องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1058 จางเฉิง
เป็นกองเรือปะทะโจรสลัดจริง แต่ทว่าพวกลูกเรือและเจ้าของเรือในเครือข่ายสามธาราส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกโจรสลัดมาก่อน เรื่องใดบนท้องทะเลล้วนเข้าใจมาก
โจรสลัดเข้าใกล้ปลอมตัวเป็นคนอื่น แต่ทุกคนล้วนตาแหลมคมราวเนตรเพลิงเทพเห้งเจีย จะถูกหลอกได้อย่างไร ตอนนั้นจึงได้ลากปืนใหญ่ออกมาเตรียมลงมือ
เห็นการป้องกันแน่นหนา อีกฝ่ายไม่กล้าเข้าปะทะ สองฝ่ายเท่ากับแล่นสวนกันบนท้องทะเลไป ต่างจ้องมองกันจากริมเรือ ทุกคนล้วนอยู่บนท้องทะเลกันมานาน คนเสิ่นหวั่งอยู่เทียนจินทำการค้านานปี สองฝ่ายอย่างไรก็พอรู้จักกัน ถูกคนจำได้ว่าเป็นเรือของเสิ่นหวั่ง
เสิ่นหวั่งจากเทียนจินไป แม้ไม่ได้ประกาศ แต่บนท้องทะเลที่ควรรู้ก็ย่อมล้วนรู้ ทุกคนเดิมระมัดระวังกันอยู่แล้ว เห็นเช่นนี้จะไม่เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรได้อย่างไรกัน
จางซื่อเฉียงกับซุนต้าไห่เคร่งเครียดกันทันที หนึ่งส่งคนไปแจ้งกองเรือที่ต่าง ๆ สองรีบม้าเร็วมาแจ้งหวังทง บนท้องทะเลไม่สงบ ร้านประกันภัยต้องเตรียมเงินให้มากพอ ไม่เช่นนั้นหากต้องชดใช้ให้จริง รับมือไม่ทันจะกระทบความน่าเชื่อถือได้
“เสิ่นหวั่งให้หน้ากลับไม่รับจริงๆ!”
หวังทงอดไม่ได้แค่นยิ้มเสียงเย็นกล่าวขึ้นเช่นนี้ในจวน ไม่ว่าอย่างไรใจคิดร้ายก็ไม่เปลี่ยน หากเป็นเมื่อก่อนยังพอทนได้ แต่ตอนนี้เครือข่ายหวังทงบนท้องทะเลล้วนมุ่งไปสู่ทะเลใต้ ไม่อาจมีกำลังพอมารับมือเขา ความสงบชั่วคราวอย่างไรก็ต้องรักษาไว้
“ตอนนี้ไปตามทังซานมา ให้เขานำวาจาไปบอกเสิ่นหวั่ง ข้ากล่าวเช่นนี้ หากบนท้องทะเลไม่ว่าเรือข้าหรือเรือแขวนธงร้านประกันภัยถูกเสิ่นหวั่งแตะต้องแม้เพียงลำเดียว การค้าใดข้าก็ไม่ทำแล้ว จะรวมกำลังบรรดาเจ้าทะเลทำลายเจ้าให้ราบคาบก่อน หากไม่กลัว ก็ลองดู”
วาจาเป็นคำเตือน เป็นคำเตือนสุดท้าย หวังทงปล่อยวาจาออกไป อย่างไรก็ต้องลองดูว่าเสิ่นหวั่งจะคิดผลได้ผลเสียได้หรือไม่ ต่อหน้าหวังทงผู้ได้เปรียบทุกอย่างบนท้องทะเลนี้ ได้หรือเสียย่อมวิเคราะห์ไม่ยาก
ทังซานแม้ว่ามีตำแหน่งขุนนางทางการ แต่สถานะไม่เหมือนกัน มีสายสัมพันธ์กับบนท้องทะเลมากมาย เสิ่นหวั่งแม้ว่าหายตัวไปไร้ร่องรอย แต่อย่างไรก็ย่อมส่งข่าวไปถึงได้ เกิดเหตุปล้นบนท้องทะเลไม่สำเร็จครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ถูกคนลืมเลือนไป
บนท้องทะเลแสนสงบต่อ ไม่ได้ยินว่าเสิ่นหวั่งทำเรื่องผิดกฎหมายอีกเลย
พวกเขาเหมือนว่ายอมรับชะตากรรมแล้ว ได้แต่ทำใจวิ่งเส้นทางเทียนจินไปประเทศวัว และอีกสองสามเส้นทางที่เมื่อก่อนพวกเขาเคยควบคุมไว้ สงบเสงี่ยมมาก
คดีที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกโจรท้องทะเลจากประเทศวัว ไม่ก็พวกเดนตาย จุดจบล้วนอนาถยิ่ง เรื่องนี้ไม่ต้องให้พูดมาก
***********
เข้าสู่เดือนแปด คนในจวนเหลียวกั๋วกงล้วนยุ่งกับเทศกาลไหว้พระจันทร์ ยามนี้ ที่พักระหว่างทางไปเมืองหลวงมายังเมืองซงเจียงสร้างเสร็จแล้ว คนและม้าก็มีพอแล้ว ร้านค้าตามทางกับคนมีอำนาจล้วนทุ่มเทใจใส่ในเรื่องนี้มาก เพื่อถือเป็นโอกาสประจบเอาใจหวังทงเพื่อเปิดทางร่ำรวยให้ตนเอง
วันที่ 5 เดือนแปด ข่าวแรกสำคัญก็มาถึง หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ขันทีจางเฉิงป่วยจากไปที่เทียนจิน
คนตำแหน่งสูงลงจากอำนาจ ความชราก็มักจะมาเยือนอย่างรวดเร็ว เฝิงเป่าเป็นเช่นนี้ จางจิงเป็นเช่นนี้ จางเฉิงก็เป็นเช่นนี้
จากตำแหน่งศูนย์กลางอำนาจไปแล้ว คนเหล่านี้ก็มักแก่ตายอย่างรวดเร็ว จางเฉิงนั้นกล่าวว่าตนเองปล่อยวางได้แล้ว แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกสูญเสีย คิดแล้วไม่อาจไม่รู้สึก
จางเฉิงเพิ่งจะก้าวพ้นอายุ 70 ในยุคนี้นับว่าอายุยืนมากแล้ว กลางเดือนเจ็ดสุขภาพยังไม่เลว แต่พอคืนหนึ่ง อยู่ ๆ เป็นหวัด สุขภาพก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว เมืองหลวงถึงกับจะส่งหมอหลวงมา เพิ่งมีราชโองการ จางเฉิงก็ทนไม่ไหวแล้ว
ก่อนจากไป ไช่หนานกับหลี่หู่โถว ยังมีหลานห่างๆ อีกสองคนอยู่ข้างเตียง นับว่าเป็นการส่งจากลูกหลานแล้ว ในจดหมายเนื้อหาไม่มา เอ่ยเพียงจางเฉิงยามไม่ได้สติ สีหน้ายังคงมีรอยยิ้มพึงจากไป
หวังทงกับคนอื่นๆ หลายคนล้วนเคยมีสายสัมพันธ์กับจางเฉิง หวังทงมีวันนี้ได้ ก็เป็นเพราะจางเฉิงสนับสนุนและช่วยเหลือมา สำหรับหวังทงที่ไร้บิดามารดาแล้ว จางเฉิงก็เหมือนญาติผู้ใหญ่เขาคนหนึ่ง
แต่ไรมาหวังเซี่ยก็เป็นเด็กร่าเริง แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เขาเพียงรู้สึกว่าในจวนเงียบลงไปมาก ความกะทันหันทำให้เด็กน้อยรู้สึกตื่นตกใจ วิ่งไปที่ห้องหนังสือหวังทงก็พบว่าบรรยากาศก็ผิดปกติ เมื่อก่อนเห็นเขา บิดาก็มักมีรอยยิ้ม แต่วันนี้สีหน้าน่าแปลกมาก
หวังเซี่ยแต่ไรไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ บอกไม่ถูกว่าพึงใจหรือไม่พึงใจ แต่ก็เงียบมาก หวังเซี่ยยิ้มแล้วก็รู้สึกกดดัน คิดจะวิ่งออกไป
หวังทงส่ายหน้า เด็กไม่รู้อะไร ไร้กังวล เขาเดินเข้าไปอุ้มหวังเซี่ยขึ้นมา กล่าวว่า
“ลูกเซี่ย ต้องตั้งใจเรียนให้ดี อย่าได้เสียเวลาอนาคตเจ้า เพราะมีคนมากมายช่วยเหลือ ตระกูลหวังเราจึงได้มีวันนี้ได้ อย่าได้ทำลายเสียเปล่า!”
หวังเซี่ยไม่ค่อยเข้าใจวาจาหวังทง แต่ทว่ากลับรู้ว่าต้องพยักหน้ารับคำ หวังทงเองรู้ว่าบุตรชายยังเล็ก ได้แต่ยิ้ม วิ่งไปอุ้มเด็กน้อยออกไปเดินเล่นในลานด้านหน้า
****************
ไม่รู้เริ่มแต่เมื่อไร ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มออกว่าราชการวันเว้นวัน ขุนนางราชสำนักพูดไม่ออก ถึงกับแอบยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ฮ่องเต้ไม่อยู่ ก็เป็นคณะเสนาบดีใหญ่จัดการงานแผ่นดิน ก็ยิ่งสะดวก แต่ตอนนี้ไม่เหมือนวันวาน พวกเขาจัดการได้ไม่น้อย แต่ใต้หล้านี้เรื่องสำคัญมากกว่าเมื่อก่อนมาก เปิดท่าการค้า บุกเบิกอาณานิคม การค้านอกผืนทะเล ยังมีระบบทหารหลวง เดิมคณะเสนาบดีใหญ่อาจกระทบต่อระบบงานในวัง แต่ตอนนี้ในวังจัดการไว้ในกำมือได้แล้ว
เรื่องพวกนี้เหมือนเป็นเรื่องเกิดใหม่ ไม่ก็เมื่อก่อนมี แต่ตอนนี้เปลี่ยนไป ภาษีที่นานับวันยิ่งหด เรื่องพวกนี้กลับนำทรัพย์สินเงินทองกับสินค้ามายิ่งมาก
มีเงิน มีทหาร มีอำนาจ สิ่งใหม่ที่เกิดพัฒนาไปอย่างคึกคัก ราชวงศ์และในวังทรัพย์สินเงินทองก็ยิ่งมาก อำนาจก็ยิ่งมาก เริ่มคุกคามการดำรงอยู่ของบรรดาขุนนางราชสำนักและคณะเสนาบดีใหญ่
ยิ่งทำให้รู้สึกเสียไม่ได้ก็คือ พวกบัณฑิตจะไปร่วมเพาะปลูกกับเขาด้วย ไม่ร่วมทำการค้าออกทะเลด้วย พยายามไปทำการค้าที่เมืองท่าการค้าด้วย แต่พวกเขาค่อนข้างหัวโบราณ รอเข้าร่วมก็มักสายไปเสียแล้ว ได้แต่รอฟังคำสั่งและทำตามที่พวกพ่อค้าใหญ่สั่ง
หากเป็นการค้าปกติ บรรดาขุนนางบุ๋นคิดจะยื่นมือเข้าไปก็ง่ายมาก พ่อค้าจะเหิมเกริมเพียงใด ก็ยังไม่กล้ากับทางการ อย่างไรก็ต้องยอม ๆ กัน แต่ทุกเรื่องที่เกิดใหม่ตอนนี้ไม่อาจยื่นมือเข้าไปโดยง่าย กองกำลังหู่เวยกับกองกำลังหลวง และฝ่ายใน ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสมดุลตนเข้าไปได้
เมืองหลวงเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายครั้ง สุดท้ายล้วนเป็นทหารหลวงมาจัดการ หัวหน้าที่ก่อเรื่องก็มีจุดจบอนาถ นี่เป็นการสั่งสอนที่เพียงพอแล้ว
เพราะสถานการณ์เช่นนี้ อำนาจฮ่องเต้ว่านลี่จึงเหมือนกุมไว้ผู้เดียว ทรงไม่ต้องการให้เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องผ่านการประชุมราชสำนักมาตัดสิน มีเวลาได้ผ่อนคลาย ไม่ก็บอกว่า ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเบื่อราชกิจ คิดจะเสพสุข
สายสัมพันธ์จางเฉิงกับฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ธรรมดา กล่าวว่าโอรสสวรรค์ไร้บิดามารดา ฮ่องเต้หลงชิ่งฮ่องเต้กับไทเฮาฉือเซิ่งยังไม่ได้มีความรักแบบบิดามารดาต่อบุตรให้มากนัก คนที่ดูแลชีวิตประจำวันพระองค์มาก็ล้วนเป็นจางเฉิง ค่อยเติบใหญ่เจริญชันษามา เรียนรู้วัฒนธรรมมา จัดการปัญหาราชกิจมา ทุกสิ่งล้วนเป็นจางเฉิงคอยชี้แนะ ความจริง ฮ่องเต้ว่านลี่มีอันใดไม่เข้าใจ หรือคิดไม่พอใจสิ่งใด ก็มักไปตรัสกับจางเฉิง
เทียบกับฮ่องเต้หลงชิ่งกับไทเฮาฉือเซิ่งแล้ว ระหว่างจางเฉิงกับฮ่องเต้ว่านลี่ มีสายสัมพันธ์ดังบิดาและบุตรอยู่ และเกรงว่ายังลึกซึ้งยิ่ง
ข่าวจางเฉิงป่วยหนักมาถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่รีบทรงให้หมอหลวงที่ดีที่สุดรีบไปเทียนจิน แต่ทว่าพอป่วยก็ราวกับภูเขาล้ม สำนักเครื่องใช้ในวังเฟ้นหาสมุนไพรสูงค่าจากนอกด่านเฟ้นมา หมอหลวงกำลังจะเร่งออกจากเมืองหลวง ข่าวป่วยจากไปก็มาถึง
พอฮ่องเต้ว่านลี่ได้ยิน ก็ยังคงจัดการราชกิจ สั่งการให้โจวอี้ไปจัดการงานศพให้จางเฉิง ในวังมีอันใดประทานให้ได้ ก็ต้องไม่ให้จางเฉิงไม่มี ฮ่องเต้ว่านลี่ยังทรงรักษาพระอารมณ์นิ่งได้ สีพระพักตร์ไม่ได้แสดงอาการอันใด
ตกค่ำก็เสด็จยังตำหนักเฉียนชิงกงเพื่อเสวยพระกระยาหาร มุมโอษฐ์มีเม็ดข้าวติด ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ ย่อมไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ฮองเฮาเจิ้งเองก็ชินกับการเช็ดให้ฮ่องเต้ว่านลี่ ฮ่องเต้ว่านลี่เสวยต่อ ขยับตะเกียบสองสามที ขันทีและนางกำนัลในห้อง รวมทั้งฮองเฮาเจิ้งก็ต้องตกใจเมื่อมองเห็นฮ่องเต้ว่านลี่หลั่งพระอัสสุชล
เห็นสีหน้าทุกคน ฮ่องเต้ว่านลี่รีบยกพระหัตถ์เช็ดออก ราวกับว่าทรงไม่ได้เช็ดน้ำตา เช็ดป้ายไปมา ยกชามข้าวเสวยต่อ แต่ก็ยังคงหลั่งพระอัสสุชลไม่หยุด ฮ่องเต้ว่านลี่วางชามลง ก่อนจะยกสองหัตถ์ปิดพระพักตร์ ฮองเฮาเจิ้งมองไปยังทุกคนในห้อง ขันทีกับนางกำนัลพากันถวายบังคมถอยออกไป
ฮ่องเต้ว่านลี่ยกสองหัตถ์ปิดพระพักตร์ ไร้เสียงสะอื้น แต่ไหล่ทั้งสองสั่นเทา ฮองเฮาเจิ้งไม่รู้ทำเช่นไร ไม่รู้ทำอย่างไรดี เวลาไม่นานนัก แต่ทว่าฮองเฮาเจิ้งรู้สึกนานมาก ฮ่องเต้ว่านลี่ยกสองหัตถ์ปิดพระพักตร์ลง ขอบพระเนตรแดงก่ำ พระอัสสุชลยังคงนองอยู่ เห็นชัดว่าทรงกรรแสงมา แต่สีพระพักตร์ยังคงนิ่ง มองดูท่าทางตกใจของฮองเฮาเจิ้ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก้มพระพักตร์ลงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ด ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“จางปั้นปั้นจากไปแล้ว…”
****************
เดือนแปดปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 18 องครักษ์เสื้อแพรม้าเร็วจากเมืองหลวงไปเมืองซงเจียง ราชโองการให้เหลียวกั๋วกงหวังทงไปเทียนจินจัดการงานศพแทนโอรสสวรรค์ เซ่นไหว้จางเฉิง ปลอบใจวิญญาณขุนนางภักดี
ข่าวไม่เป็นความลับ สำหรับจางเฉิงแล้ว นับว่าเป็นเรื่องทรงเกียรติมาก สำหรับขันทีที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว โอรสสวรรค์ย่อมไม่ส่งขุนนางคนสำคัญไปจัดการงานศพให้เช่นนี้ การให้เกียรติยศเช่นนี้ ตั้งแต่ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิงจูหยวนจางมาถึงตอนนี้ ไม่มีผู้ใดเคยได้
สำหรับหวังทงแล้ว ฮ่องเต้ทำเช่นนี้แสดงให้เห็นสถานะเขาอีกครั้ง ว่าการไปเมืองซงเจียงของหวังทงแท้จริงแล้วสูญเสียอำนาจหรือไม่ ครั้งนี้บอกได้ดีที่สุด
แตบรรดาขุนนางบุ๋นไม่พอใจ ในใจพวกเขา ฮ่องเต้ว่านลี่หากจะทรงส่งผู้ใดไป อย่างไรก็ต้องเลือกขุนนางบุ๋นไป คณะเสนาบดีใหญ่กับหกกรมกองไม่มีน้ำหนักพอหรือไรกัน? แน่นอนว่า หากฮ่องเต้ว่านลี่เลือกขุนนางบุ๋นไปจริง คนที่ได้รับเลือกก็ย่อมไม่พอใจ คิดว่าเป็นดูถูก ข้าร่ำเรียนตำราปราชญ์มา ลำบากอ่านตำรามานานปี เป็นชุนนางส่วนกลาง จะไปจัดงานศพให้ขันทีไร้ความเป็นชายได้อย่างไรกัน แต่ไปไม่ไปก็อีกเรื่องหนึ่ง เลือกไม่เลือกก็อีกเรื่องหนึ่ง
บางทีอาจคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยังมีขุนนางยื่นฎีกาว่า โอรสสวรรค์ส่งคนไปจัดงานศพ ไม่ส่งขุนนางบุ๋นไป ไม่เหมาะสม
ฎีกานี้ถูกส่งไปถึงพระหัตถ์ฮ่องเต้ว่านลี่ทันที ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงปาฎีกาทิ้ง ในเรื่องนี้ อย่างไรก็พวกขุนนางก็ค่อนข้างจุดยืนชัดเจน รีบจัดการหาข้อบกพร่องจับผิด จากนั้นใช้การโบย
ว่ากันว่าหลังโดนโบยก็จะเป็นคนมีราคาเพิ่ม จะมีชื่อเสียงทันที แต่ครั้งนี้ไม่โชคดีเช่นนั้น ขุนนางผู้นี้ถูกโบยหน้าหน้าประตูวังแผ่นดินหมิง นอกประตูวังหมิงเป็นเส้นทางต้องผ่านการเข้าเฝ้า เป็นที่หลายหน่วยงานเข้าออกย่อมได้เห็น ทุกคนล้วนตกใจเมื่อได้เห็นขุนนางถูกโบยตายไปต่อหน้าต่อตา
ต้นเดือนเก้า หวังทงจากเมืองซงเจียงเร่งเดินทางถึงเทียนจิน หวังทงกลับมาเทียนจิน มีความหมายไม่ธรรมดา ทั้งเทียนจินเกิดกระแสยกใหญ่ พวกพ่อค้าใหญ่ที่มีสถานะพอล้วนคิดมาคารวะ ขุนนางท้องที่แน่นอนไม่ต้องพูดถึง แต่ทว่าช่วงเวลานี้ไม่เหมาะจะมาคารวะ เหลียวกั๋วกงครั้งนี้มาปฏิบัติภารกิจ
แต่ทางเมืองซงเจียง ทางลูซอน ล้วนเป็นภูเขาเงินทะเลทองคำ คิด ๆ แล้ว ภาพตอนนี้น่าจะก้าวเกินเทียนจิน ผู้ใดไม่หวั่นไหวกัน ทุกคนล้วนมีเงิน และสนิทกับสายหวังทง อย่างไรก็สะดวก ไม่ไปหวั่นไหวด้วยย่อมเป็นไปไม่ได้
ไม่อาจเอิกเกริก แต่ไม่อาจไม่ไปพบ ผลปรากฏคนสนิทแต่ละสายล้วนถูกส่งมาเฝ้าที่พักหวังทงไว้ รอให้เรื่องจัดการเสร็จ
เริ่มแรก องครักษ์เสื้อแพรเทียนจินถึงกับตกใจ คิดว่ามีการสมคบคิดอันใดกัน ผู้คุ้มกัน เครือข่ายสามธาราพากันมาตรวจสอบ จากนั้นพบว่าตกใจเสียเปล่า
หม่าซานเปียวเร่งมาจากเมืองหลวง โจวอี้เองก็มา สำนักบูรพานายกองพันเซวียจานเยี่ยก็มา เจ้าจินเลี่ยงตอนนี้เพิ่งถึงส่านซี ไม่มีทางมาทัน ขุนพลทหารรอบเทียนจินหลี่หู่โถว หานกังก็มา
โจวอี้เป็นบุตรบุญธรรม ไช่หนานเป็นหลานบุญธรรม พวกเขาสองคนนับเป็นคนสนิทจางเฉิง รับหน้าที่ดูแลต้อนรับแขก แน่นอนว่า ทุกคนออกเงินออกแรง อย่างไรก็เลี่ยงไม่ได้
ร้านสามธาราแทบจะวางงานในมือลง ไม่เครื่องใช้หรือค่าใช้จ่าย หรือกำลังคนก็นำมาใช้งานหมด
****************
ณ ที่พักเดิมหวังทง ตกค่ำไช่หนานก็มาเยือน สองคนทักทายกันเสร็จก็พบว่าไร้วาจาจะเอ่ยต่อ นั่งนิ่ง ใต้แสงตะเกียง จางเฉิงสำหรับพวกเขาสองคนแล้วมีควาสำคัญมาก อยู่ ๆ จากไป ทำให้พวกเขาสองคนรู้สึกไม่ชิน และไม่รู้พูดอย่างไรดี
ผ่านไปนานสักพัก ไช่หนานจึงไดประสานมือน้ำเสียงแหบพร่ากล่าวว่า
“กั๋วกง จางกงกงก่อนจากไปเป็นข้าอยู่ข้างกาย หู่โถวยังให้ออกไป จางกงกงกล่าวกับข้าว่าอย่างไรต้องกล่าวกับท่านเพียงผู้เดียว”