องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1045 ท่าเรือถูกเผาโชติช่วง
ตอนที่ 1045 ท่าเรือถูกเผาโชติช่วง
โดย
Ink Stone_Fantasy
คน ‘โปรตุเกส’ มีกำลังเช่นนี้บนท้องทะเลเมื่อไรกัน เรือรบเช่นนี้ กองเรือรบทางทะเลเช่นนี้ บนท้องทะเลเอเชียไม่มีผู้ใดมีกัน
พวกคนสเปนบนฐานที่มั่นที่อ่าวมะนิลาเห็นภาพบนท้องทะเลแล้ว ก็พากันกังวลใจ ปืนใหญ่บนฝั่งไม่อาจยิงโดนเรือรบ ปืนใหญ่เรือรบกลับยิงโดนฐานที่มั่น ระยะใกล้ไกลเทียบกันแล้ว ทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกกดดัน
แต่ทว่า ฐานที่มั่นเมืองท่าสร้างไว้แน่นหนาเพียงพอ เรื่องนี้ก็พอทำให้ทุกคนวางใจ ปืนใหญ่อีกฝ่ายยิงมารวมกันสามรอบ สองรอยยิงโดนกำแพงป้อมปืนใหญ่ แต่ก็สร้างแค่ความเสียหายเล็กน้อย ทำให้กำแพงหินเป็นรูเล็กๆ เท่านั้น ไม่ได้ทำให้โครงสร้างเสียหายแต่อย่างใด
ความจริงนั้นสร้างความเสียหายมากก็ไม่เป็นไร ขอเพียงปืนใหญ่ยังอยู่ ก็สามารถยิงต่อได้อย่างไม่มีปัญหาใด หากคิดจะโจมตีป้อมปืนใหญ่ให้เด็ดขาด เรือรบก็ต้องเข้าใกล้ยิ่งมาก ตอนนั้นก็ย่อมอยู่ในรัศมียิงปืนใหญ่บนป้อม หากเรือถูกปืนใหญ่ยิงโดน ก็ย่อมเสี่ยงจะจม
เทียบกันแล้ว พวกคนสเปนจึงยังคงมีความมั่นใจ แต่ทว่าการต่อสู้ย่อมยืดเยื้อนาน เพราะอีกฝ่ายเรือรบใหญ่น้อยขนน้ำดื่มและอาหารมามากเพียงพอ ในเวลาสำคัญ ลูซอนไปยังประเทศต่างๆ ในทะเลใต้ก็ไม่ไกล อีกฝ่ายเรือมากพอ เสบียงอาหารย่อมมีพอ ถึงกับเกาะอื่นบนลูซอนก็ยังเสริมเสบียงมาให้ได้
หากสามารถส่งเรือออกไปได้ทันเวลา แน่นอนกลับประเทศแม่ย่อมไม่ได้ แต่สามารถไปยังเส้นทางเรือที่กำหนดไว้เพื่อขอให้เรือการค้าติดอาวุธประเทศตนมาช่วยได้ เช่นนี้ก็มีโอกาสพลิกผัน
ยามนี้เป็นฤดูอากาศเหมาะแก่การออกทะเล พวกไปมากับทวีปอเมริกา ทวีปเอเชียกับยุโรปก็ไม่น้อย สามารถรวมกำลังเรือมาได้มากเพียงพอ พวกเรือรบด้านนอกย่อมต้องถอยหนี และยังอาจเป็นไปได้ว่า จะมีเรือกลับไปรายงานข่าวยังประเทศแม่ จากนั้นสงครามสเปนกับโปรตุเกสก็จะเกิดขึ้น แม้ตอนนี้สองชาติรวมกำลังกัน แต่ทุกคนล้วนรู้ว่าเรื่องราวแท้จริงเป็นเช่นไร
สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ อีกฝ่ายก็ย่อมไม่สนใจอันใดโจมตีเต็มที่ การป้องกันอาณานิคมลูซอนตอนนี้มีความหวังไม่มาก แต่ตามที่เคยทำมา เช่นว่า ‘ยอมจำนนมีเกียรติ’ นำสมบัติและอาวุธจากไป ก็ไม่เลว ตอนนี้ทุกคนล้วนมีเงินมีทองกันมาก กลับสเปนไปเสวยสุข ก็ดีกว่ามาอยู่ที่รกร้างเช่นนี้
ตอนนี้เรือในท่าล้วนหนีไม่พ้น เรือรบอีกฝ่ายปิดทางไว้แน่นหนา แต่คงไม่เป็นเช่นนี้ตลอดเวลา ปืนใหญ่ก็มิได้ยิงกระทบกับเรือในเมืองท่า สามารถหาโอกาสหนีได้
มีความคิดนี้ใช่ว่าจะละเลยการป้องกันฐานที่มั่น เปาโล ลูอิสแบ่งทหารในฐานที่มั่นออกเป็นสามกอง ลาดตระเวนตลอดคืน ต้องไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสลงมือได้
วันแรกที่เรือรบปรากฏ ฐานที่มั่นเคร่งเครียดกันมาก แม้เรือรบบนท้องทะเลจะหยุดยิงแล้ว แต่ทหารรักษาการณ์บนฐานที่มั่นก็ไม่กล้าประมาทแม้เพียงนิด
มีคนไปดูกระสุนปืนใหญ่ นี่ย่อมเป็นเรือปืนใหญ่กระสุน 18 ชั่ง สามารถสร้างปืนใหญ่กับกระสุนปืนใหญ่เช่นนี้ได้ ย่อมเป็นเรือรบจากยุโรป สำหรับเรือกวางตุ้งที่ตามมานั้น ย่อมเป็นโจรสลัดชาวฮั่นที่ตามมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
ฟ้ามืดแล้ว พระจันทร์แสงไม่เลว ยังมองเห็นไฟตะเกียงบนเรืออีกฝ่าย ก็สามารถวิเคราะห์เรือรบอีกฝ่ายได้ว่าเข้าใกล้หรือไม่
แม้เช่นนี้ ทหารฐานที่มั่นก็ยังเคร่งเครียดมาก หากบนท้องทะเลมีอันผิดปกติเล็กน้อย ไม่ว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวหรือไม่ ก็ทำให้พวกเขาตะโกนพากันยิงปืนใหญ่ตน ยิงโดนไม่โดนอีกเรื่อง แต่ก็ต้องสำแดงให้กลัวไว้ก่อน
ดีที่พวกคนสเปนมีสะสมกระสุนไว้ที่มะนิลามากเพียงพอ ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจสิ้นเปลืองเช่นนี้ได้
กลางคืนดึกดื่น เรือปืนใหญ่บนท้องทะเลยังคงนิ่ง ป้อมปืนใหญ่ที่เคร่งเครียดก็เริ่มผ่อนคลาย มีคนยังแอบสบถด่ากันว่าลมเปลี่ยนทิศน่าตายจริง เพราะลมวันนี้พัดเข้าหาท่าเรือ ทำให้ทหารป้องกันยุ่งยาก
อยู่ ๆ มีคนตะโกนขึ้นว่า
“ดูบนท้องทะเล ดูบนท้องทะเล…”
ความง่วงพลันมหลายหายไปสิ้น มีคนรีบวิ่งไปที่สูงชะเง้อมองไป มีคนไปยังปืนใหญ่เตรียมยิง เรือรบที่จอดทั้งคืนเริ่มเคลื่อนไหวมาทางเมืองท่า
ความอลหม่านบนฐานที่มั่น หรือว่าอีกฝ่ายคิดโจมตีกลางดึก มืดเช่นนี้ ทำให้เกิดอะไรก็ได้ เรืออาจถึงกับชนกับหินโสโครกก็ได้
แต่การเคลื่อนไหวตะเกียงนั้นดูออกมาว่าอีกฝ่ายแค่เคลื่อนไหว เคลื่อนเข้ามาใกล้และเริ่มเปลี่ยนทิศ ที่เหลือมองไม่ชัดแล้ว
“ยิงปืนใหญ่ไปก่อน! ปืนใหญ่สกัดไว้ !! แสดงให้เห็นว่าป้อมปืนใหญ่ยังอยู่!!”
มีนายทหารตะโกนดัง เสียงตูมดัง ปืนใหญ่บนฝั่งเริ่มยิงแล้ว เรือปืนใหญ่เองก็ยิงแล้ว ไกลออกไปได้ยิงเสียงตูมดัง คนบนฐานที่มั่นป้อมปืนใหญ่พากันหาที่หลบจ้าละหวั่น กระสุนปืนใหญ่อย่างไรก็กระสุนปืนใหญ่ ยิงโดนหินหรืออิฐก็ย่อมสร้างอานุภาพสังหารคนได้
ยังยิงกันไม่หยุด มีคนยิงโดนป้อมปืนใหญ่ บ้างก็ตกลงกลางฐานที่มั่น นอกจากสองคนที่หลบไม่ทัน บาดเจ็บเล็กน้อย ที่เหลือก็ไม่ได้เป็นไรมาก แต่ในเวลาสั้นๆ ปืนใหญ่บนฝั่งถูกสกัดไว้หมดแล้ว
คนฐานที่มั่นเองก็รู้ ปืนใหญ่หนักเช่นนี้ยิงโจมตี เวลาบรรจุกระสุนย่อมนาน เรือรบน้ำหนักราวห้าร้อยตันแล้ว ถึงกับต้องใช้เวลาสักพักในการทำให้นิ่งได้ ทางนั้นยิงมาเสร็จ ก็รีบลุกขึ้น เตรียมยิงโต้
บนท้องทะเลเห็นเพียงแสงคลื่นกระทบแสงจันทร์ ยังมีแสงตะเกียงจากเรือที่ลอยกระจัดกระจาย ตอนพวกเขาเตรียมจะยิงปืนใหญ่โต้กลับ อยู่ๆ บนท้องทะเลก็มีแสงยิ่งมากขึ้นสว่างขึ้น คนบนฐานที่มั่นพากันมองตาค้าง เห็นแสงไฟ ก็รู้ว่าเรือได้เริ่มใกล้เทียบท่าแล้ว
มองระดับความสูงของแสงไฟ ไม่ใช่ไฟจากเรือใหญ่ ในที่สุดก็มีคนได้สติ ตะโกนดังว่า
“ยิงปืนใหญ่ ยิงปืนใหญ่!!”
คนบนฐานที่มั่นล้วนราวกับตื่นจากฝัน เริ่มเตรียมกันสาละวน ยามนี้แสงบนท้องทะเลไม่น้อยกว่า 200 แม้เห็นว่าหนาแน่น แต่ก็ไม่อาจสู้ปืนใหญ่ยิงไปทีเดียวได้
แสงไฟอยู่ ๆ สว่างวาบ คนบนฐานที่มั่นแม้ว่าอยู่ระยะไกลออกไปก็เห็นชัด เป็นเปลวไฟ มีคนร้องโหยหวนขึ้นมา
“เผาเรือ เผาเรือ!!”
กระสุนปืนใหญ่ยิงกระจัดกระจาย บนท้องทะเลเกิดคลื่น ลมเปลี่ยนทิศ กระสุนปืนใหญ่ยิงโดนเรือย่อมซ่อมง่ายมาก นอกจากโชคร้ายยิงโดนที่สำคัญ การรบบนท้องทะเลยามนี้ที่ร้ายกาจที่สุดก็คือวางเพลิงเผาเรือ เรือขนาดกลางลำหนึ่งกองเชื้อเพลิงไว้เต็ม ให้เข้าใกล้เรืออีกฝ่ายแล้วจุดไฟ ใช้โซ่และตะปูเหล็กร้อยเรืออีกฝ่ายไว้ด้วยกัน เรือทำจากไม้ พอจุดไฟ ก็ย่อมเผาทำลายสิ้น
แต่ทว่าเรือวางเพลิงไม่อาจมีการป้องกัน และไม่อาจมีคนบังคับ คิดจะหลบก็ง่ายมาก แต่เรือเมืองท่ายามนี้ก็ไม่มีคนเช่นกัน เพื่อหลบปืนใหญ่ยิงก็ได้เข้าไปหลบในท่ากันหมดแล้ว เช่นนั้นไม่ว่าเรือรบตนเองหรือเรือการค้า ล้วนได้แต่ถูกวางเพลิงหมดสิ้นแล้ว
ปืนใหญ่ฐานที่มั่นยิงมาครั้งที่สอง เปลี่ยนมุมยิงแล้ว แต่ก็ไม่ได้แม่นยำอันใด หลังปืนใหญ่ยิงสิบกว่ากระบอก ก็มีแค่สามนัดที่ยิงโดนเป้าหมาย เห็นลูกไฟลุกรอบสี่ทิศ เรือยังคงแล่นขึ้นหน้ามา
ระลอกสองของปืนใหญ่ยิงมาก็เริ่มหมดลง เรือปืนใหญ่ถูกยิงสกัดไว้ ทหารออกคำสั่งพลปืนใหญ่อย่าใจร้อนยิงปืนใหญ่ สถานการณ์เช่นนี้ ยิงไปก็เปลืองกระสุน ไม่มีประโยชน์แล้ว
แต่คนฐานที่มั่นเริ่มทนไม่ไหวแล้ว กว่าจะรอนแรมข้ามทะเลมาได้ไม่ง่าย บนทะเลประเทศตะวันออกเฉียงใต้นี้ยังเคยต่อสู้กับโจรสลัด มาถึงท่าที่ลูซอนคิดว่าปลอดภัยแล้ว แต่จุดจบที่เรือและสินค้าถูกเผานี้ยากรับไหว ไม่มีคนคิดว่าจะมีคนมาปิดท่า ยิ่งไม่มีคนคิดว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีการวางเพลิงเรือ
พวกเจ้าของเรือที่พากันกวาดกลัวเริ่มร้อนใจแล้ว วิ่งกันออกมาจากห้องพัก ถึงกับสลัดพ้นการสกัดกั้นของทหาร ถึงกับบุกขึ้นไปยังป้อมปืนใหญ่ ป้อมปืนใหญ่เช่นนี้ไม่อาจให้พวกเขาขึ้นไปได้ ขุนพลทหารพากันโมโหหนักมาก ถึงกับลงมือทำร้าย
พ่อค้าบนป้อมปืนใหญ่เห็นเพลิงเผาท่าเรือ เรือเผาไหม้ลอยมาไม่น้อย เข้าประชิดเรือการค้าที่จอดเทียบท่าอยู่
เรือการค้าค่อยๆ ติดไฟ เปลวไฟยิ่งรุนแรง เรือปืนใหญ่บนท้องทะเลหยุดยิงแล้ว คนบนป้อมปืนใหญ่ก็เงียบกริบ ได้ยินเสียงแตกดังเปรี๊ยะของเรือดังชัดเจน เสียงเผาไหม้ดังไม่หยุด มีเรือที่มีดินปืนระเบิดดัง แต่ทว่าก็เป็นแค่การเติมเปลวไฟบนท้องทะเลให้ลุกโชนยิ่งขึ้นก็เท่านั้น
สีหน้าลูกเรือล้วนสิ้นหวัง หัวหน้าเรือก็ร้องไห้คร่ำครวญ แม้แต่ทหารป้อมปืนใหญ่ก็เงียบกริบ ในใจพวกเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร สถานการณ์ตอนนี้ อ่าวมะนิลาสิ้นแล้ว พวกเขาอาจรักษาไว้ได้ แต่บนท้องทะเลย่อมไม่มีความช่วยเหลือและสินค้าใดมาอีก
“ผู้บัญชาการเรือหู พรุ่งนี้ส่งคนไปเก็บกวาดท่าเรือทางใต้ละกัน!”
“อย่าเรียกข้าว่าผู้บัญชาการหู เรียกว่าผู้บัญชาการเรือหูอัน”
บนดาดฟ้าเรือกวางบิน หูอันกับทังซานมองเปลวไฟที่ไกลออกไป สองคนคุยกันผ่อนคลาย หูอันมักจะเน้นย้ำว่าให้เรียกตนเองว่า หูอัน แต่ทว่าทุกคนล้วนชินกับการเรียกแซ่ ทำให้เป็นเรื่องขำขันกัน
ท่าเรือทางใต้ไม่มีป้อมปืนใหญ่ป้องกัน เรือหากแล่นวนรอบ ก็สามารถหลบการยิงของปืนใหญ่ฐานที่มั่นเข้ามาทางท่าเรือทางใต้ได้ ตอนนี้เท่ากับว่าอีกฝ่ายขอความช่วยเหลือภายนอกก็หมดหวังแล้ว ไม่มีเรือ อีกฝ่ายก็ทำอันใดไม่ได้แล้ว
สองคิดหัวเราะกันจบ ก็จับเวรยามก่อนเข้านอน ในความมืดมิด ไม่อาจทำอะไรได้ ทังซานเดินลงจากดาดฟ้าเรือ กล่าวกับทหารเบื้องหน้าคนหนึ่งว่า
“ไปสักรอบ ไปบอกกับคนเรือทุกลำว่า วันนี้เผาเรือไปหมดแล้ว พรุ่งนี้จะชดใช้ให้ กั๋วกงเราทำอะไรไม่เอาเปรียบใคร!”
ทหารรับคำสั่ง รีบวิ่งออกไป ตอนนี้ในกองเรือไม่ใช่ว่านำเรือมามากมายเพื่อให้มาวางเพลิง แต่ละคนนำเรือเล็กออกมาบรรทุกคน แม้แต่เชื้อเพลิงเผาก็ยังระดมมาจากเรือแต่ละลำ
รู้จักการณ์ใหญ่เช่นนี้แน่นอนย่อมต้องได้ชดเชย หวังทงไม่เสียดายเงินทอง ทังซานแน่นอนได้ใจคนเหล่านี้ไป
****************
“ป้องกันสี่เดือน ขอเพียงป้องกันไว้ได้สี่เดือน ที่อื่นรู้ข่าวนี้ พวกเขาก็ไม่อาจปิดเมืองท่าเราได้นาน”
เปาโล ลูอิสคำรามดังเหมือนกำลังให้กำลังใจทหารตน แต่ได้ยินวาจาเขาเหล่านี้แล้ว ไม่มีใครรู้สึกฮึกเหิม เรือถูกเผาไปหมดแล้ว ข้าวของอาหารแม้ยังมากอยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะยืนหยัดไปได้นานนัก และอีกสองเดือนจากนี้ อากาศก็จะร้อนแล้ว หากถูกปิดล้อมอยู่ที่นี่ เกรงว่าอาหารคงเน่าเสียหมด โรคระบาดก็คงเกิดขึ้น
“ศัตรูอยู่แค่บนท้องทะเล พวกเรายังมีดินแดนกว้างใหญ่ มีชาวพื้นเมืองเลี้ยงดูพวกเราได้!”
เปาโล ลูอิส แน่นอนเห็นว่าคนเบื้องหน้าคิดอันใดอยู่ เขาตะโกนดัง ให้คนเบื้องหน้ามีความกล้าขึ้น แต่เขาเองกลับเริ่มรู้สึกหวาดหวั่น เพราะทหารกลุ่มของอารีนัสที่ส่งออกไป ยังคงไร้ข่าวคราว
“พี่น้องเรา ขอเพียงรอเรือจากประเทศเรามาถึง พวกเราก็ปลอดภัยแล้ว พวกเราก็จะได้กลับมาตุภูมิเสวยสุขเงินทองและสตรีที่เราหามา ขอเพียงพวกเรายืนหยัดต่อ!!”
คงได้แต่กล่าวว่าผู้เป็นกงศุลใหญ่ย่อมมีความสามารถล่อลวงใจผู้คน พอเขากล่าวเช่นนี้ คนสเปนที่มารวมตัวกันในห้องก็เริ่มมีกำลังใจ ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงระฆังบนหอระฆังตีอย่างเร่งเร้า เดิมทีพวกสเปนลูซอนก็นั่งกันอยู่รอบโต๊ะเหลี่ยม แต่พอได้ยินก็พากันแตกตื่นตกใจยืนขึ้นหมด
เปาโล ลูอิสถูกรบกวนจนโมโหมาก คำรามดังไม่หยุด
“ไปบอกให้ทหารพวกนั้นหยุดได้แล้ว อ่าวทางใต้ก็ปล่อยไปได้แล้ว เราตอนนี้เก็บตัว เก็บตัว!”
ทหารด้านนอกรีบรับคำสั่งวิ่งออกไป เปาโล ลูอิสด่าอย่างเคียดแค้นว่า
“พวกบ้านนอกสมควรตายพวกนี้ เจอเรื่องนิดหน่อยก็แตกตื่นเช่นนี้ไปได้”
ทุกคนในห้องล้วนมีสีหน้าไม่เห็นด้วย แต่ตอนนี้ต้องการให้เปาโล ลูอิสสั่งการหลัก ทุกคนจึงไม่อาจกล่าวอันใด
เพิ่งสั่งการไป ก็มีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมาจากด้านนอก เปาโล ลูอิสโมโหมาก ตวาดดังขึ้นว่า
“อย่าแตกตื่น…”
วาจาตะโกนไม่ทันจบ ทหารที่ออกไปถ่ายทอดคำสั่งก็วิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามา กล่าวติดอ่างว่า
“…ในแผ่นดิน ทิศทางในแผ่นดินก็มีศัตรู…”
พวกคนสเปนพูดถึงทิศทางก็ด้วยอาศัยเมืองท่าฐานที่มั่นเป็นแกนกลาง ที่เรียกว่าในแผ่นดิน ก็คือเมืองที่มีคนหลายหมื่นอยู่ล้อมรอบเมืองท่า ตอนนี้รอบนอกพวกคนสเปนเป็นที่อยู่ของชาวฮั่น ดังนั้นที่ที่ว่าตอนนี้ก็มีแต่ชาวพื้นเมืองแล้ว ชาวฮั่นที่มาใหม่อยู่รอบนอก
ได้ยินเช่นนี้ เปาโล ลูอิสก็ไม่อาจรักษากิริยาได้อีก เขาก้าวเข้าไปกระชากทหารยามคนนั้น ตวัดคอเสื้อเข้ามาใกล้คำรามดังว่า
“ในแผ่นดินอะไร ศัตรูอะไรกัน!!?”
“ท่าน…ท่านกงศุล ในแผ่นดิน ทางเหนือ มีศัตรูกลุ่มใหญ่ ชาวพื้นเมืองกำลังวิ่งหนีมา”
คนในห้องล้วนยืนขึ้น ทุกคนมีสีหน้าซีดเผือด เมื่อครู่ยังบอกว่าอาศัยกำลังบนแผ่นดินยืนหยัดได้ แต่ตอนนี้เป็นพื้นที่หลักถูกโจมตีแล้ว
ทุกคนหันมามองเป็นจุดเดียว ทำเอาเปาโล ลูอิสอึ้งไปนานก่อนได้สติ เตะทหารที่ขาดสติผู้นี้ล้มกับพื้น ตะโกนโบกไม้โบกมือ
“พวกเจ้ายังรออะไรอีก ปิดประตูใหญ่สิ อย่าให้ชาวพื้นเมืองเข้ามาแม้แต่คนเดียว!!”