะรีบไปดำเนินการ”
สามารถได้ปฏิบัติงานส่วนพระองค์ฮ่องเต้ว่านลี่ แน่นอนเป็นการแสดงถึงทรงไว้วางพระทัย โจวอี้ย่อมแสดงท่าทีแข็งขันตนเองออกมา
ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ทรงรักใคร่กับฮองเฮาเจิ้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ชอบเรื่องสนุกของเล่น รายงานจากเทียนจินมีรายการของหลายอย่างวางอยู่ในห้องเป็นการแสดงให้เห็น สำนักอาชาหลวงกับสำนักเครื่องใช้ในวังตอนนี้ล้วนมีคนรับหน้าที่เฉพาะในการรวบรวมของพวกนี้
โจวอี้ยังรู้ว่า ว่ากันว่ามีคนไปประเทศวัวซื้อหาสตรี ยังมีพวกต่างชาติตะวันตกเตรียมนำสตรีชาวผิวขาวมาด้วย ประเทศวัวยังดี แต่สตรีชาวผิวขาวอย่างไรก็ต้องปีหนึ่ง ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดความวุ่นวายใดบ้าง ฮองเฮาเจิ้งน่าจะรู้เรื่องพวกนี้ แต่ทว่าอยู่ในวังวิธีการที่ฉลาดก็คือแสร้งทำเป็นไม่รู้
แต่ก็น่าแปลก เทียนจินอยู่ๆ มีพ่อค้าทะเลเริ่มคุยถึงผลประโยชน์ทะเลใต้ ยังมีบัณฑิตสอดรู้เขียนบทความอีก บรรยายสภาพที่นั่น
เรื่องอื่นไม่พูดถึง โจวอี้คิดได้เรื่องหนึ่ง คนเขียนบทความจะต้องเป็นพวกไร้ศีลธรรมจรรยา บทความเช่นนี้ มองแล้วก็รู้ว่าเป็นดังนิยายน้ำเน่า ยังไม่รู้จักละอาย ทั้งวันสตรีไม่สวมเสื้อผ้า จะว่าไป ไม่สวมเสื้อผ้า ผิวพรรณจะลื่นราวแพรไหมได้อย่างไร ย่อมต้องหยาบกระด้างมาก
แต่ของพวกนี้กลับเป็นที่ถูกปากบรรดาผู้มากอำนาจวาสนาเมืองหลวงและเทียนจิน ภาษาเขียนหยาบๆ บทความชั้นต่ำ ถึงกับขายได้ดีไม่เลวในเมืองหลวง ยังมีร้านจัดพิมพ์เรื่องพวกนี้โดยเฉพาะ ช่างเป็นเรื่องน่าแปลกจริง ไร้คุณธรรมสิ้นดี
โจวอี้อยู่ๆ คิดได้ หรือว่าเป็นหวังทงอยู่เบื้องหลังกัน แต่ทว่าตนเองก็ปัดความคิดนี้ทิ้งอย่างรวดเร็ว เรื่องเช่นนี้ไม่มีผลประโยชน์ใด หวังทงทำทำไม่กัน เพียงแต่ครั้งนี้คงต้องทำให้เขายุ่งยากแล้ว ไปทะเลใต้หาซื้อสตรี และยังเป็นเรื่องฮ่องเต้ให้กั๋วกงไปทำ ช่างเป็นเรื่องเหลวไหลน่าขันสิ้นดี